xs
xsm
sm
md
lg

“สุกัญญา มิเกล” ย้อนปมในใจ โดนบูลลี่หนักเกินทน หวิดซื้อปืนมาฆ่าเอ็มดีอดีตค่ายต้นสังกัด!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สุกัญญา มิเกล” เผยกลับมารับงานซีรีส์อีกครั้ง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการบูลลี่ บอกตนก็โดนมาตั้งชีวิต ย้อนเล่าถึงตอนทำอัลบั้มแรก โดนเอ็มดีบริษัทเพลงต้นสังกัดบูลลี่หนัก แค้นจนเกือบจะไปซื้อปืนมาฆ่าแล้ว โชคดีได้เพื่อนที่เป็นช่างสักห้ามไว้ก่อน ปัดไม่ขอตอบเรื่องลูกสาวแล้ว เพราะแยกกันชัดเจน ตอนนี้ก็ดูแลลูกชายเพียงคนเดียว และลูกก็ช่วยฮีลใจได้เป็นอย่างดี

หวนกลับมามีผลงานการแสดงอีกครั้ง สำหรับนักร้องเสียงสาวทรงพลัง “สุกัญญา มิเกล” ที่ล่าสุดรับเล่นซีรีส์เรื่อง High School Bully และบวงสรวงไปเป็นที่เรียบร้อย ณ ม.กรุงเทพรังสิต ซึ่งเจ้าตัวเผยว่าผู้จัดซีรีส์เรื่องนี้เป็นแฟนคลับตัวยงของตนนั่นเอง และที่ผ่านมาก็ได้งานจากแฟนคลับซะส่วนใหญ่

“ซีรีส์ก่อนหน้านี้มีตอนปี 63 เป็นซีรีส์ของช่องทรู อันนัันก็บทร้ายเหมือนกัน เป็นบทคุณแม่ใจยักษ์ เลี้ยงลูกจนลูกเป็นฆาตกร พอมาเรื่องนี้ก็เป็นครูใจยักษ์อีกแล้ว มีบทที่น่ารักอยู่แค่เรื่องเดียวเมื่อปีที่แล้ว แต่สุดท้ายเราก็กลับมาที่เดิมคือน่าเกลียดเหมือนเดิม ถามว่าต้องเคาะสนิมเยอะไหม เราว่าการแสดงมันเป็นเรื่องของความเข้าใจ และยิ่งมีชั่วโมงบินบ่อยๆ เราก็ยิ่งได้ใช้ทักษะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ที่ตัดสินใจรับ ก็เพราะเจ้าของที่ทำเขาเป็นน้องที่เป็นแฟนคลับตัวยงของเราเลย และงานส่วนใหญ่ที่ได้มาก็มาจากแฟนคลับทั้งนั้นเลย (หัวเราะ) ซึ่งตอนนี้แฟนคลับต่างคนก็ต่างเติบโต เราก็เริ่มแก่ลงเรื่อยๆ แต่เขามองเห็นความน่ารักของเรา (หัวเราะ) เขาก็เลยอยากได้เราทำงาน แต่เราเป็นคนว่าง่าย ใช้อะไรให้ทำอะไรก็ทำหมด พอน้องเขาชวนมาก็รับเลย”

เผยโดนบูลลี่มาทั้งชีวิต
“เรื่องนี้เกี่ยวกับการบูลลี่ด้วย เรามองว่าน้องทำงานมีเป้าหมายในการปล่อยออกไปในเชิงสร้างสรรค์ อย่างน้อยๆ ก็เป็นสิ่งสะท้อนสังคมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง จริงๆ แล้วการบูลลี่เป็นเรื่องสำคัญมากนะ เพราะว่าเริ่มต้นตั้งแต่สถาบันครอบครัว ไปถึงโรงเรียน ไปถึงในความสัมพันธ์ฉันท์แฟนกันก็มีการบูลลี่อยู่ พ่อแม่ลูกมีหมดเลยในทุกระดับชั้นเลย เพราะเราเองก็เคยโดนหนักมากมาก่อน บอกเลยว่าการบูลลี่กันที่คิดว่าแค่อำหรือแค่หยอกเล่น แซวเล่น เปรียบเสมือนอาวุธได้เลย มันทำร้ายความรู้สึกเนอะ มันบั่นทอนความเป็นมนุษย์เรา

