“พอล ภัทรพล” ฟาดเปรี้ยง กกต. ทำน่าเกลียด - ไร้สาระ ป้อง “พิธา” ไม่ได้ขาดคุณสมบัติ แต่เป็น กกต. ต่างหากที่ขาดคุณสมบัติ เหน็บเสียแรงไปดูงานต่างประเทศ ใช้เงินจากภาษีประชาชนถึง 6 พันล้าน
เป็นประเด็นที่คนบันเทิงหลายรายต่างออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างดุเดือด กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส.ของ “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ส.ส.บัญชีรายชื่อและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ประกอบมาตรา 101 (6) หรือไม่ เหตุมีชื่อถือครองหุ้นสื่อ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น รวมทั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณามีคำสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ไว้ จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย
ล่าสุด “พอล ภัทรพล ศิลปาจารย์” อดีตพระเอกชื่อดัง ได้อัดคลิปแสดงความคิดเห็นผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัว “Paul Pattarapon พอล ภัทรพล” ระบุว่า “คนที่ขาดคุณสมบัติไม่ใช่คุณพิธา แต่คือ กกต.”
“ไม่น่าเชื่อว่า กกต.จะทำ New LOW ได้มากกว่านี้อีก จะเล่นงานคุณพิธาด้วยมาตรา 151 คลิปนี้ไม่ได้ทำเพื่อคุณพิธา ต้องบอกว่าที่ กกต. ทำน่าเกลียดมาก คุณคือหน่วยงานอิสระ แต่เอาตรงๆ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าคุณไม่ใช่หน่วยงานอิสระ แต่อย่างน้อย ก็ช่วยทำให้มันไม่น่าเกลียดขนาดนี้ได้ไหม เรื่องขาดคุณสมบัติไร้สาระมาก
1.ถ้าคุณรู้อยู่แล้วว่า คุณพิธา ขาดคุณสมบัติ คุณปล่อยให้เขาเป็น ส.ส. ได้อย่างไรมา 4 ปี ทำไมเพิ่งจะมาขาดคุณสมบัติเอาตอนนี้?
2. คุณรู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมารู้เมื่อวาน เรื่องหุ้นไอทีวี ดังมา 2 เดือนแล้ว คำถาม คือ ช่วงที่ 2 เดือนที่ผ่านมาคุณไปทำอะไรอยู่
3. จนบัดนี้ กกต. ยังไม่เคยขอคลิปวิดีโอเต็มจากไอทีวีเลย ส่วนไอทีวีก็ไม่เคยเอาคลิปเต็มออกมาเปิดเผย เพราะมันง่ายมากเลย หากเอาคลิปเต็มมาเปิดก็จะรู้ว่าใครโกหกไม่โกหก ใครผิด ใครถูก
4. กกต. ทำงานกลับหัวกลับหางหรือเปล่า การทำแบบนี้คือวัวหายล้อมคอกมากๆ ลองคิดตามนะครับ จริง ๆ กกต. ควรต้องตรวจสอบคุณสมบัติก่อนหรือไม่ ว่าคนไหนสมัคร ส.ส.ได้ คนไหนปาร์ตี้ลิสต์ได้ คนไหนขาดคุณสมบัติ บอกตั้งแต่แรกเลย พรรคนั้นจะได้วางแผนใหม่ การให้สมัครไปก่อน แล้วมาตรวจสอบคุณสมบัติทีหลัง ทำให้เสียเงิน เสียเวลา เสียแรงไปมากมาย
ทุกพรรคต้องหาเสียง ต้องดีเบต ต้องปราศรัย ต้องทำป้ายโฆษณา ต้องทำโฆษณาผ่านทีวี โซเชียลมีเดีย จนเลือกตั้ง 14 พ.ค. ให้คน 40 ล้านคนออกจากบ้านมา แล้วสุดท้ายมาบอกว่าคนนี้ขาดคุณสมบัติ ลองคิดถึงความเสียหายดูครับ ว่าเงินที่แต่ละพรรคใช้ไปเท่าไหร่ แรงที่เขาต้องใส่เท่าไหร่ ประชาชน 40 ล้านคนที่ต้องออกจากบ้าน ขับรถมาจากต่างจังหวัด บางคนป่วยอยู่รพ. ยังขอคุณหมอเลยว่าจะไปเลือกตั้ง
แล้วอย่าอ้างว่าคนสมัครเยอะมากดูไม่ทัน คุณไม่จำเป็นต้องดูหมด คุณดูแค่แคนดิเดตของแต่ละพรรคก็พอ เพราะแต่ละพรรคเต็มที่ก็ 3 คน แล้วเป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก เพราะหนึ่งในนั้นมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรี หน้าที่คุณคือตรวจสอบก่อนเลยว่าใครขาดคุณสมบัติหรือไม่ขาด ใครสมัครได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้เขาไปหาเสียง ปราศรัย ดีเบต แล้วให้ประชาชนออกมาเลือกเขา ถ้ามีการสกรีนก่อนก็จะไม่เกิดความเสียหายแบบนี้เกิดขึ้น
