xs
xsm
sm
md
lg

“จิ๊บ เทพอาจ” เปิดใจครั้งแรก จุดแตกหัก “บอย โกสิยพงษ์” ก่อนมาบริหาร LOVEIS

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ช่วงแรกๆ เชื่อว่าหลายคนคงจะแปลกใจ ที่อยู่ๆ ค่ายเพลงดังอย่าง LOVEiS ที่บริหารงานโดยหัวเรือใหญ่ “บอย โกสิยพงษ์” ซึ่งเริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2548 จนถึงเมื่อปี 2563 อยู่ๆ เจ้าตัวก็ตัดสินใจถอนหุ้นออกทั้งหมด และเปลี่ยนมือมาเป็นนักธุรกิจที่ขึ้นชื่อว่าเป็นราชาแห่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกคนหนึ่งของประเทศไทย อย่าง “จิ๊บ เทพอาจ กวินอนันต์” เข้ามาบริหารแทน

ซึ่งทางฝั่ง จิ๊บ เทพอาจ เองหรือแม้แต่ทาง บอย โกสิยพงษ์ ก็ไม่เคยได้ออกมาพูดถึงการเปลี่ยนขั้วบริหารแบบกะทันหันมาก่อน แต่ล่าสุด จิ๊บ ได้มาเปิดใจในรายการ Woody Talk Show ยอมรับว่ามีปัญหาที่ทะเลาะกันหนักกว่า 2 ปีกว่าจะลงตัว

“ถามว่าจบกันยังไง ถ้าพูดแบบสุภาพก็คือซื้อหุ้นกัน แล้วก็แยกย้ายกัน ในอารมณ์ที่คงไม่ค่อยบวกนัก มันถึงได้ไม่มีข่าว ไม่มีใครให้ข่าวอะไร ถ้ามันจากกันด้วยดีก็คงเป็นข่าวที่มันบวกกว่านี้เยอะ แต่ตอนนั้นอยู่ดีๆ ก็ดีดนิ้วเลย แล้วก็กลายเป็นผมมาทำ ก็คงต้องมีอะไรอยู่ในนั้น 

ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ต่างคนต่างใช้ชีวิตอย่างมีความสุขของแต่ละคน ผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นอย่างนี้ คือตอนที่เข้ามาตอนแรกเข้ามาช่วยฟรี ส่งคนมาช่วยฟรี คือส่งคนมาแล้วผมจ่ายเงินเดือน ก็ช่วยอย่างเดียวไม่ได้คิดมาก คืออยากช่วยจริงๆ เพราะวันนั้นนภ (นภ พรชำนิ) บอกว่าพี่บอยจะเลิกแล้ว ผมก็เฮ้ย ผมรักเพลงเบเกอรี่ ผมรักเพลง Loveis แล้วจะเลิกอะไรวะ เขาบอกว่าไม่ไหวแล้ว ไม่อยากทำต่อ ก็โอเค งั้นผมเข้าไปช่วยแล้วกัน

บอกเริ่มเกิดปัญหา พนักงาน ศิลปินเริ่มเดือดร้อน
“สักพักนึงก็เริ่มมีสัญญาณมาว่ามาหุ้นกัน ผมก็บอกว่าได้ ผมขอหุ้น 1% ผมถามก่อนเลยว่าเป็นธุรกิจที่พี่จะให้ลูกหลานหรือเปล่า เพราะผมมีธุรกิจ ผมเข้าใจ ถ้าพี่จะเก็บไว้ให้ลูก เก็บไว้ให้ภรรยา เก็บไว้ให้ใคร ผมไม่อยากยุ่ง เขาก็บอกว่าไม่ๆ ไม่มีใครสนใจ ก็ให้ผมเข้ามาหุ้น ผมก็ขอหุ้นเปอร์เซ็นเดียว ผมจะได้รู้สึกว่าผมมีความเป็นเจ้าของ แต่ไม่ได้อยากไปเบียดเบียนพี่ แต่เขาบอกว่าไม่ได้ ต้องหุ้นกันครึ่งๆ ผมบอกว่า 50/50 มันเป็นตัวเลขที่เลวที่สุดเลยนะ ก็สรุปว่าครึ่งๆ

แน่นอนว่าพอมีปัญหาก็จะลำบาก สิ่งที่ผมกังวลคือลำบากกันสองคนไม่ว่า แต่อย่าให้คนอื่นลำบากด้วย หมายถึงผู้ใหญ่ทะเลาะกัน อย่าให้เด็กกระเทือนด้วย แต่ที่มันจำเป็นต้องขนาดนั้น เพราะเด็กเริ่มลำบากด้วย พอมันไม่ลงล็อกกัน มันก็ทำให้เด็กๆ ได้รับผลกระทบ เรื่องเงิน เรื่องโน้น เรื่องนี้ ผมก็โมโหเหมือนกัน เราทะเลาะกัน เราก็ทะเลาะกันสองคน ทั้งพนักงาน ทั้งศิลปินเกี่ยวอะไร อย่าฟาดงวง ฟาดงา อย่าทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน”

