“แอน ทองประสม” ตรงๆ แมนๆ “แค้น” ไม่ถูกจริตคนดู ไม่โทษสภาพบ้านเมือง ทำละครไม่แข็งแรงเอง ยันเป็นเรื่องแรกที่ไม่แตะบท เผยสิ่งที่ผู้บริหารช่อง 3 ติติง เป็นแมสเสจเดียวกับที่ชาวเน็ตคอมเมนต์บอก แต่คนละอารมณ์ โอดเบรกละครสายดาร์ก แต่ไม่พูดว่าจะไม่ทำอีก
จบไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับละครที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก กับละครเรื่อง แค้น ของผู้จัดมากความสามารถ “แอน ทองประสม” ซึ่งก็มีกระแสทั้งคำติ คำชมมากมาย ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาเปิดใจถึงประเด็นนี้ว่า ตอนที่ทำละครเรื่องนี้ตนมีความสุขมาก และดีใจที่นักแสดงทุกคนก็เต็มที่กับเรื่องนี้จริงๆ แต่เมื่อมีทั้งคำติและชมมา ตนก็น้อมรับฟังทุกอย่าง
“โอ้โห ลุ้นทุกตอน ก็ยกภูเขาพอสมควร ตอนทำงาน ตอนอ่านบทแอนมีความสุขมากนะคะ กองถ่ายมีความสุขกันทุกวัน ทุกคนแฮปปี้ แต่พอละครออกก็มีทั้งคนที่ชอบและคนที่ไม่ชอบ มีคนติและคนให้มุมมอง ก็ผสมๆ กันไปจนจบเรื่อง ส่วนที่แอฟ (ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ) บอกว่าแค้นแอน (หัวเราะ) ก็ตามชื่อเรื่องค่ะ บทของเขายากจริงๆ ตัวละครนี้จะเป็นตัวจอมบงการ หว่านล้อมให้ทุกคนทำสิ่งที่ตัวเองต้องการ จะมีอาการขึ้นๆ ลงๆ บทเขาจะค่อนข้างยาก แอฟเหมือนคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย เวลากระโดดตบท่าอาจจะดูไม่ค่อยแข็งแรงแต่ถามว่าโดดได้ไหมโดดได้ ถ้าเพิ่มกล้ามเนื้อหน่อยก็อาจจะกระโดดได้สวย
เราก็จะบอกเขาในเรื่องของเทคนิค ทางกายภาพมากกว่า เหมือนเขาได้รับจากแอน และไปทำในสิ่งที่มันยากขึ้นไปอีก เขาก็เลยแค้นแอนเท่านั้นเอง (หัวเราะ) เขาบอกไม่เข็ดใช่ไหม เขาน่ารักกับแอนมากค่ะ แอนโชคดีนักแสดงทุกคนน่ารักกับแอนหมดเลย ถึงเรื่องมันจะดูเครียด แต่ว่าตอนทำงานแอนไม่ได้รู้สึกเครียดเลย”
บอกอยากลองเปลี่ยนคาแรกเตอร์นักแสดง แบบที่คนไม่เคยเห็นมาก่อน
“คือเราก็รู้สึกว่าถ้าเป็นมุมของนักแสดง อย่างต้นหอม (ศกุนตลา เทียนไพโรจน์) ปกติเขาเล่นแสบแสบๆ ร้ายๆ เราก็เลยบอกว่าเรื่องนี้ลองเล่นเบาๆ หน่อย แต่งหน้าเบาๆ ปกติ เขาชอบแต่งตัวจัด เราก็เลยกดเขาลง เราอยากให้เขาลองทำอีกมุมเท่านั้นเอง อย่างแอฟมุมนี้เราก็ไม่เคยเห็นเขาระเบิดออกมา อย่างอ้น ศรีพรรณปกติเล่นแต่ตลกไม่เคยเล่นดรามา ก็ลองมาเล่นปกติดูสิ
