xs
xsm
sm
md
lg

“ใบเฟิร์น อัญชสา” รีวิวอายุ 30 มีความสุข มองตัวเองใหม่ จากอดีตไม่เคยเห็นคุณค่าตัวเอง จุดเปลี่ยนสำคัญคือสามี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ใบเฟิร์น อัญชสา” รีวิวชีวิตเลข 3 เห็นคุณค่าในตัวเอง มีความสุขมากขึ้น มองตัวเองใหม่ แต่กว่าจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ เคยผ่านการพบจิตแพทย์ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย ไม่ปฏิเสธจุดเปลี่ยนสำคัญคือสามี ลั่นเมื่อก่อนแค่ถูกทักว่าอ้วนก็นอยด์หนัก ส่องกระจกก็ร้องไห้ ต้องพบแพทย์ แต่ตอนนี้ไม่เป็นแบบเดิมอีกแล้ว ฟาดโซเชียลน้อยลง สามีบอกเสียเวลาชีวิต 

เคยผ่านช่วงเวลาแย่ๆ มาเหมือนกัน สำหรับ “ใบเฟิร์น อัญชสา มงคลสมัย” นางเอกชื่อดังค่ายเอ็กแซ็กท์ ถึงขั้นตอนเรียนมหาวิทยาลัยต้องพบจิตแพทย์ และต้องเข้ารับการบำบัด ซึ่งเกิดจากสาเหตุ “ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง” แต่หลังจากแต่งงาน ได้สามีที่ดี ใบเฟิร์นก็เผยว่าทำให้เธอกลายเป็นคนใหม่ในวัยขึ้นเลข 3 มีความสุขมากขึ้น ซึ่งเจ้าตัวได้รีวิวชีวิตในอายุ 30 ให้ฟัง
 
“รู้สึกดีกับตัวเองมากๆ คือเหมือนเฟิร์นผ่านอายุ 20 กว่ามาทั้งชีวิตมาก่อนโดยที่รู้สึกว่าเราไม่ได้รู้สึกรักตัวเองเห็นคุณค่าตัวเองขนาดนั้นอะไร แต่พอเราก้าวเข้าวัย 30 มันดันเป็นวัยที่เรามีครอบครัวที่ดี สามีที่ดี และกัลยาณมิตรที่ดีมันเลยทำให้เรามองตัวเองใหม่ ต่างจากวัย 0-20 กว่าๆ เราเปลี่ยนความคิดในการมองตัวเองแล้วมันเลยเป็นการมองโลกแบบใหม่ด้วยเลยรู้สึกว่าเฮ้ยมีความสุขขึ้นมาเลย
 
เลยเป็นเหตุผลที่ช่วงหลังๆ เฟิร์นจะมาพูดเรื่องสุขภาพจิตหรือความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เพราะเราเคยรู้สึกว่าเราเป็นหนึ่งในคนที่ทุกข์กับโลกใบนี้มาก่อน เรารู้ว่าการรู้สึกทุกข์ใจเป็นยังไง การที่รู้สึกไม่รักตัวเองเป็นยังไง เราก็เลยรู้ว่าแล้ววันที่เรามีความสุขขึ้นเป็นยังไง เราเลยอยากให้คนที่กำลังรู้สึกทุกข์ใจหรือไม่รักตัวเอง ไม่ชอบโลกใบนี้อยากให้เขาได้เปลี่ยนความคิดและลองมองโลกใหม่ มองตัวเองแบบใหม่ๆ”

กว่าจะมาถึงจุดนี้ ต้องผ่านการพบจิตแพทย์ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย
“บอกเลยว่าหนักมากค่ะ จริงๆ เฟิร์นพบจิตแพทย์ตั้งแต่มหาวิทยาลัยแล้วทั้งหาทั้งกินยาเจอทั้งจิตแพทย์จิตบำบัดคือทุกอย่างกว่าจะมาถึงวันนี้แต่สุดท้ายก็ค้นพบว่าแน่นอนยามีส่วนช่วยเหมือนกัน หมอมีส่วนช่วยเหมือนกัน แต่สุดท้ายมันขึ้นอยู่กับตัวเราเองทั้งนั้นเลยค่ะ ไม่ว่าใครจะหาหมอกินยาแบบไหน แต่ถ้าเขาเลือกที่จะมองโลกและตัวเอง เหมือนเดิมมันก็จะดีขึ้นชั่วคราว เหมือนเราพยุงไว้แต่ถ้าเกิดเราสามารถเปลี่ยนความคิดของเราได้ มันจะเป็นอะไรที่ถาวรกว่ามาก