มันเสียหายเยอะมาก เสียหายมหาศาล เสียเวลา เสียแรง นี่ท่านดูงานต่างประเทศมาแล้วจริงๆ ใช่ไหม และใช้เงินถึง 6 พันล้านบาท ซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชน คิดไม่ได้จริง ๆ เหรอครับว่าควรสกรีนก่อน ย้ำ 6 พันล้านบาท เป็นเงินภาษีประชาชน ไม่ใช่เงินท่าน
ประเด็นต่อมา คอมมอนเซ้นส์มากๆ ทุกคนคิดตามนะ ใจเขาใจเรา ตอนคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดนเล่นเรื่องสื่อจนโดนยุบพรรค ถามว่าคุณพิธาอยู่ในเหตุการณ์ เขาอยู่ไหม เขาอยู่ แล้วถามว่ารู้ไหมโดนเพราะอะไร โดนเรื่องสื่อไง คุณพิธารู้อยู่แล้ว คำถามสำคัญ ใจเขาใจเรา เป็นคุณเห็นอดีตหัวหน้าพรรคโดนเล่นงานเพราะถือหุ้นสื่อถึงขั้นโดนยุบพรรค แล้วตัวเองก็ถือหุ้นสื่อในนามผู้จัดการมรดก เป็นคุณจะโง่เก็บไว้ไหมครับ ขนาดพวกเรายังคิดได้เลย จริงไหมครับ
แปลว่าเหตุผลเดียวที่เขาเก็บไว้คือ เพราะเขารู้ว่ามันไม่ผิดไงครับ ไอทีวีหยุดเป็นสื่อตั้งแต่ปี 2550 ยังไม่รวมว่า คุณพิธาถือในนามผู้จัดการมรดก ไม่ใช่เจ้าของมรดก ต่อให้ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญจริง มันก็มีแนวทางพิพากษาไว้แล้ว มีอยู่ 3 พรรค 3 กรณีที่รอด และบังเอิญว่าทั้ง 3 พรรคเป็นฝ่ายรัฐบาลเก่า
เคสแรกถือหุ้นเอไอเอส 400 หุ้น ศาลถือว่าถือหุ้นแค่นี้มันน้อยมาก ไม่มีอำนาจไปสั่งอะไรได้หรอก ซึ่งก็เหมือนกับคุณพิธาเลย ที่ถือหุ้นแค่ 0.0035% น้อยแค่ไหน ถ้าคุณลงทุนกับเพื่อน 1 ล้าน เท่ากับ 35 บาท คอมมอนเซ้นส์เลยครับ คุณพิธาไม่ได้เป็นกรรมการบริหารจะมีอำนาจไปสั่งใครได้ครับ คนมีอำนาจสั่งการได้ต้องถือหุ้นรายใหญ่เท่านั้นครับ
ต่อมาอีก 2 เคส ถือหุ้นสื่อทั้งคู่ และสองบริษัทนี้จดด้วยว่าเป็นสื่อ แต่ศาลท่านดูลึกกว่านั้น ว่ารายได้หลักไม่ได้มาจากการจัดการทางสื่อ อันนึงมาจากการจัดการอีเวนต์ อันนึงมาจากสัมมนา ศาลเลยตัดสินว่าไม่ผิด เพราะรายได้หลักไม่ได้มาจากสื่อ ไอทีวีก็เช่นเดียวกัน วงเล็บว่าขาดทุนด้วยนะครับ
ท่านกกต. ครับ ปี 62 ท่านก็พลาดมาทีนึงแล้วนะ ส.ส.เชียงใหม่ ท่านก็ให้ไปส้มเขา สุดท้ายส.ส.คนนั้นฟ้องแล้วชนะคดีด้วยนะครับ กกต.ต้องจ่ายเงินหลายล้าน แต่คราวนี้ท่านเล่นใหญ่กว่าเดิม ระวังท่านจะโดนมากกว่าเดิมครับ
ขอเพิ่มเติม ไอทีวีหยุดออกอากาศมาตั้งแต่ปี 50 ผ่านมา 16 ปีให้หลัง มีความพยายามจะฟื้นคืนชีพสื่อ ท่านไม่แปลกใจบ้างเหรอว่าทำไมช่างบังเอิญจัง หรือจริงๆ ท่านรู้แต่เพิกเฉย สรุปนะครับ สิ่งที่คุณไม่ได้ทำ คุณไม่ได้ถามไอทีวีว่าตกลงคลิปกับเอกสารอันไหนถูก ให้ยึดอันไหน สองคือคุณมีเวลาตั้งหลายเดือนแต่มาทำเอาวันนี้ บังเอิ๊ญบังเอิญก่อนวันเลือกตั้ง 1 วัน สามไม่มีความเอะใจเลยเหรอว่าไอทีวี หยุดการเป็นสื่อมาแล้ว 16 ปี มันบังเอิญเหลือเกินที่อยู่ๆ จะกลับคืนมาเป็นสื่อตอนก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง
คุณพิธาไม่ได้ขาดคุณสมบัติครับ คุณ (กกต.) ต่างหากที่ขาดครับ และระวังมาตรา 157 นะครับ ละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น โทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปีครับ”