xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตอีกด้านกับ “ซันนี่(SUNEE)” ในวันที่แย่และเฟลที่สุด หมดแพชชั่นกับการเป็นไอดอล!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ซันนี่ (SUNEE)” คนไทยที่ไปโด่งดังที่จีนในฐานะ “ไอดอล” เผยชีวิตวันนี้ที่หมดแพสชชั่น กับเส้นทางความดังในแดนมังกร แม้จะเกิดจากการรายการที่ต้องแข่งขัน แต่ก็ทำให้บางทีต้องหมดไฟ จนอยากเลิกทำงานในวงการนี้ รวมไปถึงรีวิวชีวิตหลังโควิดจาง ที่สะดุดแล้วสะดุดอีก!

 “ซันนี่ (SUNEE)” หรือ “เกวลิน บุญศรัทธา” ที่หลายคนรู้จักจากรายการเรียลลิตี้โชว์ “พรอดิวซ์ 101” เป็นการรวมเอาเด็กฝึกจากหลากหลายบริษัทและหลากหลายเชื้อชาติมาร่วมกับทำภารกิจ จนเจ้าตัวได้รับเลือกให้เป็นผู้ชนะ ได้เปิดตัววงเกิร์ลกรุ๊ป “ร็อกเก็ตเกิลส์ 101” จากนั้นเส้นทางการเป็นไอดอลก็โลดแล่นในวงการบันเทิงของเมืองจีน จนเดบิวส์เป็นศิลปินเดี่ยว แต่เส้นทางการเป็นคนดังในเมืองจีนของเธอนั้น ไม่ใช่ว่าใครก็เป็นได้ และไม่ใช่เพราะฟลุค ทั้งหมดพิสูจน์มาแล้วว่าเธอเกิดมาเพื่อเป็นสตาร์จริงๆ 

และในวันที่ได้พูดคุยกับเจ้าตัว ก่อนที่จะขึ้นคอนเสิร์ตมอบความสุขให้กับ SUN STAR ชาวไทย (ชื่อแฟนคลับ) ในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ กับแฟนมีตที่ไทยครั้งแรก SUNNEE FIRST FAN CONCERT ‘SURPRISE ON THE ROAD’ IN BANGKOK 2023 ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ ที่จะทำให้ทุกคนจะหลงรักความเป็นตัวเธอที่เป็นกันเอง และชิลๆ จอยๆ กับมุมมองโลกในแง่บวกที่สดใส แต่มีสิ่งหนึ่งที่ “ซันนี่” อยากจะเล่าว่าชีวิตของเธอไม่ชอบการแข่งขัน รวมทั้งวันนี้ที่หมดแพชชั่นในการเป็นไอดอล 

“รอบนี้รอบที่ 3 (วันสัมภาษณ์) หลังจากที่ไม่ได้กลับไทยมานาน 3 ปี ก็คือสิ่งแรกที่ได้ทำคือนอนกอดคุณพ่อคุณแม่ค่ะ แล้วก็ทานอาหารทั้งหมดที่สามารถทานได้ เมนูแรกเลยคือข้าวเหนียวหมูปิ้งค่ะ เพราะว่าที่จีนไม่มีค่ะ แต่อย่างส้มตำร้านอาหารไทยที่จีนก็ยังมีอยู่ค่ะ แต่ว่าข้าวเหนียวหมูปิ้งรสชาติมันไม่ได้เหมือนเมืองไทย สุดท้ายแล้วเมืองไทยคือเดอะเบสค่ะ 

(รีวิวข้าวเหนียวหมูปิ้ง?) อย่างแรกเลยคือความไหม้ของหมูค่ะ เกรียมนิดนึง ที่เมืองจีนจะไม่ได้มีกลิ่นเกรียม กลิ่นไหม้ ทานเข้าไปจะไม่มีความหอมของนม แล้วก็ความหอมของสิ่งที่หมักอยู่ในหมู รสชาติจะไม่เหมือนกัน ซอส เครื่องปรุงที่จีนจะไม่มีรสไทยขนาดนั้น ข้าวเหนียวเมืองไทยมีความเหนียว แต่ว่าที่เมืองจีนความเหนียวอาจจะน้อยหน่อย จะเป็นความเปียกซะมากกว่า” 