ตอนแอนทำแอนมองทุกอย่างในแง่ดีหมดเลย ไม่ทันคิดจริงๆ นะว่าอันนี้มันเสี่ยง คิดว่าคนที่เขารับเขาน่าจะทำได้ และเขาก็ทำได้จริงๆ เพียงแต่ว่าจะถูกใจคนดูไหมมันก็อีกเส้นนึงแล้ว คือมันเป็นเรื่องของจริตคนชอบมากกว่า บางคนอาจจะไม่ชอบที่เห็นคนนี้เปลี่ยนแปลงไปแบบนี้ แต่บางคนอาจจะเฮ้ย! ไม่เคยเห็น ว้าวว่ะ คือมันก็มีทั้งสองทางค่ะ”
บอกถึงเป็นตนเล่นเอง คนอาจจะไม่ว้าวแบบนี้ก็ได้
“การเปลี่ยนคาแรกเตอร์ของแต่ละคน จริงๆ เป็นบางคนค่ะที่พลิกคาแรกเตอร์ อย่างน้องนาย (ณภัทร เสียงสมบุญ) แอนก็ไม่ได้พลิกเขานะ แต่เขาอาจจะเล่นโตขึ้น นายเป็นคนที่เล่นละครน้อยมากนะ แต่ทางการแสดงเขาก็ลองเล่นอะไรที่ยากขึ้นอีกสเต็ปหนึ่ง แต่ก็อาจจะไม่ได้ยากที่สุดหรอก ฉะนั้นนายกับพุฒ (พุฒิชัย เกษตรสิน) ก็ยังอยู่ในเซฟโซนค่ะ แต่รอบข้างประหลาดหมด ไปออกทะเลทำอะไรยากกันไปหมด (หัวเราะ) อย่างเก่งกาจ (แซม พฤฒิชัย รวยฟูพันธ์) เขาก็มาแบบศูนย์เลย ไม่เคยเล่นอะไรมาก่อนเลย แต่เขามาเล่นบทที่ยากขนาดนี้ คือเราไม่ได้ต้องการคนที่เล่นเก่ง เราต้องการคนที่อ่อนต่อโลก ทุกอย่างเป็นของใหม่ไปหมด แล้วก็ใสๆ เลย ไม่ต้องมีชั้นเชิง ดีใจก็ดีใจ เกลียดก็เกลียด ก็เป็นเด็ก รู้สึกยังไงก็อย่างงั้น
ถามว่าทำไมแอนไม่เล่นเอง เพราะเห็นเล่นให้ดูทุกฉาก จริงๆ ก็ไม่ได้ทุกฉากนะ แต่ว่ามีภาพแอนไปอยู่ในฉากเยอะ จริงๆ แอนไปดูกองน้อยมาก เพราะแอนอยู่กองเรื่องนี้ (เกมรักทรยศ) ทุกอย่างแอนไปช่วยดูไม่เกิน 30 ฉาก ส่วนใหญ่จะไปดูฉากข้นๆ มันเลยทำให้ดูเหมือนว่าแอนมีส่วนร่วมเยอะ แต่สำหรับแอน คือเวลาแอนเล่น แอนไม่ค่อยคิดถึงตัวเอง คือถามว่าถ้าเราเล่นก็ได้อีกมิติหนึ่ง ถ้าแอฟเล่นก็ได้อีกมิติหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าอันไหนจะดีกว่า แต่แอนว่ามันก็ได้ทั้งสองทาง คนอาจจะมองว่าแอนเคยเจอบทแบบนี้มา บทยากๆ แอนก็ร่ายรำทำมันได้ คือมันก็ได้แหละ แต่จะว้าวไหมมันก็อีกเรื่องนึง แต่ถ้าแอฟเล่นมันก็จะอีกแบบนึง มันก็จะดูแปลกตา เราแค่รู้สึกว่าเราอยากเห็นแอฟเล่นในมุมที่เราไม่เคยเห็น เราปรารถนาดี คิดว่าบทนี้ค่อนข้างท้าทายสำหรับคนเป็นนักแสดงเผื่อว่าเขาจะสนใจ ให้เขาอ่านและเขาก็ตัดสินใจเล่น”
น้อมรับฟังทุกฟีดแบ็ก แต่บางคอมเมนต์ก็ต้องปล่อยไปบ้าง
