"ไมเคิล ออร์ " อดีตดารา NFL ซึ่งเรื่องราวชีวิตที่สร้างแรงบันดาลใจของเขาได้กลายเป็นพล็อตของภาพยนตร์เรื่อง "The Blind Side" ที่ได้รับรางวัลออสการ์ในปี 2009 กำลังฟ้องร้องคู่สามีภรรยาชาวเทนเนสซีที่รับอุปการะเขาตอนเป็นวัยรุ่น
ไมเคิล ออร์ ที่ปัจจุบันอายุ 37 ปี และเคยเป็นแชมป์ Super Bowl กับทีม Baltimore Ravens และเล่น NFLตลอด 8 ฤดูกาลใน NFL กล่าวหาในคำร้องทางกฎหมายที่ยื่นเมื่อวันจันทร์ว่า ลีห์ แอน ทูฮี และ ฌอน ทูฮี สามีของเธอหลอกให้เขาเซ็นสัญญา เพื่อควบคุมการตัดสินใจทางการเงินของเขา
อดีตนักอเมริกันฟุตบอลชื่อดังยังอ้างในเอกสาร ว่าเขานึกว่าตัวเองถูกรับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมโดยครอบครัว ทูฮี ตามที่อีกฝ่ายบอก
ถูกหลอกให้เซ็นสัญญา มอบอำนาจการตัดสินใจเรื่องเงินให้ครอบครัว ทูฮี
แต่จริง ๆ แล้วในตอนนั้นเขาอายุเกินกว่าที่ใครจะรับเป็นบุตรบุญธรรมได้แล้ว สิ่งที่ครอบครัว ทูฮี ทำก็คือ ให้เขาเซ็นยินยอม เพื่อตั้งให้คู่สามีภรรยาเป็นผู้พิทักษ์ทางกฏหมาย และอนุญาตให้ทั้งคู่ตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ แทนตัวของเขา รวมถึงเรื่องทางการเงินด้วย
ในคำฟ้อง ไมเคิล ออร์ บอกว่าครอบครัว ทูฮี ใช้อำนาจดังกล่าว กอบโกยเงินหลายล้านดอลลาร์จากความสำเร็จของ "The Blind Side" ขณะที่เขาแทบไม่ได้อะไรเลย
ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้มากกว่า 300 ล้านดอลลาร์ในบ็อกซ์ออฟฟิศและได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากแซนดร้า บุลล็อค ที่รับบท ลีห์ แอนน์ ทูฮี
ภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือชื่อเดียวกันของ ไมเคิล ลูอิส ซึ่งส่วนหนึ่งของหนังสือเล่าถึงเรื่องราวในชีวิตของ ทูฮี ที่ได้รับการอุปถัมภ์จากครอบครัวคนขาว ก่อนที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพ NFL
ไม่เคยถูกอุปการะเป็นบุตรบุญธรรม
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่า ไมเคิล ออร์ จะพยายามบอกทุกคนว่า เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเท็จ เพราะครอบครัว ทูฮี ไม่เคยรับเขาเป็นบุตรบุญธรรม
"การโกหกเรื่องการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมของ ไมเคิล เป็นเรื่องที่ทั้งคู่ทำ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเอง"
"ไมเคิล ออร์ เจอเรื่องโกหกนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2023 เขารู้สึกผิดหวังและลำบากใจเมื่อเขารู้ว่า เขายินยอมให้ครอบครัวเป็นผู้พิทักษ์ เขาเคยคิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ทูฮี แต่ความจริงแล้ว การเซ็นสัญญานั้น ไม่ได้ทำให้เขามีสายสัมพันธ์กับครอบครัวนี้เลย"
"อย่างน้อยตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2004 เป็นต้นมา การแต่งตั้งครอบครัวทูฮี เป็นผู้พิทักษ์ เป็นการที่ทำให้ทั้ง ไมเคิล และสาธารณะชนทั่วไปเชื่อว่าครอบครัวรับเลี้ยง ไมเคิล แต่จริง ๆ ก็แค่เพื่อการหาผลประโยชน์ทางการเงินสำหรับพวกเขาเอง และมูลนิธิที่พวกเขาเป็นเจ้าของเท่านั้น"
