xs
xsm
sm
md
lg

“หนูนา หนึ่งธิดา” ชีวิตไร้เป้าหมายเมื่อไร้หนี้! ลงทุนสร้างหนี้ หาแพชชั่นให้ตัวเอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“หนูนา หนึ่งธิดา” หายไปค้นหาตัวเอง แต่ตอนนี้คัมแบ็กละคร เพราะเริ่มวางแผนชีวิตมากขึ้น เริ่มสร้างหนี้ อยากได้รถและซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นของตัวเอง เผยหนี้ทำให้มีแพชชั่นในชีวิต ปัดโดนบูลลี่เรื่องรูปร่างจนทำให้หายจากวงการ ชม “จูเนียร์” มีความเป็นผู้ใหญ่มีความพร้อมเรื่องแต่งงานมากขึ้น แต่เป็นตนที่ยังไม่พร้อม  

หายหน้าหายตาไปหลายปีทีเดียว สำหรับนางเอกสาวร่างเล็ก “หนูนา หนึ่งธิดา โสภณ” ที่ล่าสุดตัดสินใจกลับมารับงานอีเวนต์และงานแสดงอีกครั้ง โดยเจ้าตัวเผยในงานประชุมแห่งชาติในด้านแวชศาสตร์ความงาม แพทย์ทางเลือกและวิทยาการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพครั้งที่ 5 ณ ห้องประชุมปรีดี พยมยงค์ อาคารเฉลิมพระเกียรติ  (อาคาร 7) ชั้น 6 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ บอกว่ากลับมาเพราะไปสร้างหนี้ใหม่เพิ่ม เป็นการสร้างแพชชั่นในการทำงาน 

“กลับมาทำงานแล้วค่ะ (หัวเราะ) ก็อาจจะสัก 1-2 เดือนนี้จะได้เห็นภาพยนตร์ทาง Netflix นะคะ ใกล้ๆ จะได้เห็นกันแล้ว ก็คือเรื่อง มนต์รักนักพากย์ ค่ะ และละครอีกเรื่องตอนนี้ปิดไปแล้วค่ะ ช่วงที่ผ่านมาก็ถ่ายละคร ถ่ายหนังไง ก็ไม่ค่อยได้ออกอีเวนต์ ไม่ค่อยได้เจอพี่ๆ สื่อสักเท่าไหร่

ก็มารับงานในรอบ 3 ปีกว่า ตั้งแต่ก่อนโควิด ช่วงที่หายไปก็มีคนถามมาหลายคนมากเหมือนกันค่ะ ก็เป็นช่วงพักด้วยค่ะ คือมันเป็นช่วงปิดของชีวิต คิดว่าทุกคนต้องเจอ เคยพูดหลายครั้งแล้วว่ามัน suffer เราจะทำอะไรดี เราอยากที่จะทำอะไร ด้วยความที่เราอยู่ในวงการตั้งแต่เด็ก มันเหมือนค้นหาตัวเองว่าจริงๆ แล้วเราชอบอะไร เราอยากทำอะไร ก็เลยไปลองทำอย่างอื่น

ไม่ได้หายไปไหน ไปแข่งทำอาหาร ไปโน่นไปนี่ คือไปลองหาวิธีทำหลายอย่าง ค้นหาตัวเอง ตอนแรกเรายังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเราชอบตรงนี้หรือเปล่า ก็เลยไปลองหาตัวตน แต่พอได้ไปทำอย่างอื่นก็รู้สึกว่าจริงๆ สิ่งที่เราชอบมันคือการร้องเพลง การเล่นละครเวทีอะไรพวกนี้นี่นา”