“มันก็มีมุมที่แอนรู้สึกว่าเขาก็พูดถูก บางทีแอนอาจจะปรุงขมไปหน่อย นึกออกไหมคะ คาปูชิโน่ที่ขมมาก บางคนก็บอกว่าฉันไม่กินรสชาตินี้ บางคนก็จะบอกว่ามันส์จริงๆ สนุกจังก็มี บางคนก็ไม่คิดอะไรเลย บางคนก็บอกว่าเยอะ คือมันก็หลากหลาย บางครั้งเราคนทำงานเราก็ต้องแยกชิ้นแอนว่าถ้าธรรมชาติคนที่ไม่หลอกตัวเอง เราก็จะบอกว่าคอมเมนต์นี้เราเชื่อเขาเถอะ เขาไม่ได้หลอกเรา อันนี้เราทำไอ้นี่ไปแล้วก็ไปปรับ อันนี้มันคือการผสมเพื่อความเมามันส์ ท็อกซิก เราก็ทำเพิกเฉยไป เราก็ต้องพยุงตัวเราด้วย คอมเมนต์นี้ให้เขาชมเราก็เป็นน้ำหล่อเลี้ยงในใจ หน้าที่คนเป็นผู้จัดเราก็ต้องเปิดใจรับฟัง
ง่ายๆ อย่างคอมเมนต์ของพี่สมรักษ์ ณรงค์วิชัย ผู้บริหารช่อง เขาก็จะบอกแอนว่าพี่ว่าตอนท้ายมันเยอะไปนะเลือด บางทีคนดูเขาก็จะรู้สึกว่าตัวละครตัวนี้มันต้องเรียนรู้นิดนึงนะ ทำสิ่งนี้ซ้ำซากไปนะ คนดูเขาอึดอัดเขาเอาใจช่วยไม่ไหว คือภาษาของพี่สมรักษ์มันก็แมสเสจเดียวกับคนที่คอมเมนต์บอกแอน แต่คนละอารมณ์ ซึ่งมันก็จริง แอนอาจจะต้องลดน้ำหนักมือลงหน่อย”
ยันไม่ได้ชี้นำให้ใครฆ่าตัวตาย แต่เป็นวิถีของละครเท่านั้น
“คนที่ทำในเรื่องคือตัวต้นหอม เขาถูกตัวปรางทองชักจูง ให้ไปวางยาดีเจพุฒ ให้ดีเจพุฒหลับใน แล้วก็เสียชีวิตนั่นก็คือจุดเริ่มต้น ต้นหอมเคยฆ่าคนคนนึงมา มันเหมือนว่าเป็นสิ่งที่เขาเคยทำมา คือเขาก็โดนปรางทองพูดหว่านล้อม โดยที่ปรางทองไม่ต้องใช้ปืนยิงเลยนะในการฆ่าเขา เหมือนเขาใช้ปืนในการปิดตัวเองตายเอง เหมือนฉันไม่ควรได้รับการให้อภัย เขารู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาทำในวันนี้ด้วย เขาหาทางออกไม่เจอ รู้สึกผิดกับดีเจพุฒ ไปทำให้ดีเจพุฒเสียชีวิต เขาก็ใช้เหตุการณ์ในวันนั้น กับสิ่งที่คุณเคยทำกับคนอื่น เขาก็รับผิดชอบในสิ่งที่เขาเคยทำกับตัวเขาเอง
มันเป็นวิถีเรื่องราวของตัวละคร แอนก็ไม่ได้ท้าทายหรือชี้นำใครนะคะ มันก็เป็นโทนละครที่เส้นทางมันเป็นแบบนี้ ก็บอกว่าละครเราชื่อแค้นนะ โทนละครเป็นแบบนี้ โปสเตอร์ละครเป็นสีนี้ เราก็พยายามบอกทุกคน เรามาในทิศทางแบบนี้ เพียงแต่ว่าคนไม่อยากเห็นหรือเปล่าไม่อยากเห็นคนฆ่าตัวตาย อันนี้ก็ไม่รู้จะตอบยังไง แต่เจตนาเราไม่ได้ชี้นำให้ใครฆ่าตัวตาย คือตัวละครมันสำนึกผิดก็เลยเลือกวิธีแบบนี้