 นั่นคือสิ่งที่เฟิร์นพยายามให้คนได้เปลี่ยนความคิดตัวเองอยู่ และเฟิร์นเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ถาวรกับเขามากกว่า และเฟิร์นก็เชื่อว่าในวันหนึ่งถ้าเขามีความทุกข์ แล้วมีความสุขขึ้นได้เขาก็อยากที่จะส่งต่อ เหมือนที่เฟิร์นส่งต่อแบบนี้ให้คนไปอีก มันก็เป็นร่างแหไปเรื่อยๆ มันอาจจะเริ่มจากเฟิร์นคนเดียวแต่เฟิร์นอาจจะทำให้คน 2 คนมีความสุขมากขึ้น 2 คนนี้ก็ไปทำให้คนอื่นต่อมันเป็นการกระจายความสุขที่ยั่งยืนและถาวรดีค่ะ”

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เรามีพลังบวกได้แล้วแชร์ให้คนอื่นมาจากการแต่งงาน มีสามีที่ดี
“เฟิร์นว่าเป็นการแต่งงาน การมีสามีคนนี้แหละเพราะเหมือนอย่างที่บอกเราโตมาแบบที่เราไม่รู้จักคุณค่าของตัวเองหรือการจะรักตัวเองพอวันหนึ่งที่มีคนมาทำให้เราเห็นคุณค่าของเราโดยที่เราไม่ได้เอาความรักหรือการเห็นคุณค่าไปยึดติดกับคนอื่นอีกแล้ว แต่เขาทำให้เราเห็นว่าตัวเราเองมีคุณค่าในแบบของตัวเองเราก็เริ่มแบบ เฮ้ยเหรอ จริงเหรอ ฉันมีคุณค่าด้วยเหรอ ฉันทำผิดพลาดได้ใช่ไหม อะไรแบบนี้ 

การที่เราทำผิดพลาดแล้วมันกลายเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้แปลว่าเราจะทำผิดได้ต่อ แต่มันกลายเป็นว่าเรารู้สึกว่า อ๋อ จริงๆ แล้ว ถ้าเราทำผิดไปเราก็ยังถูกรักนะแล้วเราก็ยังรักตัวเองได้นะในวันที่เราไม่ได้สมบูรณ์แบบอะไรแบบนี้ เพราะเราเริ่มจะรักตัวเองในวันที่ไม่สมบูรณ์แบบได้เราก็จะรักตัวเองในตอนที่สมบูรณ์แบบได้ ใช่ค่ะ เรามีสามีดี (หัวเราะ)

พวกคอมเมนต์ลบๆ ก็มี คือต่อให้เราจะมองโลกบวกแล้วหรือรักตัวเองมากขึ้นแต่วันที่หนักๆ ก็มี คือปกติถ้าเริ่มมีคอมเมนต์หนึ่งเฟิร์นจะยังไม่รู้สึกอะไรแต่มันจะมีวันแย่ๆ ทุกอย่างมันถาโถมแล้วดันมีคอมเมนต์อีกแล้วคนมาทักอะไรแล้วทำให้รู้สึกแย่อีก วันนั้นเราก็อาจจะรู้สึกค่ะ ซึ่งเฟิร์นมองว่ามันก็เป็นเรื่องธรรมดา คือการมองโลกในแง่บวกไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีความทุกข์อีกเลย สุดท้ายเราก็ยังเป็นมนุษย์เดินดินก็จะมีวันที่สุขและทุกข์

แต่เฟิร์นมองว่าในวันที่เฟิร์นทุกข์เฟิร์นเข้าใจอะไรได้เร็วขึ้นก็จมอยู่กับความทุกข์ได้สั้นลง เราก็จะปล่อยให้ตัวเองรู้สึกไปเสร็จแล้วเราก็จะถามตัวเองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเราควบคุมได้ไหม ถ้าเราควบคุมไม่ได้เพราะเกิดจากการที่คนอื่นมองเราแล้วอ้วนหรือคนอยากพิมพ์ใส่เราเราควบคุมอะไรเขาไม่ได้เลยก็ต้องปล่อยเขาไป เรามาดูสิ่งที่เราควบคุมได้ อย่างเช่นตัวเองถ้าเราอ้วนขึ้นจริงเราก็หาสาเหตุ กินดีๆ หน่อยแต่ถ้าเป็นช่วงเราถ่ายละคร 7 วันเช้าดึกทุกวันมันควบคุมไม่ได้มันต้องปล่อยไปเหมือนกัน รู้สึกแต่มีการคิดวิเคราะห์มากขึ้น ให้อภัยตัวเองความทุกข์ก็จะหายไปเร็วขึ้น”