บอกอยากซื้อรถและอสังหาริมทรัพย์ของตัวเอง เลยไปสร้างหนี้เพิ่ม
“มันหมดหนี้ด้วยค่ะ (หัวเราะ) จังหวะที่เราจะพักได้ก็คือจังหวะที่เราปลดหนี้ทุกอย่างแล้ว เราถึงจะพักได้เท่านั้น ในวันที่เรามีหนี้ เราไม่สามารถพักได้อยู่แล้ว (หัวเราะ) มีหนี้สินก็ทำงานค่ะ ตอนนี้กลับมาทำงานเพราะว่าสร้างหนี้เพิ่มค่ะ (หัวเราะ) พอเรารู้แล้วว่าการที่เรามีอะไรที่ต้องทำในชีวิต มันเป็นการหาแพชชั่น ตอนแรกหาไม่เจอ พอมีหนี้สินอยู่ๆ ก็รู้แล้วว่าฉันมีแพชชั่น (หัวเราะ)  คือคิดจะซื้อรถและซื้ออสังหาริมทรัยพ์ค่ะ เพราะว่าเราเริ่มโต เมื่อก่อนคิดว่าปิดบ้าน ปิดคอนโดฯ ได้ก็เรียบร้อย แต่รู้สึกว่าตอนนี้อยากจะอะไรสักอย่างเป็นของตัวเองด้วย อยากจะบอกกับทุกคนว่ามันเป็นเรื่องที่ดีนะ คนจะบอกว่าการไม่มีหนี้เป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่การที่ไม่มีหนี้เราก็จะทำงานไปเรื่อยๆ ทำไปวันๆ ไม่มีเป้าหมาย

แต่ถ้าเรามีหนี้ มันไม่ใช่หนี้สินที่หายไป แต่มันเป็นหนี้ที่จะสร้างให้เราในอนาคต เรามีหนี้ตรงนี้ดีกว่า เราจะได้มีแรงในการทำงาน เพราะเวลาครบสิ้นเดือนมันจะจี้ลนก้นเรามาว่าต้องทำงานๆ ขยันหน่อย (หัวเราะ) คิดว่าทุกคนก็เป็นเหมือนกัน ตอนนี้ลงโซเชียลทุกวัน เป็นอินฟลูเอนเซอร์ท่านหนึ่งนะคะ สามารถจ้างงานอินฟลูฯ ได้เรื่อยๆ”

ปัดหายไปเพราะโดนบูลลี่เรื่องรูปร่าง
“ยังๆ หลังจากพักงานถึงได้กินเยอะ (หัวเราะ) คือตอนที่ทำงานอยู่ยังไม่อ้วนค่ะ แต่พอพักงานปุ๊บอ้วนค่ะ แต่ไม่เคยชั่งน้ำหนักเลย ใครเขาชั่งกัน (หัวเราะ) แต่ถามว่านอยด์กับคอมเมนต์พวกนี้ไหม เรารู้สึกว่ามันเลยจุดที่เราจะต้องมาคุยกันเรื่องแบบนี้แล้ว เพราะเราก็เป็นคนปกติทั่วไป มีอ้วนขึ้น มีผอมลง ตอนช่วงพักงานเราอาจจะอ้วนขึ้น ตอนนี้เราก็ผอมลงได้ มันเป็นเรื่องปกติ และยุคนี้แล้ว ถ้าเราร้องเพลงได้ ทำการแสดงได้ จะมาบอกว่าเธอไม่สวย เธอมันอ้วน มันก็ไม่น่าใช่

แต่หนูไม่เห็นคอมเมนต์พวกนี้นะ เพราะหนูไม่ค่อยเล่นโซเชียล แต่ก็มีนอยด์แหละถ้ามาทักว่าเราอ้วนขึ้นหรือผอมลงหรือเปล่า แต่หนูคิดว่าไม่ใช่แค่หนูที่โดน ทุกๆ คนก็คงเคยโดน ผอมก็ไม่ดี อ้วนไปก็ไม่ดี วันนี้ไม่สวยก็ไม่ดี เดินออกจากบ้านไม่แต่งหน้าก็ไม่ได้ หนูว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่เป็นธรรมชาติได้แล้ว”

บอกไม่มีใครเพอร์เฟกต์ได้ตลอดเวลา
“หนูดูมีภูมิคุ้มกันกับเรื่องนี้แล้วเหรอ อาจจะด้วยโตขึ้นค่ะ ตอนเราเด็กๆ ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอะไรมันเข้ามาหาเราทำให้มีปัญหาได้หมด อ้วนขึ้นก็เครียด ผอมลงก็เครียด เล่นละครไม่ดีก็เครียด มีคนบอกว่าร้องเพลงไม่ดีก็เครียด แต่จริงๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟกต์ตลอดเวลา และที่สำคัญคือในตอนนี้มันใช่แค่คำว่านางเอก คุณไม่ได้เป็นแค่นางเอก คุณคือคนที่อยู่ในโซเชียล คุณคืออินฟลูเอนเซอร์ คุณคือนักแสดง นักร้อง คนเราสามารถเป็นได้หลายอย่าง