จริงๆ ถามว่าในมุมการนำเสนอสามารถพลิกหรือใช้การสื่อสารอย่างอื่นได้ไหม ก็ได้ค่ะ จริงๆ ละครมันเป็นศิลปะ มันเป็นมิติไหนก็ได้ จะทำเป็นแบบเฟดไปเลย มืดดำ เห็นอยู่ในรถแล้วก็เงียบไปได้หมด หรือเราจะขยี้ให้มันบี้กันไปข้างนึง มันแล้วแต่ว่าเราจะไปทางไหน ของแอนก็เป็นสื่อสารแบบตรงไปตรงมา มายังไงก็ไปอย่างงั้น เราก็โอเค แต่บางคนก็รู้สึกว่ามันมากไป ดูแล้วมันจุกจัง ก็มีหลายแบบ”
บอกละครถูกจัดให้เป็น 13+ ตั้งแต่แรกด้วยความตั้งใจอยู่แล้ว
“คือถ้าเป็นต่อไปเหรอคะ มันแล้วแต่เรื่อง แอนไม่กล้าพูดวันนี้ว่าแอนจะไม่ทำอะไรแบบนั้นหรือเปล่า เอาเป็นว่าแอนเชื่อว่าทุกอย่างมันจะต้องมีสมดุลของมันต่อไป เราใช้ชีวิตเราก็ต้องเรียนรู้ขึ้นทุกวัน ทำงานเราก็ต้องเรียนรู้ขึ้นทุกวัน เราจะรู้ได้ว่าอันนี้คนน่าจะชอบ เรายังต้องมีมุมของความหวังในการทำงานต่อไป ในขณะเดียวกันเราก็ต้องระวังอะไรที่มันรอบคอบให้มากกว่านี้ก็ได้
เรื่อง 13+ ปกติช่องจะเป็น ท. นะ แต่ของเรื่องนี้ก็คือเราก็บอกช่องไป ช่องก็ให้ 13 แทบจะเป็นละคร 13+ 1ในรอบหลายๆ ปี คือเราก็ประกาศตัวเองอย่างชัดเจน เรา 13+ นะ ก็คิดว่าทำตามสีของ 13+ ค่ะ คือบางทีถามว่ามันก็ตีเหมือนกับละครบางเรื่อง แต่อาจจะสมมติเวลาอาจจะยาวกว่า มันเลยดูแล้วอึดอัด อันนี้แอนอาจจะลากมันยาวไป สำหรับบางคนที่เขารู้สึกว่า เฮ้อ พอได้แล้ว ก็มีนึกออกไหมคะ (หัวเราะ) กูรู้แล้ว กูเหนื่อยแล้วอะไรแบบนี้หรือเปล่า เขาก็เลยรู้สึกว่ามันเยอะมั้ง มันก็เหมือนคิวบู๊ เอาแจกันมาผลักกันล้มลงไป แอนก็ไม่รู้จะตอบยังไง แต่ว่าถ้าถามเรา เราก็เข้าใจ”
เผยยังอยากทำละครหลากหลายแนวต่อไป ไม่เอาคำติมายึดติด
“ลองทำรีเสิร์ชว่าคนชอบดูละครรสชาติแบบไหนเหรอ ก็อาจจะแค่ช่วงนี้คนอาจจะยังมีเรื่องให้โฟกัสเยอะ มีเรื่องเครียดทางบ้านเมือง เขาอาจจะรู้สึกอยากดูอะไรที่เขาคลายตัวสบายใจ เราทำละครก็ต้องดูจังหวะนิดนึง ก็ไม่แน่ใจถ้ามันไปอยู่ในช่วงเวลาอื่น หรือแบบที่คนคลายตัวกว่านี้ เรายังถูกมองหรือถูกตัดสินในลักษณะนี้หรือเปล่า แอนก็ตอบไม่ได้เหมือนกันค่ะ
แต่ถามว่าในฐานะผู้จัดอยากทำละครรสชาติแบบนี้อีกไหม คือแอนยังไม่ได้เสียขวัญถึงขั้นจะแหยง ก็แค่เหมือนว่าประเมิน อ๋อ อันนี้เขาไม่ชอบแล้วยังไงนะ เป็นความประเมินอย่างนี้มากกว่า แต่มันจะไม่ถึงขั้นเอาตัวเองเข้าไปในซอก แล้วก็คุดคู้แล้วก็กลัวไปหมดนี่เทียบอาการให้ฟังนะคะ ก็ไม่ได้อย่างนั้น แต่ว่าเราก็โอเค เราก็จับทิศแค่นั้นเอง แอนไม่รู้จะตอบยังไง แต่แอนไม่พูดหรอกว่าวันนี้แอนจะไม่ทำแบบนั้นอีก แอนพูดไม่ได้จริงๆ เพราะแอนเชื่อว่าละครมันก็ต้องมีหลายๆ รสชาติ บางทีแอนอยากทำละครตลก หรือบางทีแอนก็อยากทำละครดรามา หรือแอนอยากจะทำละครรอมชอม แอนยังอยากทำได้หลากหลายเหมือนเดิม”