แรกๆ ความต้านทานของเรายังมีอยู่นะ แต่พอมันโดนบ่อยๆ ซ้ำๆ และยิ่งเป็นระยะเวลานานๆ และเป็นจากคนเดิมๆ มันจะเริ่มทำให้เรารู้สึกว่าความเป็นมนุษย์ของเราลดน้อยลง และเราเริ่มรู้สึกว่าเราไม่มีค่าในการที่จะอยู่กับคนในสังคม ส่วนใหญ่แล้วคนที่เจอสถานการณ์บูลลี่หนักๆ จะปลีกตัว จะกลายเป็นคนปลีกวิเวก ชอบอยู่สันโดษ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร เสียบุคลิกภาพ เสียสัมพันธภาพกับเพื่อนๆ สังคมรอบตัวเขาจะดูแย่สำหรับเขาเลย

เคยจะซื้อปืนมายิงเอ็มดีอดีตต้นสังกัดเก่า แต่ได้เพื่อนห้ามไว้
“เคยโดนคำไหนที่รู้สึกว่าแรงที่สุดเหรอ ตอนที่ทำอัลบั้มครั้งแรก ตอนนั้นอายุ 20 ก็จะมีเอ็มดีของบริษัทเรียกเข้าไปประชุม แล้วก็บอกว่าคุณรู้ตัวใช่ไหมว่าคุณเป็นคนเรียนรู้น้อย คุณเรียนไม่จบด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวผมจะหาหนังสือมาให้คุณอ่านเยอะๆ และคุณรู้ใช่ไหมว่าคุณไม่ได้เกิดมาในตระกูลสูงส่ง เพราะฉะน้้นเราจะพาคุณไปเข้าสังคมไฮโซ ให้คุณได้รับรู้ว่าไฮโซเขาทำยังไงกัน

คุณทำงานร้องเพลงได้เพลงเดียวเองเหรอภายใน 3 ชม. ซึ่งเราก็เอ๊ะ…ชาวบ้านเขาร้องกันเป็นอาทิตย์ ไอ้ควาย ตอนนั้นจะต่อยแม่xแล้ว เตรียมซื้อปืนแล้ว แต่โดนห้ามไว้โดยช่างสัก พาไปกินเหล้ากัน ก็เลยสบายใจ ไม่ต้องฆ่าใครแล้ว (หัวเราะ) การบูลลี่มันฆ่าคนได้ และมันสามารถผลักดันให้คนๆ หนึ่งกลายเป็นปีศาจได้ อย่าคิดว่าการล้อเลียนลูกหลาน การล้อเลียนเพื่อน เขาจะต้องเข้าใจเสมอว่านี่คือการล้อเล่น

การแสดงความรักกันหรือหยอกล้อกันมันทำได้หลายแบบ อย่างเสื้อผ้าเด็กนักเรียนบางคนไม่มีจีบ เพื่อนก็ไปล้อว่ามึงจนใช่ไหม ไม่มีเตารีด ไม่มีไฟฟ้าเหรอ คือมันกลายการทับถม ซึ่งมันควรจะหมดไปแล้ว มันควรจะมองกันที่แค่เป็นมนุษย์ด้วยกัน เธอเรียนดีหรือเปล่า เธอมีลักษณะบุคลิกยังไง มีไอเดียอะไร กลับกลายเป็นว่าเอาสิ่งที่เป็นบุคลิก เป็นคาแรกเตอร์มาบูลลี่กัน”

บอกพอเพลงดัง อีกฝ่ายก็มาร้องไห้ขอโทษ
“หลังจากที่โดนเอ็มดีเรียกคุย ก็ยังทำงานด้วยกันต่อ คือเราเป็นคนมีนิสัยที่ว่าถ้าสัญญาอะไรแล้วเราจะทำจนสุด ต่อให้ต้องเจออะไรเราจะไม่เลิกกลางคัน เราก็เลยโดนหลอกบ่อยๆ แต่เราก็เก็บความรู้สึกนั้นไว้นะ รอวันนึงที่เราดีขึ้นแล้วค่อยยิ้ม การฆ่าคนที่เขาดูถูกเราทำได้ง่ายๆ โดยการที่คุณพยายามให้มากขึ้น และส่งยิ้มเฉิดฉายในวันที่คุณสำเร็จ เขาเห็นแน่นอน

ก็หลังจากเพลง รักเธอจริงๆ ออกไปแล้ว เราก็ได้รับการยอมรับจากแฟนคลับมากมาย เขาก็มาขอโทษนะ เขาร้องไห้ และเขาก็รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เขาเคยพูดไว้ เราก็เลยบอกกับเขาไปว่าต่อจากนี้ไปก็เรียนรู้ว่าอย่ามองคนเฉพาะแค่เขาพูดมา หรือมองคนแค่เห็นว่าเราเป็นคนยิ้มน้อย ถ้ามึงเป็นคนไนซ์ กูก็จะยิ้มให้มึง แต่เผอิญมึงไม่ไนซ์กับกู กูก็เลยไม่ค่อยยิ้มให้ ไม่ใช่ความผิดของฉันจ๊ะ”