หนูก็ไม่ใช่เป็นแค่นางเอกอย่างเดียว หนูสามารถทำได้หลายอย่าง เพราะฉะนั้นการมาตีความคนๆ นึงให้เป็นอะไรบางอย่าง มันเป็นการตีกรอบเสรีภาพนิดนึง แต่อาจจะโชคดีที่หนูไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองสวย หนูคิดตลอดว่าเราไม่ใช่คนสวย เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยากให้ทุกคนโฟกัสก็คือสิ่งที่เราทำได้”

บอกเริ่มหันมาดูแลตัวเอง ทั้งๆ ที่เกลียดการออกกำลังกายมาก
“ไม่ผอม ก็แค่ดูแลตัวเอง เพราะทำงานก็เลยต้องดูแลรูปร่างตัวเอง สุดท้ายอย่างที่บอกว่าเราอาจจะมีภูมิคุ้มกัน แต่บทบาทที่เราได้รับในทุกๆ เรื่องมันก็สำคัญ เราเข้าใจทุกคนที่อยากจะลดความอ้วน เพราะเราเป็นคนที่ลดความอ้วนยาก และที่สำคัญคือไม่ออกกำลังกาย แต่ตอนนี้พยายามที่จะหันไปออกกำลังกาย และมาเรียนเรื่องเอนไทเอจจิ้ง (เวชศาสตร์ชะลอวัย) ด้วย ก็ทำให้เรารู้ว่าจริงๆ มันไม่ยากนะ การที่เราจะค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ

แต่ตอนนี้ก็ยังผอมไม่พอนะ ต้องผอมลงอีก หนูอยากได้ผอมแบบเฟิร์ม ซึ่งต้องพยายามมาออกกำลังกาย และเป็นคนนึงไม่ชอบออกกำลังกายเลย นี่ก็ฝืนค่ะ (หัวเราะ) ด้วยความที่อายุมากขึ้นแล้ว และเราต้องดูแลหลายอย่าง มันไม่ใช่แค่เราต้องผอม แต่หน้าเราถ้าปล่อยให้มันยิ่งไปเรื่อยๆ มันจะลำบาก ไหนจะสุขภาพภายในเราอีก มันก็ต้องควบคู่กันไป

เผยอยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้บ้าง
“เชื่อไหม ทุกวันนี้ยังคุยกันอยู่เลยว่าเรายังไม่ได้เฟิร์มเต็มที่ เพราะบางทีเราขี้เกียจ เราไม่ค่อยออกกำลังกาย ก็ต้องพยายามเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ว่าเราต้องผอมเพื่อเป็นนางเอก แต่เราผอมเพื่อเป็นอะไรให้ใครบางคนมากกว่า หนูอยากเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนว่าจริงๆ แล้วการมีสุขภาพที่ดีมันไม่ต้องผอมสกินนี่ขนาดนั้น เราอาจจะกินเนื้อย่างอย่างที่เราอยากกิน แต่อีกวันเราก็ออกกำลังกายเพื่อที่เราจะกลับไปกินใหม่ และกินสิ่งที่ดีต่อร่างกายเพื่อให้เราอายุยืนยาวมากกว่า

มันไม่ได้ทรทานค่ะ เพราะหนูกินปกติ เราก็พยายามที่จะบาลานซ์ วันนี้เรากินเยอะ อีกวันนึงเราก็กินให้มันน้อยลง ก็บาลานซ์ให้มันดีขึ้น จากเมื่อก่อนเล่นเกมตีป้อมอย่างเดียว วันนี้เราก็ออกมาเดินบ้าง วิ่งบ้าง ที่ตอนนี้คนชมว่าผอมลงแล้วก็สวยขึ้น ก็ขอบคุณค่ะ ก็ดีใจนะคะที่ทุกคนชื่นชอบ และอยากให้ทุกคนมีอะไรที่เฮลท์ตี้

