xs
xsm
sm
md
lg

จะ “Barbie Girl” หรือ “Barbie World” โลกของ “Barbie” ก็ยังเป็นสีชมพู้ ชมพู

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กลายเป็นกระแสฟีเวอร์ที่ไม่มีใครไม่พูดถึง

สำหรับภาพยนตร์ “Barbie” ฉบับคนแสดง ที่กำลังสร้างสถิติใหม่ให้กับตัวเองแบบรัวๆ เลยทีเดียว

“Barbie” โดยฝีมือการกำกับของ “เกรตา เกอร์วิก” (Greta Gerwig) เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ที่สหรัฐอเมริกา ด้วยการกวาดรายได้ในสุดสัปดาห์แรก (21 – 23 กรกฎาคม 2023) ไปถึง 155 ล้านเหรียญ สร้างสถิติใหม่ในฐานะที่มิใช่ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่, ภาคต่อ หรือภาพยนตร์รีเมก ที่เปิดตัวสูงสุดในปี 2023 นี้

แม้ว่าจะมีคู่แข่งระดับบล็อกบัสเตอร์เหมือนกันอย่าง “Oppenheimer” แต่นั่นก็คว้าไปได้แค่ 80.5 ล้านเหรียญ

ยังไม่นับการทำลายสถิติอื่น ๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะการเป็นภาพยนตร์เปิดตัวด้วยรายได้สูงสุดของปี 2023 นี้ โค่นแชมป์เก่า ที่ทำไว้ที่ 146 ล้านเหรียญ อย่าง “The Super Mario Bros. Movie” ไปแบบสวยๆ


นอกจากนั้น ยังหมายรวมถึงการเป็นภาพยนตร์ของผู้กำกับหญิง ที่ทำรายได้สูงที่สุด ทำลายสถิติเดิมของ ”Captain Marvel” โดย “แอนนา โบเด็น” (Anna Boden) และ “ไรอัน เฟล็ก” (Ryan Fleck) ในปี 2019 ที่กวาดไปได้ที่ 153 ล้านเหรียญ

ขณะที่ถ้านับรายได้เปิดตัวทั่วโลก “Barbie” ก็ฟาดไปได้ถึง 337 ล้านเหรียญ ส่วน “Oppenheimer” ได้ไป 174 ล้านเหรียญ

ห่างกันครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว

แม้ว่าในเรื่องกระแสความแรง และรายได้ จะเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก แต่จุดหนึ่งที่แฟนๆ ภาพยนตร์ “Barbie” ค้างคาใจก็คือ เหตุอันใด เพลง “Barbie Girl” เพลงฮิตในยุค 90’s ของวงป๊อปแดนซ์สัญชาติเดนมาร์ก-นอร์เวย์ อย่าง Aqua ที่ควรจะเป็นเพลงมาร์ชประจำตัวของ “Barbie” กลับไม่ได้ถูกบรรจุเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งในปีนี้ ถือว่าเป็นปีที่ครบรอปีที่ 26 ของ “Barbie Girl” ซึ่งปล่อยออกมาครั้งแรกในปี 1997 ในอัลบั้ม “Aquarium”


เหตุของเรื่อง ว่ากันว่ามาจากความบาดหมางครั้งเก่า ซึ่งเป็นคดีความระหว่าง Mattel ผู้ถือลิขสิทธิ์ Barbie ที่เคยฟ้องร้องวง Aqua ในฐานะละเมิดลิขสิทธิ์เมื่อ 20 กว่าปีก่อน หรือ 3 ปีให้หลังนับจากวันที่เพลงนี้ถูกปล่อยออกมา

ภายหลังที่เพลงนี้ถูกเผยแพร่ไปได้เพียงแค่ 2 เดือน ส่งให้เพลงฮิตถล่มทลายไปทั่วโลก ถึงขนาดติดอันดับบนชาร์ตเพลงกว่า 10 ประเทศ รวมถึงติดอันดับที่ 7 ของชาร์ต Billboard Hot 100 ในอเมริกา ขณะที่ยอดขายอัลบั้ม “Aquarium” ก็กวาดไปได้กว่า 14 ล้านชุด