บอกทุกวันนี้ก็โดนบูลลี่ที่ออกมาคอลเอาต์เรื่องการเมืองตลอด
“ทุกวันนี้ก็ยังมีเรื่อยๆ นะ เราอยู่ในโหมดกีฬาสีเหลืองแดงนี่โดนประจำ อยู่ทางไหนอีกฝั่งก็ถล่ม เป็นเรื่องปกติ นี่ไปบำบัดจิตมานะ ถ้าไม่ไปบำบัดจิตน่าจะไม่ดีขึ้น แต่ก็ยังเหลือเชื้อบ้างบางอย่าง คือพอดีมีครูเป็นนักบำบัดไปเรียนมาจากต่างประเทศ เราก็เลยได้ไปอยู่ 3 ครั้ง เหมือนเข้าคอร์สสำหรับเคลียร์จิตใต้สำนึกเลย หลังจากนั้นเราก็รู้สึกว่าเรามองหาสิ่งที่เป็นข้อดีของตัวเรา

ดังนั้นเวลาที่เขาบูลลี่หรือด่าเรา เราจะไม่รู้สึก เพราะมันไม่ใช่ความจริง สิ่งที่เป็นจริงคือสิ่งที่เรารู้อยู่ว่าเราทำอะไร และตั้งมั่นว่าเรารับรู้อย่างชัดเจนว่าเราทำอะไร และเราทำเพื่ออะไร มันเป็นผลร้ายหรือผลดีกับใคร พอเรารับรู้แล้วมันก็เป็นเสียงภายนอก เป็นมุมมองของแต่ละคน ซึ่งเราก็เคารพ ก็ว่าจะฟ้องหลายทีแล้ว แต่ยังไม่กล้าฟ้องใครเลย ชาวเน็ตนี่แหละ พอไปดูโปรไฟล์แล้วแต่ละคนก็น่าสงสารพอๆ กับกูเลย

ไม่ขอหยุดคอลเอาต์ จนกว่าถ้าไม่ต้องเสียภาษีแล้วไม่ผิด
“พอเราออกมาคอลเอาต์เรื่องการเมืองบ่อยๆ ก็โดนหนัก เรื่องของงานบางทีบางคนก็อยากได้งานจากเรา แต่พอบรรดาผู้บริหารเห็นก็ไม่เอาก็มี หรือบางร้านที่อยากเอาเราไปเล่นก็กลัวว่าฝั่งตรงข้ามจะมาสร้างปัญหาภายในร้าน ก็เลยไม่เอาเราไปเล่นก็มี คิดจะเพลาๆ ลงไหมเหรอ เพลาเพื่อ เรายังจ่ายภาษีอยู่ ถ้าไม่จ่ายและมันไม่เอาภาษีเราแล้ว เราจะหยุด บอกว่าไม่จ่ายแล้วไม่ผิดเราจะหยุดเลย อย่างเลือกตั้ง 4 ปีครั้งนึงเนี่ย กะว่าอีก 4 ปีค่อยจ่ายภาษี เพราะจ่ายไปแล้วมันไม่ได้ประโยชน์อะไร เลือกไปแล้วไม่ได้มา

สภาพจิตใจตอนนี้ก็กลับมา 100% แล้ว จะมีบางช่วงที่เครียดมากๆ พอเครียดมากๆ อาการดิ่งก็จะกลับมา แต่ดิ่งล่าสุดคือเกี่ยวกับเรื่องชีวิต เรื่องที่อยู่อาศัย แต่มันน้อยมากเลยถ้าเทียบกับเมื่อก่อนนี้จะเป็นตลอดเวลา เรียกว่าเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง แต่คนข้างนอกไม่รู้ เพราะเราไม่เคยไปบอกใคร และเวลาที่ไปออกทีวีมีรายการมาเชิญไป เราก็ทำตามหน้าที่ที่เขามีเป้าหมายให้เราไปออก เราก็เลยไม่เคยแชร์สิ่งที่มันเป็นความจริงของเราเลย

ดังนั้นคนภายนอกก็จะไม่รู้ว่าเกิดสถานการณ์อะไรกับเราบ้าง และเราก็มองว่าคนรุ่นวัยเรา ศิลปินไม่ได้มีหน้าที่มาร้องโวยวายหรือเรียกร้องอะไร มีหน้าที่คือมีงานมาก็ทำตามหน้าที่ และเวลาเจอแฟนคลับ เราดูแลเขา เราให้ความสุขกับเขา ไม่ใช่เอาความทุกข์ของเรามาให้เขาแบบ เราคิดแบบนี้นะ ดังนั้นก็เลยไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเราเจออะไรมาบ้าง”