เพราะสุดท้ายเราผอมเท่าไหร่ถึงจะพอ มันไม่มีคำว่าเท่าไหร่ ทุกคนผอมไม่พอ ผอมอีกๆ ต่อไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ดีกับตัวเรา นี่ก็ผอมได้อีก แต่ต้องสุขภาพดี ก็พยายามค่ะ เดี๋ยวจะทำคอนเทนต์ออกกำลังกาย แต่ไม่เท่าพี่เบเบ้ (ธันย์ชนก ฤทธินาคา) นะ อันนั้นสุด”

บอกยังไม่พร้อมเรื่องแต่ง แต่ “จูเนียร์ กรวิชญ์ สูงกิจบูลย์” ดูมีความพร้อมมากขึ้น
ก็รอเขาขอ (หัวเราะ) จริงๆ พูดเรื่องนี้ก็เข้าโหมดจริงจังอีก เพราะยุคสมัยนี้การที่เราจะมีงานแต่งงาน มันต้องมีความพร้อมด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ด้วยค่าครองชีพที่มันสูงขึ้น เราก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมไว้ ไม่ใช่ว่าไม่คุยนะ ก็คุยกันค่ะ ถ้าไม่พร้อมแล้วถูกขอก็อีกเรื่องนึงนะ แต่เรื่องจริงอีกอย่างก็คือเขาค่อนข้างพร้อมกว่าเรา แต่ก็เป็นการคุยกันมากกว่า เพราะสุดท้ายเราสองคนคือวัยรุ่นสร้างตัวเนอะ คืออายุมันไม่รอเรา

แต่ช่วงเวลาที่มันหายไป ช่วง 2-3 ปีที่เรามีโควิด มันเหมือนเราหายตรงนั้นไป แล้วอายุมันไม่รอเรา เราแก่ขึ้นเรื่อยๆ แต่สถานะของเราพร้อมหรือยัง เราต้องมาคิดตรงนี้ด้วย จูเนียร์เขาก็ไม่ได้เร่ง เขาก็รออยู่ (หัวเราะ) พูดตรงๆ เลยเราเห็นได้ชัดเจนว่าเขาเป็นคนที่ดีขึ้น จากเมื่อก่อนเราเห็นว่าเขาเหมือนเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น ยังรักสนุก แต่ทุกวันนี้เขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ตั้งใจทำงาน และเราเห็นว่าเขาพร้อม มีเรานี่แหละที่ยังไม่พร้อม เพราะเรายังเด็กอยู่ 

ก็ติดที่ตัวเรานี่แหละ เราอยากทำงานอยู่ และเรารู้สึกว่าตอนนี้การที่จะแต่งงานหรือการมีครอบครัว การมีลูก มันต้องคิดเยอะ เราไม่ใช่เกิดมาพร้อมที่จะมีทุกๆ อย่างเลย เพราะฉะนั้นต้องตั้งตัวเองให้พร้อมก่อน ก่อนที่เราจะไปดูแลอย่างอื่น เราอยากให้ตัวเองมีชีวิตที่ดี สบาย เราต้องพร้อมที่ตัวเองก่อน”

บอกขอเวลาอีก 2 ปี เก็บเงินก่อนค่อยว่ากัน
“ไม่กดดัน แต่เรารู้สึกว่าตอนนี้โลกมันค่อนข้างเครียด เราอยากสร้างอะไรดีๆ ไปในอนาคต เพราะฉะนั้นถ้าเราพร้อม เราถึงจะเอาใครเข้ามาในชีวิตได้ อีกสักกี่ปีเหรอ ก็สัก 2 ปีแล้วกัน นานไปไหม รอก่อนๆ แม่ก็เริ่มพูดแล้วค่ะ เหลือแต่เรากับคุณพ่อนี่แหละ เพราะคุณพ่อก็ยังเห็นเราเป็นเบบี๋อยู่ แต่ถ้าคุณพ่อโอเค ก็อยู่ที่การเงินแล้วล่ะตอนนี้ (หัวเราะ)

รูปที่ถ่ายลงไอจีพร้อมเป็นภาพพรีเวดดิ้งได้เลยใช่ไหม คือรูปทั้งหมดที่ถ่ายสวยๆ ก็คาดหวังไว้ว่าจะมีงานเข้าค่ะ (หัวเราะ) เพราะเราบอกแล้วว่าเรากลับมาแล้วค่ะ ตอนนี้กลับมาทำงาน มันรนก้นอยู่”











กำลังโหลดความคิดเห็น