พร้อมจะเบรกละครแนวนี้ไปสักพัก แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำอีก
“มองว่าถ้าอันนี้เขายังไม่น่าจะชอบ ก็เบรกๆ ไป คือไม่ต้องแอนเบรกหรอก ช่องเขาเบรกแอนเองแหละ ช่วงนี้มันมือหนักไปหน่อย เอามันเบาๆ (ยิ้ม)เขาก็อาจจะไม่ให้แอนทำละครดรามาแป๊บนึง อาจจะให้แอนทำละครรักอย่างที่แอนก็ทำอยู่เรื่อยๆ ก็ได้ ซึ่งถ้าถามว่าในฐานะผู้จัดละครแบบไหนคือทางของเราจริงๆ แอนไม่รู้นะ ต้องให้คนดูตัดสินเหมือนกันนะว่า จริงๆ แล้วแอนเป็นคนต้องทำละครทางไหนเหรอ แต่แอนทำมาแทบทุกอัน ปัญญาชนก้นครัว ก็คือตลกไปเลย แอบรักออนไลน์ ลิขิตรัก เป็นเจ้าหญิงเจ้าชายเพ้อฝัน คือเธอ เพียงชายฯ ละครน้ำเน่า แอนก็ทำมาทุกรสชาติ แอนก็อยากรู้ว่าไปอะไรได้อีกนะ พอมาตอนนี้เรื่องแค้น โอ้โหแอนทำแบบรสขมจริงๆ ปกติแอนจะเป็นคนละครรักนำด้วย จริงๆ แอนชอบเพ้อๆ หน่อยๆ อยู่แล้ว หมายถึงว่าเป็นคนมีความฝันหวาน เป็นคนรู้สึกดีๆ กับความรัก ชอบละครรัก
แต่แค้นก็เป็นโจทย์ที่เส้นรักมันค่อนข้างบางกว่ารสชาติที่มันรุนแรง หรือรสชาติที่มันมีความเคียดแค้นของตัวละครมันอาจจะจัดกว่า มันเลยทำให้สีนั้นมันโดดขึ้นมา คนเลยอาจจะมองว่าหรือจริงๆ แอนไม่ได้เหมาะที่จะทำละครขมๆ แอนก็ไม่แน่ใจว่าแอนจะไม่มีสิทธินั้นอีก แต่แอนอาจจะต้องปรับลีลาในการนำเสนอใหม่ หรืออาจจะต้องเข้าใจศิลปะในการนำเสนอเพิ่มขึ้น เราต้องให้กำลังใจตัวเองในการทำงานต่อด้วย”
ไม่โทษกระแสการเมือง แต่เพราะละครตนยังไม่แข็งพอเท่านั้น
“ไม่ถึงขั้นบ๊ายบายว่าต่อไปนี้แอนจะไม่ทำ แอนว่าให้เวลาแอนได้ลองไปเขย่าตัวเองก่อน ว่าขมไปเราก็ปรับรสชาตินิดนึง เหมือนเราไปซื้อกาแฟ วันนี้เปรี้ยวมากเลย เมล็ดกาแฟพันธุ์นี้เราไม่กิน ต้องคั่วเข้ม คั่วอ่อนเราก็ต้องไปปรับ ลูกค้าเขาว่ามาอย่างนั้น เราก็ต้องปรับตัว ถามว่าจังหวะเวลาสภาพแวดล้อมบ้านเมืองมีผลไหม คือจริงๆ ไม่ได้โทษบ้านเมือง (หัวเราะ) เอาจริงๆ พูดตรงๆ แมนๆ คุยกันเลย ตรงนั้นเป็นปัจจัยภายนอกที่เป็นแค่เอฟเฟกต์เล็กๆ คือมันนิดหน่อย หลักๆ มันมาจากชิ้นงานของเราแอนเชื่ออย่างนั้น ของที่มันจะอยู่ได้ มันก็อยู่ได้ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน หลักๆ ถ้ามันแข็งพอก็ไม่มีอะไรต้านได้ แสดงว่าแอนยังทำไม่แข็งพอ มันก็เลยต้านไม่ได้
