xs
xsm
sm
md
lg

(คลิป) “คริส” เผยที่บ้านกังวล! จนต้องไปบน “อย่าว่าลูกฉันเลย” หวนสู่เส้นทางวาย กับผู้ชายที่ชื่อว่า “กวิน” อีกครั้ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“คริส พีรวัส” หวนคืนสู่วงการวายอีกครั้ง หลังห่างไป 8 ปี ในซีรีส์ “บทกวีของปีแสง” รับนอยด์ในช่วงแรกๆ ที่ซีรีส์ต้องสะดุดเกือบต้องพบจิตแพทย์ เผยที่บ้านถึงกับต้องไปบน กลัวคนมาว่าลูกตัวเอง ด้าน “ฟลุค กวิน” คู่จิ้นคนใหม่เปิดใจกดดัน แต่โชคดีที่ได้บัดดี้ดี พร้อมจะเปิดโลกไปด้วยกัน

การเดินทางของ “บทกวี” และ “ปีแสง” ได้เดินทางมาใกล้ถึงจุดที่ทุกคนจะได้รู้กันแล้วว่าจะลงเอยกันแบบไหน แต่กว่าจะมาเป็น “บทกวีของปีแสง” ที่ออนแอร์ทุกวันศุกร์ ทางช่อง gmm25 นั้น พูดได้เลยว่าเป็นโปรเจกต์พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก เปลี่ยนทั้งพระเอก เจอโรคเลื่อนจนเหมือนจะยุบโปรเจกต์ แต่จนแล้วจนเหล่าซีรีส์เรื่องนี้ก็ฝ่าทุกดรามาจนจะมาถึงอีพีสุดท้ายแล้ว

ด้าน “คริส พีรวัส แสงโพธิรัตน์” เปิดใจแบบเป็นกันเอง หลังจากที่ตัวเองเคยโด่งดังจากซีรีย์วาย “SOTUS The Series พี่ว้ากตัวร้ายกับนายปีหนึ่ง” ที่หวนกลับมารับงานซีรีส์วายอีกครั้งในรอบ 8 ปี ยอมรับว่ากดดันและนอยด์ แต่ก็พร้อมจะลองอะไรใหม่ๆ รวมไปถึงพาร์ตเนอร์คนใหม่อย่าง “ฟลุค กวิน แคสกี้” ที่กดดันไม่แพ้กัน จนทำให้ต้องละลายพฤติกรรมจากวันนั้นจนวันนี้สนิทกันยิ่งกว่าพี่น้องท้องเดียวกันซะอีก


ทำไม “คริส” ตัดสินใจกลับมาเล่นซีรีส์วาย?
คริส : ผมรู้สึกว่าจุดเริ่มต้นมาจากวงการวาย แล้วตลอดการเดินทางตั้งแต่ซีรีส์จบมาเราก็ไม่ได้หลุดออกจากวงการวายนี้เลย เหมือนว่าเราเข้าใจวิธีการทำงานของวงการนี้ไปแล้ว เข้าใจวิธีการแสดง เข้าใจเรื่องราวตัวละครทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ค่อยดูละครเลย ไม่ว่าจะเป็นละครชาย-หญิงหรือชาย-ชาย ชอบฟังเพลง ชอบตามศิลปิน แต่พอเวลาตัวเองได้สวมบทบาทเป็นนักแสดงกับวงการวายมานาน เราเข้าใจวิธีการแสดงของมัน แล้วก็สนุกเวลาที่เราเข้าใจมันมากๆ ก็เลยรู้สึกว่าเราน่าจะลองรับบทบาทแบบนี้ดูอีกสักครั้งนึง แล้วระยะเวลามันผ่านมา 8 ปี ก็อยากพิสูจน์การแสดงและความเข้าใจ เป็นการอัปเดตตัวเองด้วยว่าถ้าตอนนี้มาเล่นวายในบทนายเอก เราเข้าใจมันมากขึ้นไหม มันเป็นยังไงบ้างในยุคนี้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าลองเหมือนกัน ถามว่าอะไรเป็นความท้าทายในวันนี้ ผมว่าเป็นวิธีการแสดงที่หลากหลายมากขึ้น มีคาแร็กเตอร์ที่เข้ามาปรุงมากขึ้น อย่างบทของ “กวี” มีคาแรกเตอร์หลายๆ อย่างที่เข้ามาปรุงเพิ่ม