นอยด์ถูกทักว่าอ้วนไป เมื่อก่อนแค่ส่องกระจกก็ร้องไห้ ต้องหาหมอ แต่ตอนนี้ไม่เป็นแบบเดิมอีกแล้ว
“นอยด์ค่ะ แต่อย่างที่บอกไม่เท่าเมื่อก่อน เมื่อก่อนนี่คือส่องกระจกร้องไห้เลยนะ ต้องหาหมอเลยแต่ว่า ตอนนี้รู้สึกแป๊บๆ หนึ่งแต่ก็อย่างที่บอกเราจะวิเคราะห์ว่าเราอ้วนขึ้นจริงไหม แล้วอ้วนขึ้นเพราะอะไรเราแก้ได้หรือเปล่า แล้วก็ปล่อย ไม่งั้นมันก็เครียดอย่างที่บอกพอเราเป็นบุคคลสาธารณะมันมีคนเข้ามาคอมเมนต์เราตลอดเวลา รูปร่าง ชีวิตส่วนตัว หรืออะไรมีคนอยากแสดงความคิดเห็นอยู่แล้ว คือต้องทำใจยอมรับนิดหนึ่งกับการที่ทำงานตรงนี้ต้องเจอ เราก็ดูไปใครไม่ได้ล้ำเส้นอะไรก็ปล่อยไปเขาอยากแสดงความคิดอะไรก็ปล่อยเขา แต่ถ้าเกิดใครล้ำเส้นก็เจอกัน (หัวเราะ)”

อดีตสายฟาด ตอนนี้ก็ฟาดอยู่
ก็ยังฟาดอยู่บ้าง แล้วแต่เคสค่ะ (หัวเราะ) แต่คุณสามีก็บอก เพลาๆ ลงบ้างมันเสียเวลา ชีวิตเธอเหนื่อยแล้วเธอมีอะไรที่ต้องทำเยอะต้องรับผิดชอบเยอะ เธอเอาเวลามาเสียเวลากับคนที่เขาไม่มีทางอยากจะเข้าใจเราด้วยซ้ำทำไม”

ซึมเศร้าเป็นตลอด แต่ดีลได้ดีขึ้น
เฟิร์นมองว่าคนเป็นซึมเศร้ามันก็จะเป็นตลอด อย่างเฟิร์นเป็นจากพันธุกรรมมันจะมีเชื้ออยู่แล้วแต่ว่าขึ้นอยู่กับว่าจะมีอะไรมากระตุ้นไหมมากกว่า แค่เหมือนเฟิร์นดีลกับเขาได้ดีขึ้น สมมุติอยู่เกิดแพนิกขึ้นมาหรือใจเต้นแรงไม่มีสาเหตุ กังวลอะไรไม่รู้เราก็จะรู้วิธีดีล อย่างเฟิร์นจะเปิดเพลง เขาเรียกว่าขันทิเบต เป็นการฟังเพลงเพื่อให้ผ่อนคลายหรือหาคลื่นเสียงบำบัดเปิดฟังก็ช่วยได้ ตอนนี้ดีขึ้นเยอะมากค่ะ

ตอนนี้ก็ไม่ได้เก็บคอมเมนต์มาคิดแล้ว น้อยลงเยอะ แต่ก็ไม่ได้ทุกวันนะ คือหมายถึงการปล่อยวางคงไม่ได้ทำได้ทุกวัน แต่ว่าทำได้เยอะขึ้น ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็จะโทร.หาสามีตอนนี้เมื่อกี้เจอคอมเมนต์แบบนี้ช่วยพูดอะไรสักอย่างหน่อยเขาก็จะมีวิธีพูดอะไรของเขาแหละให้เราเย็นลง”









กำลังโหลดความคิดเห็น