ขอตัดความสัมพันธ์ และขอส่วนแบ่งรายได้
คำฟ้องดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อยุติบทบาทการเป็นผู้พิทักษ์ของครอบครัว ทูฮี และห้ามไม่ให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตของเขาในกิจการใด ๆ อีก
ออร์ ยังพยายามที่จะขอส่วนแบ่งจากกำไร ที่เขาอ้างว่าไม่ได้รับ รวมถึงความเสียหายทางการเงินแ ละเงินชดเชยด้วย
ขณะที่ ฌอน ทูฮี ยอมรับว่าครอบครัว "เสียใจ" กับคำกล่าวอ้างดังกล่าว
“เป็นเรื่องน่าเสียใจที่เขาคิดว่าเราจะหาเงินจากเขา” ทูฮี บอกกับหนังสือพิมพ์เดลี เมมเฟียนในรัฐเทนเนสซี “แต่เราจะรักไมเคิลตอนอายุ 37 เหมือนที่เรารักเขาตอนอายุ 16”
อย่างไรก็ตามครอบครัว ทูฮี ยอมรับว่าพวกเขามีฐานะเป็นผู้พิทักษ์ เพื่อดูแล และตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ แทน ไมเคิล ออร์ จริง แต่ก็อธิบายว่าข้อตกลงนี้ทำขึ้นโดยสุจริตหลังจากได้รับคำแนะนำทางกฎหมายอย่างถูกต้อง และยืนยันว่า มารดาผู้ให้กำเนิดของ ออร์ ก็ได้เข้าร่วมการพิจารณาคดีของศาล ในขั้นตอนการแต่งตั้งผูพิทักษ์อย่างเป็นทางการ ด้วย
ครอบครัวยืนยันทำทุกอย่างโดยบริสุทธิ์ใจ และไม่ได้เงินมายอย่างที่อีกฝ่ายคิด
“เราติดต่อทนายความที่บอกเราว่าเราไม่สามารถรับเลี้ยงเด็กที่อายุเกิน 18 ปีได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือการมีผู้ดูแล” ทูฮี บอก "เรากังวลอยู่แล้วว่ามันอาจจะเป็นปัญหา ก็เลยพยายามให้แม่ผู้ให้กำเนิดเขามาศาลในตอนนั้นด้วย"
ทางครอบครัวทูฮียังยืนยันว่าครอบครัวได้เงินได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากความสำเร็จของภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตของ ไมเคิล
“เราไม่ได้เงินมากมายอะไรจากภาพยนตร์เรื่องนี้” ทางครอบครัวยืนยัน "ไมเคิล ลูอิส (คนเขียนหนังสือ The Blind Side) แบ่งส่วนแบ่งของเขาให้เราครึ่งหนึ่ง ทุกคนในครอบครัวได้รับส่วนแบ่งเท่าๆ กัน รวมทั้งไมเคิลด้วย ตกคนละ 14,000 ดอลลาร์"
ควรริบออสการ์ "ซานดรา บุลล็อก" !?
ไมเคิล ออร์ ยังไปไกลถึงขั้นบอกว่าควรจะริบรางวัลออสการ์ของ ซานดรา บุลล็อก เพราะมันคือบทบาทที่สร้างมาจากเรื่องโกหก
ขณะที่ ควินตัน แอรอน นักแสดงที่รับบทเป็น ไมเคิล ออร์ ในหนัง The Blind Side มองว่าข้อเรียกร้องนี้มันออกจะไร้สาระเกินไปแล้ว "เป็นข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเลยนะ ซานดรา บุลล็อก ไม่ได้มีส่วนอะไรที่เกี่ยวข้องกับข่าวที่เรากำลังอ่านกันตอนนี้เลย"
ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า ซานดรา บุลล็อก “เซ็ง” ที่การทำงานหนักและความทุ่มเทของเธอในหนังเรื่องนี้ กำลังจะกลายเป็นการสูญเปล่า
“เธอเกลียดที่เรื่องราวแสนมหัศจรรย์ ภาพยนตร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ และช่วงเวลาอันน่าตื่นเต้นในชีวิตของเธอ กำลังจะไร้ค่า ” สื่ออ้างข้อมูลจากคนใกล้ชิดของเธอ “ตอนนี้คนจะไม่ดูหนังเรื่องนี้แล้ว และถ้าพวกเขาดู พวกเขาจะมีปฏิกิริยาที่แตกต่างไปจากความตั้งใจดั้งเดิมของมันอย่างสิ้นเชิง