แม้ว่าเนื้อเพลงจะเป็นการพูดถึงเรื่องราวของตุ๊กตา Barbie โดยตรง บวกกับท่วงทำนองดนตรีสไตล์ป๊อบแด๊นซ์ที่ติดหู และมีมิวสิกวิดีโอสีสันสดใสเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งให้เพลง “Barbie Girl” ฮิตระเบิดระเบ้อ แต่ทาง Mattel มองว่า เพลงนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของ Barbie เสียหาย และถูกมองว่าเป็นวัตถุทางเพศ เพราะเนื้อเพลงที่พูดถึงอีกด้านมุมของตุ๊กตา Barbie ในฐานะตัวแทนของผู้หญิง ที่จะต้องมีพิมพ์นิยม คือต้องสวย ต้องขาว ต้องหุ่นดี อกใหญ่ สะโพกผาย จึงจะดึงดูดพลังทางเพศได้ และการเลือกใช้คำแสลง “Blonde Bimbo” ในเนื้อเพลงนี้ ก็แปลความหมายถึงหญิงสาวที่มีเสน่ห์ ดึงดูดเพศตรงข้าม แต่สมองกลวง

ทั้งนี้ ในขณะที่คดีกำลังอยู่ในระหว่างการตัดสิน ทางฝั่งของ Mattel ก็ออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในส่วนของเนื้อเพลงที่ล่อแหลมนั้น ยังพอทำใจให้ยอมรับได้ แต่เรื่องที่นำทรัพย์สินทางปัญหาของตนไปแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่ได้รับการยินยอมนั้น ถือว่าเป็นการละเมิดที่ไม่อาจยอมความได้

อย่างไรก็ตาม หลังจากคดียืดเยื้อมานานถึง 2 ปี ที่สุดแล้ว ทางฝั่งของบริษัท MCA Records และวง Aqua ก็ได้รับการพิพากษาจากศาลให้พ้นจากข้อกล่าวหาดังกล่าว เพราะมองว่าวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเพลงเป็นเพียงการล้อเลียนเท่านั้น อีกทั้งการฟ้องร้อง ของบริษัท Mattel เป็นการกล่าวหาที่เกินจริง

กระนั้น แม้ว่า “Barbie Girl” ฉบับออริจินัล เวอร์ชันของวง “Aqua” จะไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เหตุเพราะปัญหาดังที่กล่าวมานั้น แต่หนึ่งนักแสดงนำ และพ่วงตำแหน่งโปรดิวเซอร์ อย่าง “มาร์โกต์ ร็อบบี” (Margot Robbie) มองว่าภาพยนตร์ “Barbie” จะไม่มีเพลง “Barbie Girl” ก็คงไม่ได้ ทางผู้กำกับจึงมีการเลี่ยงบาลี โดยการนำกลิ่นอายของเพลง “Barbie Girl” ที่ผ่านกระบวนการเรียบเรียงใหม่ทั้งเนื้อร้อง และจังหวะ และใช้ชื่อใกล้เคียงกับต้นฉบับว่า “Barbie World” โดยมีศิลปินดัง อย่าง ”นิกกี มินาจ” (Nicki Minaj) และแรปเปอร์หญิง “ไอซ์สไปซ์” (Ice Spice) เป็นคนร้อง มาเป็นออริจินัลซาวด์แทรกของภาพยนตร์ “Barbie”


เรื่องนี้ไม่ถึงกับดรามา เพราะสามารถพลิกเกมให้จบแบบ “บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น” เป็นอันสมประโยชน์กันทุกฝ่าย

ผู้จัดการ 360 องศาสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 กรกฏาคม – 4 สิงหาคม 2566



กำลังโหลดความคิดเห็น