จริงๆ ทุกครั้งที่ทำบทละคร แอนจะมีส่วนร่วมในการเขียน หรือปรับไดอะล็อกนักแสดง แต่เรื่องนี้แทบไม่มีเลย ปกติที่ผ่านมาคันไม้คันมือ แต่เรื่องนี้แทบจะเป็นเรื่องแรกที่ไม่แตะบทเลย เพราะว่าเขาก็เขียนมาดีอยู่แล้ว ถ้าถามแอนนะ ตอนนั้นมันก็เป็นเหตุเป็นผล เพียงอาจจะมีตัดต่อบ้าง เช่นแอนอาจจะโยกไม่เอาหนึ่ง สอง สาม สี่ อาจจะเป็น สี่ หนึ่ง สอง สาม เป็นการลำดับเรื่องที่โยกไปโยกมา”
บอกอุตสาหกรรมเอ็นเตอร์เทนเมนต์บ้านเรา ยังสู้ต่างชาติไม่ได้
“ที่มีคนบอกว่าละครไทยถูกจำกัดหลายๆ อย่าง ถ้าเปรียบเทียบกับต่างชาติ ถามว่ามีไหมก็มีบ้าง มันเป็นอุตสาหกรรมที่เรายังต้องช่วยเหลือตัวเองกันอยู่เยอะ อย่างของต่างชาติเขายังมีสมาคมหรืออะไรที่ทำให้การถูกสนับสนุนภาพใหญ่ของการเอ็นเตอร์เทนเมนต์บ้านเราให้มันแข็งแรงขึ้น แต่ของเราต่างบริษัทต้องต่อสู้กันเอง ต่างค่ายต้องต่อสู้กันเอง เรายังตามคนอื่นเขานิดนึง
แต่ในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ แอนว่าก็ไม่มีใครมาปิดกั้นเรานะ เพียงแต่เราต้องฉลาดพอ และไหวตัวทันพอที่จะนำเสนอยังไงให้ถูกจริตผู้คนในบ้านเรา เรารู้จักผู้คนในบ้านเราดีที่สุด ว่าประชาชนเราชอบอะไร หรือเราจะไปทำให้ต่างชาติ เราต้องไปทำให้สากลยังไง แอนก็ไม่เชื่อว่าจะถูกปิดกั้น อยู่ที่ว่าเราแกร่งพอที่จะทำมันได้ไหม ต่อให้คุณคิดแปลกทำใหม่ แต่สิ่งเหล่านั้นมันว้าวจริง แล้วก็ไม่ได้ดูไปพาดพิงหรือเหยียบย่ำใคร มันทำได้นะ ช่องก็ไม่เคยห้ามเลยว่าห้ามทำละครนั้น ห้ามทำละครนี้ แอนรู้สึกว่ามันแค่โอกาสบางอย่างเท่านั้นเอง ที่ไม่ได้ถูกเปิดอ้าให้ภาพรวมของผู้หลักผู้ใหญ่จะมาช่วยซัปพอร์ตให้งานเอ็นเตอร์เทนเมนต์มันไปได้รวดเร็วกว่านี้
บ้านเรายังไม่มีหน่วยงานรัฐที่มาช่วยผลักดันสนับสนุน สมมติถ้าแอนอยากจะทำละครที่ไปตามตรอกซอกซอย ที่เที่ยวใหม่ๆ ที่มันน่าเที่ยวมาก แต่กว่าจะไปถ่ายได้ก็ต้องถามตำรวจ ถามเทศกิจ มันหลายขั้นตอนกว่าจะอนุมัติ ความหมายแอนคืออะไรเหล่านี้มากกว่า ถ้ามีหน่วยงานหรืออะไรที่มาทำให้การขับเคลื่อนตรงนี้มันง่ายขึ้น เราก็จะได้ใช้ความน่าสนใจของประเทศเราในหลายๆ อย่างเอามานำเสนอได้แบบง่ายดาย มันไม่ต้องแบบหืดขึ้นคอมากแค่นั้นแหละ”