“ดังได้ ก็ดับได้” อย่าไปยึดติดกับชีวิต 

“จริงๆ ตอนนี้ไม่ได้วางแผนนานมากค่ะ อยากจะทำคอนเสิร์ตให้จบก่อน แต่แพลนไว้อยู่ว่าในอนาคตอยากจะมีเพลงไทย อยากจะร้องเพลงไทย และมีโอกาสได้กลับมาเมืองไทยเยอะๆ ซึ่งถามว่ามีความกังวลอะไรไหม ถ้าจะต้องกลับมาทำงานที่ไทย จริงๆ ไมได้ซีเรียสตรงนี้ค่ะ ในความคิดของหนูนะคะ ดังได้ มีคนชื่นชอบได้ ก็ดับได้เหมือนกัน ไม่ว่าหนูจะอยู่เมืองไทยหรือว่าอยู่เมืองจีน มันเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับหนู เพราะจริงๆ หนูห่างจากวงการไปประมาณปีนึง ด้วยเรื่องโควิดด้วย ด้วยเรื่องการงานของหนูด้วยที่ค่อนข้างมีปัญหาในช่วงนั้น ก็หายไปเหมือนกันค่ะ 

การหายไป แรกๆ ก็กังวลค่ะ แต่พอกลับมาเมืองไทยก็รู้สึกว่าอย่าไปยึดติดกับสิ่งพวกนี้มาก เพราะถ้ายึดติดมาก ตัวหนูเองก็จะไม่มีความสุข ก็เลยพอกลับมาเมืองไทยตอนนั้น ก็คิดไว้ว่าถ้าไม่มีงาน ก็หยุดเลยแล้วกัน หาสิ่งอื่นๆ ทำก็ได้ ตอนนั้นคือคิดแบบนั้นค่ะ แต่พอกลับมาที่ไทยมีโอกาสรู้จักกับพี่ๆ (ทีมดูแลในไทย) เขาพยายามให้ความมั่นใจกับหนูว่าจริงๆ แล้วเราก็ยังทำได้อยู่นะ อย่าเพิ่งท้อ อย่าเพิ่งเปลี่ยน ก็เลยเริ่มสู้ใหม่อีกรอบนึง” 

ปีแห่งการเฟล! ที่ผิดหวังแล้วผิดหวังอีก
 
“สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าพอดีกว่า คือจริงๆ แล้วหนูเข้าวงการ หนูมีความฝันว่าอยากมีเพลงเป็นของตัวเอง อยากมีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเอง อยากมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง และใน 12 ปีที่ผ่านมาหนูทำสำเร็จแล้ว 3 อย่าง เลยรู้สึกว่า ณ ตอนนั้นหนูไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อเพื่อที่จะได้ต่อยอด หรือว่าเราอยากทำอะไรจริงๆ แล้ว เหมือนช่วงนั้นอยู่ในช่วงที่สภาวะไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ที่ผ่านมา มันมีความกดดัน ส่วนใหญ่ความกดดันมันมาจากตัวหนูเองมากกว่า รู้อยู่แต่ว่าเราต้องทำงาน ถ้าไม่ทำงาน เราก็จะหายไป ต้องให้ทุกคนจำได้ ให้เห็นหน้าเราบ่อยๆ จนเราลืมไปว่าจริงๆ แล้วเราอยากจะทำอะไร เหมือนตัวเองไม่มีความคิด ถ้าหนูไม่พยายามต่อไป มันจะวูบเลย มันจะดิ่งลงมาเลย เพราะการแข่งขันสูงด้วย แต่ดีว่าหนูมีทีมงานที่เมืองจีนที่ดี 

และสิ่งที่ไม่อยากให้ไปต่อ คือจริงๆ ปีที่แล้วงานหนูส่วนใหญ่ดีลเสร็จแล้ว คุยกันเรียบร้อยแล้ว แต่อยู่ๆ วันรุ่งขึ้นโดนเปลี่ยนตัว ปีที่แล้วเจอเรื่องแบบนี้บ่อย แล้วก็ในเรื่องของคอนเสิร์ต ก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับหนู ตอนนั้นหนูทัวร์อยู่ที่เมืองจีนแล้วเหมือนปีที่แล้วโควิดก็ค่อนข้างหนัก ที่เมืองจีนจะดีสักแป๊บนึงแล้วก็มีปัญหาอีก จะอยู่อย่างนี้ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนคอนเสิร์ตหนูอาจจะต้องเลื่อน อาจจะต้องยกเลิก หรือไม่ก็คอนเสิร์ตที่มี ที่กำลังเปิด แฟนคลับไม่สามารถมาดูได้ อาจจะด้วยว่าที่ที่เขาอยู่โควิดอาจจะร้ายแรง ที่ที่หนูแสดงไม่มีโควิด แต่เขาก็ไม่สามารถมาได้ 

มันจะมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ ที่เราให้รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรทำได้ไม่สุด ที่เราทำคอนเสิร์ตเพราะเราอยากจะให้ทุกคนที่ชื่นชอบเสียงเพลงของเราได้มาดูคอนเสิร์ตของเรา แต่กลับกลายเป็นว่ามันเป็นเรื่องหนักของเขาอีก คนที่ชื่นชอบอยากมาดูมาดูไม่ได้ ตัวเองก็เลยจะรู้สึกเฟลเหมือนกัน สิ่งทีเราคิดไว้มันไม่สามารถสำเร็จได้ หรือไม่ก็งานที่คุยกันไว้แล้วอาจจะมีปัญหาในเรื่องโน้น เรื่องนี้ เรื่องนั้น จนทำให้หนูสงสัยตัวเองว่าปีชงหรือเปล่า แต่ว่าหลังๆ ปัญหามันก็ยังอยู่ มันยิ่งอยู่ยิ่งหนัก 

ในเรื่องของการแข่งขัน หนูว่าอาจจะเป็นด้วยนิสัยของหนู เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบไปแข่งขันกับใคร หนูไม่ชอบการแข่งขัน เพราะหนูว่าทุกๆ อย่างเป็นไปด้วยธรรมชาติ หนูมองโลกแบบนี้นะ แต่พอได้เข้าสังคมจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่ว่าวันนี้คุณเก่งแล้วจะชนะ ไม่ใช่ว่าวันนี้คุณดีแล้วจะชนะ มันยังมีหลายเรื่องที่ต้องคิด ต้องทำ ตอนนั้นหนูรู้สึกว่าด้วยวงการที่หนูอยู่ด้วย หนูรู้สึกว่าเราไม่ใช่คนประเภทนี้ เราไม่ชอบไปแย่งใคร เราไม่ชอบไปแข่งขันกับใคร 

เราอยู่ตัวของเราเองก็เหนื่อยพอแล้ว เรายังต้องไปแข่งขันกับคนอื่น ณ ตอนนั้นหนูรู้สึกว่าการแข่งขันมันสูง แต่หนูไม่ได้มีความที่ว่าจะต้องชนะ หนูไม่ใช่แนวนั้น จะเป็นแนวซอฟต์ สบาย มีงานก็ทำเต็มที่ เราทำงานเรียลลิตี้โชว์ ให้คนที่ได้ดูรายการรู้สึกว่าซันนี่เป็นคนสนุก ดูแล้วขำ เด็กคนนี้บ้าบอ อยากเป็นแบบนี้มากกว่า แต่คือในชีวิตความเป็นจริงมันยังมีอะไรอีกเยอะ ในเรื่องของการดีล การทำความรู้จัก การเข้าสังคม หนูว่าหนูเข้าสังคมไม่ค่อยเป็นด้วยค่ะ 

ซึ่งเราก็ไม่ปรับค่ะ คือหนูเปิดใจและก็ยอมรับความเป็นจริงที่เป็นอยู่ แต่ว่าถ้าจะต้องให้ปรับเปลี่ยนว่าหนูจะต้องกลายเป็นคนแบบนั้น หนูทำไม่ได้ เพราะว่าหนูโตมาด้วยลักษณะแบบนี้ นิสัยแบบนี้ ถึงหนูจะล้ม อาจจะมีคนรังแก อาจจะมีคนทำร้าย แต่หนูว่าหนูไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ อันนี้มันเป็นพื้นฐานนิสัยของหนูเองอยู่แล้ว ปีที่แล้วเป็นอย่างนี้บ่อยค่ะ บ่อยจนหนูคิดว่าหนูไม่สามารถทำงานและอยู่ที่โน่นต่อไปได้แล้ว หนูเลยกลับมาพัก กลับมาชาร์ตแบตที่บ้าน เพิ่งเป็นเมื่อปีที่แล้ว ก็คือแย่ทั้งปี หนูยังทำงานได้ ให้ความสนุกสนานกับแฟนๆ ที่ชื่นชอบหนูได้ แต่ว่าพอหนูกลับมาอยู่กับตัวเอง หนูหาความสุขให้ตัวเองไม่ได้ หนูไม่สามารถฮีลตัวเองได้ด้วยไงคะ” 

ไม่ไหวก็กลับมา ... พร้อมคำเยียวยา “ถ้าตรงนั้นไม่มีความสุข ก็กลับมาบ้านเรา” 

“กลับมาก็เจอคุณพ่อคุณแม่ เห็นหน้าท่านก็ร้องไห้ ร้องไห้เพราะดีใจที่ได้เจอพวกเขาและอยากจะบอกเขามากว่า 3 ปีที่ผ่านมาหนูเจออะไรมาบ้าง ที่ผ่านมาไม่บอกค่ะ แต่คุณพ่อติดตามหนูมาก เวลาแฟนคลับพูดอะไรคุณพ่อก็จะเห็น เขาจะเป็นห่วง แต่ทุกครั้งที่คุณพ่อเป็นห่วงหนูก็จะบอกเสมอว่าไม่มีอะไร มันก็เป็นเรื่องปกติ แต่คือหนูตอบคุณพ่อได้ คุณแม่ได้ แต่หนูตอบตัวเองไม่ได้ในตอนนั้น หนูเลยรู้สึกว่าต้องกลับมาแล้ว 

พอกลับมาจริงๆ คุณพ่อคุณแม่ก็รู้ค่ะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในชีวิตที่หนูอยู่ตรงนั้นก็เลยอยู่ยาว ชาร์ตแบตไปประมาณ 3-4 เดือน ซึ่งช่วยได้เยอะมาก ตอนนั้นหนูคิดอย่างเดียวว่าจะต้องวิ่งสู้ให้ได้ จะต้องเป็นคนที่เก่งให้ได้ จะต้องทำทุกอย่างให้ดี หนูจะให้คุณพ่อคุณแม่มีชีวิตที่ดี แต่พอได้กลับมาจริงๆ มาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ มีอยู่วันนึงที่นั่งคุยกัน พวกท่านก็บอกว่าเขาไม่ได้ต้องการให้หนูเป็นคนเก่ง ไม่ได้ต้องการให้หนูหาเงินได้เยอะ ขอแค่ให้หนูมีความสุขกับการทำงาน มีความสุขกับการใช้ชีวิต แต่ถ้าอยู่ตรงโน้นแล้วไม่มีความสุขก็กลับมา ไม่อยากทำงานก็หยุดไป เดี๋ยวพวกท่านจะดูแลหนูเอง พอคุณพ่อคุณแม่พูดคำนี้ หนูรู้สึกว่าคือหนูคิดเผื่อเขาเสมอในช่วงเวลาทำงาน แต่ตัวพวกเขาเองก็คิดถึงหนูเสมอในช่วงที่หนูทำงานอยู่ 

เพราะครั้งนี้ที่หนูกลับมาทั้งผอม ทั้งโทรม คุณพ่อหนูจะเป็นคนที่ชอบว่า ‘ต้องสู้ ไปให้สุด’ แต่ครั้งนี้กลับมาคุณพ่อก็บอกว่าไม่ต้องไปแล้ว อยู่บ้านแหละ ทำอย่างอื่นก็ได้ อยากทำอะไร อยากเปิดทัวร์ไหม อยากเปิดโรงเรียนสอนร้องเพลงไหม เราลองไปเรียนรู้กันว่ายังไง เหมือนครั้งนี้ที่กลับมาเหมือนสภาพร่างหายและจิตใจมันเปลี่ยนไปมาก 3 ปีด้วยที่ไม่ได้เจอ คุณพ่อคุณแม่ก็ฮีลหนูเต็มที่เหมือนกันในช่วงนั้น ทำให้หนูรู้สึกว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น” 

ชีวิตที่แย่ที่สุด! ตั้งแต่เป็นซันนี่มา 

“ช่วงที่กลับมาเป็นช่วงที่หนูแย่ที่สุด หนูก็ไม่รู้ว่าพี่ๆ เขาจะโอเคกับหนูไหม ถ้าหนูกลับมาในช่วงที่มีกระแสในเมืองจีนหนูว่ามันไม่ยาก เพราะกระแสยังอยู่ ยังมีงานให้ทุกคนเห็นหน้าหนูได้ มันไม่ได้ยาก แต่ตอนนี้มันยาก เหมือนต้องสตาร์ทใหม่ พี่ๆ เขาก็พยายามที่จะบอกกับหนูว่าชีวิตมันเป็นเรื่องสนุก ความเครียดมันเป็นเรื่องสนุก ก็สนุกไปกับชีวิต ก็มีงานเรื่อยๆ หนูได้พลังบวกจากพี่ๆ ได้พลังบวกจากครอบครัว หนูรู้สึกว่าโอเค! ขอกลับไปสู้อีกรอบนึง 

และวันที่หนูกลับไปสู้ อาจจะด้วยว่าหนูฮีลตัวเองได้แล้ว พลังบวกเยอะขึ้นสิ่งดีๆ ก็เข้ามา ช่วงนึงพลังลบอาจจะเยอะเกินไปอาจจะแบบจักรวาลก็ไม่ชอบ เครียดใช่ไหมงั้นเครียดต่อไป ที่เมืองจีนเขาจะบอกเสมอถ้าบอกว่าไม่มีเงิน ไม่มีเงินเลย ไฉ่ซิงเอี๊ยก็จะโมโหว่ให้เงินแล้วนิ มันการเปรียบเปรย ไม่ฮีลตัวเองก็แย่ต่อไป”

















กำลังโหลดความคิดเห็น