ไม่ขอพูดเรื่องลูกสาวแล้ว ตอนนี้มีแต่ลูกชายที่คอยเป็นกำลังใจ
“คนรอบข้างช่วยมากนะ ลูกชายจะคอยฮีลใจเรา เวลาที่เราย่ำแย่ เขารู้แหละ พอมีสถานการณ์ที่เริ่มบีบเรา เขาก็จะมาบอกว่าหม่ามี๊ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวมันต้องผ่านไปนะ เขาจะคอยทำเรื่องตลกๆ ให้เราสบายใจ คือไม่ทำตัวสร้างปัญหาให้เราเครียดมากขึ้น อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ลูกช่วยแม่ได้ ลูกชายตอนนี้ก็วัยรุ่นแล้ว 14 แล้ว เขาเข้าใจมาตั้งแต่ 6-7 ขวบแล้วแหละ เวลาเราถามเขาว่าหนูรู้สึกแย่ไหม เขาก็จะบอกว่าผมไม่ๆ อย่างนึงเขาอาจจะรู้สึกแหละบางเรื่อง แต่เขาก็พยายามจะแข็งแรงเพื่อเรา

ลูกสาวเหรอ เรื่องนี้ไม่ถามแล้วนะ พอแล้ว หลายช่อง และเวลาช่องที่โจมตีมันก็เอาไปเล่นกันสนุกเลย ไม่เอานะ มันแยกไปแล้ว ให้เกียรติเขาไปแล้วในฐานะหญิงสาวคนหนึ่ง เรามีครอบครัวและอยู่กับน้อง ซึ่งถือว่าคนละส่วนไปแล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว”

ให้เสรีภาพกับลูกชายเต็มที่ แค่บอกว่าสิ่งไหนดี ไม่ดีเท่านั้น
“ลูกชายเขาเป็นอินโทรเวิร์ด มีโลกส่วนตัว และสนุกในแบบของเขา ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ แต่เวลาเจอผู้คนก็จะมีความอาย ความเขินค่อนข้างสูง และไม่ชอบที่คนเยอะๆ แต่เวลาเขาอยู่ของเขา ก็มีความสุขแฮปปี้ดี ซึ่งเราก็ทำความเข้าใจกับคนที่มีบุคลิกแบบนี้ ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดปกติ และไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับสังคม เพียงแต่เราต้องเข้าใจและเปิดช่องว่าเขาต้องการอยู่ในโลกของเขา ก็ปล่อย ไม่พยายามดึงเขาไปที่ไหน

เขาชอบร้องเพลงหรือชอบงานในวงการเหมือนแม่ไหมเหรอ ไม่เลย แต่ในสายตาเรา เขาก็มีพรสวรรค์แหละ อย่างน้อยๆ ก็ร้องเพลงไม่เพี้ยน แต่เราก็ไม่ได้บอกเขาว่าต้องเอาดีทางนี้ ก็ปล่อยเขา เขาชอบวาดรูป กับสนใจเรื่องของอิเล็กโทรนิกส์ไฟฟ้า ตอนนี้กำลังบ้าคลั่งเทสล่า อาจจะเป็นเบื้องหลัง เป็นนักออกแบบ ไม่รู้เหมือนกัน ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการรอดูสำหรับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ ถ้าเป็นพ่อเป็นแม่แล้วขีดว่าคุณต้องเดินทางนี้ๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นปัญหาสำหรับลูก

คือเราเคารพในความเป็นมนุษย์ และเราก็เคารพผู้อื่นในสิ่งที่เขาก็มีสิทธิเสรีภาพ และลูกเราจะไม่ได้ความเคารพจากเราได้ยังไง เราก็ต้องให้เขาในฐานะมนุษย์คนนึงไม่ว่าจะวัยไหนก็ตาม สิทธิของเขาที่จะเลือก สิทธิของเขาที่จะพูด สิทธิของเขาที่จะแสดงทุกอย่างที่จะแสดงความเป็นตัวเขาออกมาได้ โดยที่เราไม่ใส่ใจว่าเขาทำไปแล้วจะเป็นที่น่ารังเกียจไหม เขาต้องเรียนรู้ สังคมจะสอนเขาเอง แต่เราจะเป็นผู้ปกครองที่คอยเป็นไกด์ ว่ามารยาททางสังคมแบบนี้นะ ความถูกต้องแบบนี้นะ ความผิดคืออันนี้นะ ศีลธรรมคืออันนี้นะ แต่ที่เหลือคุณก็เลือกเอาว่าคุณจะเป็นแบบไหน ถ้ารักหม่ามี๊ก็จงคัดสรรสิ่งดีๆ ให้กับชีวิต”













กำลังโหลดความคิดเห็น