จุดแตกหักคือมีมือที่สามเข้ามายุ่ง
“ก็เลยคุยกันว่าทางออกจะเป็นทางไหน ก็คุยกันอยู่ประมาณ 2 ปี อยู่ในภาวะนั้นประมาณ 2 ปี ไม่มีใครรู้ คือผมง่ายมากเลยนะถ้าคุยกันดีๆ แต่บังเอิญว่ามีมือที่สามเข้ามา ผมก็บอกว่ามันไม่เกี่ยว มันเป็นเรื่องของผมกับคนนี้สองคน เอาคนนี้เข้ามาทำไม แล้วพอคนนี้เข้ามาทุกอย่างก็พัง ผมคุยกันสองคนหัวเราะเล่นกันด้วยซ้ำ แต่พอมีอีกคนเข้ามานี่เละ

สิ่งที่เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ 50/50 ไม่มีอะไรดี และผมเปลี่ยนคนไม่ได้ ถึงแม้เราจะพยายามแค่ไหนก็ตาม เพราะฉะนั้นเปลี่ยนตัวเองก่อน ให้ไม่มีนิสัยไปชอบเปลี่ยนคน พอเราทำได้แบบนั้นปุ๊บมันก็ง่ายขึ้นกับชีวิต และเราก็ถอยลงมา ไม่มีควาดคาดหวังในคนที่เราทำงานด้วยมากขนาดนั้น

LOVEIS ในฝันเหรอ เราเปลี่ยนจากคำว่า LOVEIS เป็น LOVEIS Entertainment นั่นแปลว่าเราควรจะมีฟังก์ชั่นอื่นๆ ในการเอ็นเตอร์เทนคน ไม่จำกัดเฉพาะเพลง จริงๆ ให้คอนเซ็ปต์ทีมงานไปแล้วว่าภายใน 5 ปีนี้ ต้องมากกว่าเรื่องเพลงไม่ว่าจะมุมใดมุมหนึ่งที่เกี่ยวกับวงการบันเทิง”

เตรียมตัวเปิดมูลนิธิ LOVEIS Music Foundation ให้คนมาเรียนดนตรีฟรี
ผมรู้สึกว่าเมืองไทยการเรียนดนตรีมันยากเหลือเกิน แพงเหลือเกิน และคอร์สของการเรียน คอร์สของเครื่องดนตรียังสูงอยู่มาก เด็กๆ ที่ไม่มีมันเข้าไม่ถึง ผมก็เลยรู้สึกว่ามูลนิธิอันนี้ที่เราจะทำขึ้นมามันควรจะเกี่ยวกับสิ่งที่เราถนัด และคิดว่าการสอน การให้เครื่องดนตรี การบริจาคอะไรต่างๆ มันยืนยาวได้ แปลว่า เมื่อเราส่งเสริมเรื่องพวกนี้ให้แก่เยาวชน เขาจะเป็นรากฐานให้แก่รุ่นต่อๆ ไปในการรักศิลปะชนิดนี้ ก็เลยคิดว่าเราสร้างมูลนิธินี้ขึ้นมา

อันดับแรกคืออาจจะเป็นเรานี่แหละที่ลงไปก่อน และครั้งต่อไปก็จะเปิดว่าใครอยากจะร่วมให้กับมูลนิธินี้ ก็จะมีที่เรียนฟรี จะกี่เครื่องดนตรีก็แล้วแต่ คนมาเรียนฟรี แต่เราจะจ่ายให้กับครูที่มาสอนในราคายุติธรรม ครูที่มาสอนต้องแฮปปี้ที่จะมาสอน ซึ่งเอาแค่ในค่ายเราก็อาจารย์เต็มไปหมดแล้ว นอกค่ายอีกเต็มไปหมด ซึ่งบางคนเขาน่าสงสาร ทำไมอาชีพนี้มันได้รายได้ต่ำจังวะ ถ้าไม่ได้เป็นเบอร์ต้นๆ นะ

อย่างที่เห็นเล่นตามผับอะไรต่างๆ บางคนเป็นอาจารย์หมดเลยนะ แต่ไปเล่นที 300-800 ขึ้นอยู่กับจังหวัดที่คุณไปเล่น ถ้าเรายกระดับพวกนี้ขึ้นมาได้ ทำให้เขารู้ว่านอกจากพวกเขาจะเล่นตามผับแล้วการที่เขามาสอนเป็นอาจารย์เนี่ย มันเปิดกว้างให้ลูกศิษย์มองเข้ามา ให้เขารู้สึกภูมิใจในอาชีพของเขาเอง ได้เงินที่เหมาะสม และคนที่มาเรียนไม่จำเป็นจะต้องมีสตางค์ ขอให้มีความกระหาย อยากรู้เรื่องดนตรี อยากเล่นดนตรี เล่นแล้วชอบหรือไม่ชอบค่อยว่ากัน เปิดประตูให้เขาก่อน ตอนนี้เราจดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว กำลังจะเปิดอย่างเป็นทางการ คิดว่าอีกประมาณ 1-2 เดือนนี้ เราจะไปตั้งหลักแรกที่ลิโด้ เราก็จะขอมุมนึงทำเป็นโรงเรียนสอน”











กำลังโหลดความคิดเห็น