วันที่ซีรีส์สะดุด “คริส” รู้สึกยังไงกับสิ่งที่ต้องเปลี่ยนไป?
คริส : จริงๆ คือนอยด์มากเลย จะพบจิตแพทย์อยู่แล้ว เพราะมันมีเรื่องเพื่อนเข้ามาด้วย แล้วก็มีปัญหาหลายๆ อย่าง จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้การเดินทางมันขรุขระมากจริงๆ บางครั้งเราก็กังวลถึงความสัมพันธ์ บางครั้งก็กังวลถึงเรื่องงานด้วย โห..หลายอย่างมากเหมือนกัน แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันก็เป็นความโชคดีของผม ทุกอย่างก็คลี่คลายออกมาได้ดี ทุกๆ การเปลี่ยนแปลงมันก็แลนด์ดิ้งอย่างสวยงาม ไม่ได้มีปัญหาคาราคาซังอะไร

หนักไหม? กับความคาดหวัง ความกังวลกับการนับหนึ่งไปพร้อมกันหมดเลย?
คริส : ถ้าเราไปกังวลกับไฟทุกดวงที่อยู่รอบเราตัว เราจะเครียด บางทีอาจจะถูกไฟคลอกไปเลยก็ได้ แต่ว่าอันนี้เราก็แค่ตั้งสมาธิอยู่กับผลงาน อยู่กับพี่วา (ผู้กำกับ) เราทั้งคู่ให้ความเชื่อใจกับพี่วามาก ไม่ว่าจะพูดอะไรมาเราก็ทำตามแล้วก็ตั้งใจเต็มที่ ผมรู้สึกว่าไปเหนื่อย ไปกดดันกับสิ่งที่พี่วามอบให้ดีกว่า สุดท้ายแล้วผมว่าให้ผลงานเป็นตัวพิสูจน์ถึงเรื่องต่างๆ มากกว่า

การเดินทางของ “กวิน” กับเรื่องนี้กว่าจะมาลงตัวที่เรา?
กวิน : ตอนแรกที่รู้ว่าจะมีได้มาเล่น ก็มีคนมาบอกครับว่าจะได้เล่นเรื่องนี้ จะให้ไปคุยกับพี่วาว่าจะยังไงกัน ตอนแรกที่ได้ยินผมก็เซอร์ไพรส์นิดนึง เพราะตอนแรกผมไม่ได้คิดว่าจะได้มาเล่นกับพี่คริส มาเล่นเรื่องนี้ ตอนนั้นคิดว่ามีเรื่องอื่นที่จะได้เล่น แต่สุดท้ายก็ได้เล่นเรื่องนี้ ก็ได้มาคุยกับพี่คริส พี่วา ตอนแรกก็มีความกดดันนิดนึง เพิ่งเคยเจอพี่วาด้วย แล้วก็ในเรื่องของการเปลี่ยนนักแสดง เราก็คุยกันว่าจะไปทิศทางไหนที่ไปในทางเดียวกัน ในเรื่องของปัญหา ในเรื่องของซีรีส์ คุยกันว่าเราจะสู้ไหม ผมก็ลองครับตอนนั้น ไปเวิร์กช็อปประมาณ 1 เดือน ผมก็ค่อนข้างพอใจกับผลงานที่ออกมาจากที่ได้ดู จากที่ได้เล่นไป

“กวิน” กดดันไหม ต้องมาร่วมงานกับ “พี่คริส”?
กวิน : รู้สึกกดดันนิดนึงครับ แต่ก็พยายามบอกตัวเองอย่างที่พูดไว้ตอนแรกว่า ถ้าเราคิดมากมันก็จะไม่ดีกับตัวเอง ให้คิดว่าเราทำเต็มที่ เอาแรงกดดันมาเป็นพลังงานบวกและเต็มที่กับตรงนี้

ที่ผ่านมา “กวิน” เล่นเป็นตัวเองค่อนข้างเยอะ มาเรื่องนี้ใหม่หลายอย่าง?
กวิน : เราก็ทำการตามคาแรกเตอร์กันตอนเวิร์กช็อปก็ค่อนข้างจะเยอะอยู่ ทุกอย่างต้องคุยกับพี่วา แล้วเราก็คุยกันเองด้วยว่าเป็นแบบนี้ดีไหม ก็ช่วยกันแนะนำเยอะเหมือนกันก่อนที่จะไปคาแร็กเตอร์ที่เป็น ‘ปีแสง’ ส่วนพี่คริสก็เจอคาแรกเตอร์ที่เป็น ‘กวี’ มีความลองผิดลองถูกกันมา สุดท้ายก็ช่วยๆ กันไปครับ

ระหว่างถ่ายทำที่โดนดุเฟลไหม?
กวิน : แรกๆ อาจจะมีบ้างครับ (ยิ้ม) ยอมรับว่าแรกๆ มีนิดนึง แต่ว่าผมรู้สึกว่ามันเป็นการทำงานเราก็ต้องมีการพูดคุยกัน การสื่อสารกันก็ต้องสื่อสารกันตรงๆ ถึงจะรู้เรื่อง ถ้าเรามัวแต่เกรงใจกันก็จะไม่ได้รับข้อมูลที่ตรงกัน หลังๆ มันไม่ใช่ความเฟล มันเป็นความรู้สึกที่ว่า โอเค เรารับบรีฟมาแบบนี้นะ ไปแก้แบบนี้

ด้วยความที่เราทั้งคู่ต่างก็เคยเล่นซีรีส์วายมา แล้วก็มีคู่ของตัวเอง ก็อาจจะมีการยึดติดกับเรื่องเดิม ทำยังไงกับการที่ต้องมาเล่นกับคู่ใหม่?
กวิน : มันก็พูดยากนิดนึงครับ เพราะแรกๆ เราก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง ผมรู้สึกว่าการเปลี่ยนคู่ต้องทำความรู้จักกันให้ดี ผมเชื่อว่าการที่เราสนิทกันมากขึ้นช่วยในเรื่องของการทำงาน การที่เราสนิทกัน ทำให้เราพูดกันได้ทุกเรื่อง เริ่มคลิกกัน ก็เริ่มที่จะไปทางเดียวกัน ผมรู้สึกโอเค

คริส : ผมว่ามันเหมือนเป็นการอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ถูกตั้งใจอ่านและตั้งใจเขียนอย่างดีบรรจงทุกตัวอักษร หนังสือเล่มนี้มันถูกเขียนจนจบแล้ว และเราเองก็จะเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดีของเราที่สุด แล้วนี่ก็เป็นหน้าหนังสือใหม่ หน้าความทรงจำใหม่ที่เราจะร่วมสร้างจากวันนี้ไปถึงอนาคต แล้วมันก็เป็นเรื่องของการทำงานด้วยที่ผู้ใหญ่เขาเชื่อใจ ไว้วางใจและให้ความรับผิดชอบพวกเรามาทั้งคู่ เพราฉะนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำคือทำให้ออกมาดีที่สุด ให้ทั้งผู้กำกับหรือผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสเรา รู้สึกว่าเชื่อใจได้ ทีนี้มันก็อยู่ที่ว่าเราสองคนพอมาเจอกันแล้ว มันมีอะไรที่สวนทางกันไหม ไม่ไปด้วยกันไหม ซึ่ง ณ ตอนนี้ก็คือไม่ เราค่อนข้างมีอะไรหลายๆ อย่างที่เหมือนกัน มันเป็นความโชคดีคือฟลุคเหมือนชื่อน้องเลย พอเรามาเจอกันไลฟ์สไตล์เหมือนกัน ชอบไปเที่ยวคล้ายๆ กัน มีความชอบไปแฮงก์เอาต์เหมือนกัน มันไม่ได้มีอะไรบางที่สวนทางแล้วทำให้เราลำบากใจ ผมรู้สึกว่าไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนคู่หรืออะไร มันก็เป็นหนังสือแต่ละเล่มที่แฟนคลับทุกๆ คนก็ร่วมกันอ่าน ร่วมกันแชร์ความทรงจำของหนังสือเล่มนั้นไป แล้วเราก็จะเก็บมันไว้ในชั้นหนังสือของเราครับ”

เครียดหรือกดดันกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นไหม เรารับมือกับมันยังไง?
คริส : ถามว่าเครียดไหม เครียดนะ คุณพ่อคุณแม่คริสเองเขาก็เครียดเหมือนกัน เพราะท่านก็เล่นโซเชียลบางทีเขาเห็นคำคอมเมนต์หมดนะ วันแรกที่ออนแอร์ที่บ้านคริสไปบนนะขออย่าให้ลูกโดนต่อว่า (ยิ้ม) คุณแม่จะแพนิกมาก บ้านคริสไม่เคยสนใจเลยนะว่าเรื่องนี้ต้องดัง ต้องเทรนด์อันดับหนึ่ง แต่เขาแค่ว่าอย่าต่อว่าลูกเลย เขาห่วงความรู้สึกคริสมาก แต่ผมว่ามันไม่ใช่พลังงานลบแล้วแหละ ณ วันนี้ที่เกิดขึ้น เพราะตัวทีเซอร์หรือหลายๆ อย่างที่ถูกปล่อยออกมา ทำให้เรารู้สึกว่านี่คือผลของการตั้งใจ มันไม่ใช่ผลของการที่เราจะมาลบล้างอะไรบางอย่าง อยากจะเปลี่ยนอะไรบางอย่าง มันไม่ใช่เลยครับ มันคือความตั้งใจที่เราอยากให้ผลงานของเราออกไปแล้วแฟนๆ พอใจกับมัน เพราะว่าจริงๆ แล้ว ‘บทกวีของปีแสง’ ก็มีแฟนนิยายของเราอยู่แล้วด้วย เราก็อยากจะชาเลนจ์ว่าแฟนที่อ่านนิยายเขาจะอินกับพวกเรา อินกับการแสดงของพวกเราไหม ผมอยากให้ดูที่ว่าเป็นตัวละครที่เดินตามนิยาย อย่างที่ผมบอกว่าเราไม่ได้อยากที่จะลบบางอย่างทิ้ง แล้วเอาบางอย่างเข้ามาแทน มันไม่ใช่ ทุกอย่างยังคงอยู่เหมือนเดิม

พอเรามาคู่กันเราต้องคุยกันยังไงเพื่อหาตรงกลาง?
คริส : เอาจริงๆ คุยกันเยอะมาก เพราะเราทั้งคู่ไม่เล่นโซเชียลเลย ผมก็ไม่ค่อยเล่นอยู่แล้ว อาจจะเข้าไปดูข่าวบ้าง แต่น้องคือมีบ้าง ถามว่าผมต้องละลายพฤติกรรมน้องยังไงบ้าง ตอนแรกผมก็เกรงใจว่าถ้าต้องไปบอกว่าต้องลงรูปนี้นะ เดี๋ยวต้องอะไร บอกให้ทำเรื่องโซเชียล ผมกลัวว่าจะไปทำให้น้องอึดอัดหรือเปล่า แต่สุดท้ายผู้ใหญ่เขาเห็นว่ามันสำคัญก็เลยเรียกพวกผมสองคนเข้าไปคุย อบรมเรื่องนี้โดยเฉพาะ พอหลังจากนั้นเราก็กลับมาเจอกันที่บ้านเลยครับ แล้วมานั่งคุยกันเลยว่าแค่ไหนคือความพอดีสำหรับเราทั้งคู่ เล่นตรงไหน หรือว่าคิดคอนเทนต์ตรงไหน ต้องบาลานซ์แค่ไหนไม่ให้น้องอึดอัด แล้วก็ไม่ต้องให้เราต้องมาพยายามคิดอะไรมากมาย เอาความสบายใจของทั้งคู่

กวิน : เหมือนว่าหาอะไรที่เราชอบทำเหมือนกัน ผมรู้สึกว่ามันก็เป็นเหมือนชาเลนจ์เหมือนกัน จากเมื่อก่อนที่เราอาจจะไม่ค่อยได้ทำมากขนาดนี้ รู้สึกว่ามันก็เป็นผลดี ที่เราควรจะโอเพ่นตัวเองมากขึ้นทั้งเล่นโซเชียลและให้คนรู้จักเรามากขึ้น ตอนนี้ผมก็รู้สึกว่าตัวเองพร้อมที่จะโอเพ่น อยากจะเปิดให้คนได้เข้ามารู้จักมากขึ้น พอเจอตรงกลางก็ทำให้รู้สึกว่าบางอย่างมันไม่ต้องฝืน อย่างเช่น เราคิดว่ามาโคฟเวอร์เพลงกันไหม ก็ต้องมานั่งเล่นกันก่อนว่าจะเอาเพลงไหนให้มันไม่ฝืน สุดท้ายอาจจะไปเจออีกอย่างนึงที่เป็นเรามากกว่า

คริส : หรือพูดให้เห็นภาพชัดๆ ผมทั้งคู่ไม่ค่อยเล่นโซเชียล ทีนี้ผู้ใหญ่เขาอยากให้เราเล่น เราจะหาตรงกลางกันยังไงดี ผมก็ไปได้ตรงนี้มาคือเราสองคนไม่ค่อยพิมพ์คุยกันจะมาลงรูปคู่กันอันนี้ฝืน (หัวเราะ) ผมก็ไม่ค่อยคอมเมนต์คุยกันด้วย ก็เลยคิดได้ว่าเราสองคนชอบร้องเพลง หลายๆ คนอาจจะไม่รู้ว่าเวลาอยู่ด้วยกันเราร้องเพลงกันตลอดเวลา เล่นกีต้าร์ เล่นดนตรี ก็มาเก็บมุมนี้ให้คนได้เห็นแทน ก็ตกลงกันว่าให้เราเป็นตัวเอง ก็เอามาบาลานซ์กัน ความที่เราเหมือนกันขนาดนี้ ผู้ใหญ่ คนดูแลหนักใจนะ (หัวเราะ) จะดึงสองคนนี้ออกมาในโซเชียลยังไงได้บ้าง ความรู้สึกของคริสเหมือนกลับมาเป็นเฟรชชี่ ไลน์หาน้องแทบทุกวัน คุยกันจะทำอะไรดี ความตื่นเต้นมันมี ก็สนุกนะครับ

















กำลังโหลดความคิดเห็น