“เวสป้า อิทธิพล” แถลงข่าวทั้งน้ำตา เล่าชีวิตนักแต่งเพลงเรียกว่าจนแต่กำเนิด ตายอย่างอนาถา เป็นความขมขื่นของนักแต่งเพลง โดนเอาเปรียบจนชิน จึงขอออกมาสู้ฟ้องค่ายดัง อาร์เอส แบ่งผลประโยชน์จากลิขสิทธิ์ใหม่ ลั่นไม่ได้ขายลิขสิทธิ์เพลงขาดให้กับ อาร์เอส ตอนนี้แพลตฟอร์มเปลี่ยนแล้ว นักแต่งเพลงก็สมควรที่จะได้ส่วนแบ่งด้วย รับมีหลักฐานเด็ด ทำให้ชนะคดีได้แน่นอน
ขออาสาออกมาเป็นหน่วยกล้า ท้าลุยกับอดีตค่ายเพลงชื่อดัง อาร์เอสฯ จนกลายเป็นประเด็นร้อนในวงการเพลงเวลานี้ สำหรับกรณีนักร้องนักแต่งเพลงชื่อดัง “เวสป้า อิทธิพล เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา”ที่ก่อนหน้านี้ได้อัดคลิปลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว เล่าถึงเรื่องที่ถูกค่ายอาร์เอสฟ้อง 12 ล้านบาท ข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์เพลงที่ตนเองแต่ง
วันนี้ (7 ก.ค.66) เวสป้า ได้ออกมาแถลงข่าวถึงเรื่องนี้ด้วยน้ำตา รวมถึงเป็นตัวแทนนักแต่งเพลงบอกเล่าความรู้สึกที่ถูกกดทับมาตลอดเวลา แม้จะมีผลงานชื่อดังเป็นที่รู้จัก แต่ตัวเองกลับไม่ได้เป็นเจ้าของผลงาน ต้องใช้ชีวิตยากจน อยู่อย่างยากลำบาก
“สัญญาขายขาดลิขสิทธิ์เพลงที่ต่างประเทศเขาแก้กันแล้วแต่เรายังไม่ได้แก้ เป็นสัญญาที่ทำกันมาตั้งแต่ยุคครูเพลง ทำสืบต่อกันมา ทางค่ายเขาก็พยายามจะเขียนสัญญาให้รัดกุมที่สุดเพื่อให้เพลงเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว เขาก็ต้องทำไปตามๆ กัน เมื่อศิลปินสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมา จะมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิ์ให้กับศิลปินตามมาตรา 15 ศิลปินเพลงจะมีสิทธิ์อยู่ 5 สิทธิ์ 1 สิทธิ์ทำซ้ำดัดแปลง 2 สิทธิ์เผยแพร่ต่อสาธารณชน 3 สิทธิ์ให้เช่าต้นฉบับสำเนา โปรแกรมคอมพิวเตอร์ โสตทัศนวัตถุหรือสื่อบันเทิง เราจะเห็นว่าหลังๆ ค่ายเพลงดิจิทัลซื้อเพลงบางค่ายไปเปิด พอหมดสัญญาก็จบกัน
4 ก็คือสิทธิ์ให้ประโยชน์อันเป็นลิขสิทธิ์ต่อผู้อื่น 5 คือสิทธิ์อนุญาตตามข้อ 1-2-3 อันนี้ไม่สำคัญ เผยแพร่ต่อสาธารณชนคือเรื่องใหญ่ ผมนำสัญญาที่แท้จริงมาให้ดูในวันนี้ โดยทุกบริษัทจะเป็นสัญญาแบบนี้หมด สัญญาในยุคนั้นจะมีแค่หน้าเดียวเท่านั้น โดยระบุคู่สัญญาก็คือผมกับ บริษัทอาร์เอส หนังสือที่นำมาโชว์ผมเซ็น 2 เพลง คือไม่อาจเปลี่ยนใจ, ด้วยไอรัก ข้อสัญญา ผมไม่เคยขายลิขสิทธิ์ขาดนะครับ”
เป็นเรื่องยากมากและใช้เงินเยอะมาก หากศิลปิน นักแต่งเพลงจะนำเพลงของตัวเองมาร้อง และในการซื้อขายสัญญา ผู้ขายหรือศิลปินไม่ได้เอกสารสัญญามาเก็บไว้ด้วย
“ผู้ขายตกลงขายลิขสิทธิ์เนื้อร้องดังกล่าวตามข้อ 1 อัตราเพลงละ 5,000 บาท เวลาเราจะไปจัดคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งนึง หากไปดูในทรัพย์สินทางปัญญา บริษัทจะระบุไว้ว่า จ่ายครั้งละ 40,000-50,000 บาท หรือ 100,000 บาท ต่อให้ซี้อกันขนาดไหน
มีพี่ชายคนนึงในค่ายไปขอใช้ลิขสิทธิ์จะจัดคอนเสิร์ตตัวเอง โดนครั้งละ 50,000 บาท 20 เพลงก็คือ 1 ล้านบาท สุดท้ายจัดคอนเสิร์ตไม่ได้ จนวันนึงมีคนจะจัดให้ ก็ไปขอแต่สุดท้ายไม่ได้เซ็นมา บริษัทจะเอาไว้จัดเองมากกว่า
การซื้อขายนี้ผู้ซื้อมีสิทธิ์จะนำเนื่อร้อง ทำนองดังกล่าวไปผลิตเป็นแผ่นเสียง และนำไปทำโสตทัศนวัสดุขึ้นมาจำหน่ายในนามของผู้ซื้อเองตลอดไป และผู้ขายจะไม่นำสิทธิ์ในเนื้อร้องไปขายใครอีก ถ้าไปขายคนอื่นหรือผิดสัญญา ผู้ขายต้องเสียเงิน 100,000 บาท ไม่มีอะไรเลย ที่ผมชี้แจงว่ามีอยู่ 5 สิทธิ์ ทางบริษัทได้จากผมไป 2 สิทธิ์ คือสิทธิ์ทำซ้ำและดัดแปลง กับสิทธิ์เพื่อทำโสตทัศนวัสดุเพื่อออกจำหน่ายเท่านั้น
และมิหนำซ้ำยังมีข้อตกลงตอนท้ายอีกว่า หากผู้ซื้อซึ่งเป็นเจ้าของเนื้อร้องตามสัญญานี้นำเพลงหนึ่งเพลงใดไปให้คนอื่นร้องเพื่อบันทึกเสียงโสตทัศนวัสดุใดๆ ก็ตาม จะยินยอมตอบแทนให้แก่ผู้ขายอีกเป็นจำนานครั้งละ 5,000 บาท แต่ผู้ขายมีหน้าที่มารับค่าตอบแทนด้วยตนเอง หมายความว่าถ้าผมไม่ได้ไปรับด้วยตัวเองก็จะไม่ได้เงิน จะเห็นว่าอีก 3 สิทธิ์ยังอยู่กับผม แต่บริษัทต่างๆ ได้เอาสิทธิ์ที่มันน่าจะเป็นของผมไป ซึ่งเวลาเซ็นสัญญาเราไม่ได้ตัวคู่สัญญามาด้วย เราแค่เซ็นอย่างเดียว ที่ผมเอาออกมาในวันนี้ เป็นสัญญาที่ผมได้แอบถ่ายเก็บเอาไว้”
บอกยุคสมัยเปลี่ยนแพลตฟอร์มช่องทางการรับชมคนดูเปลี่ยน แต่ศิลปินยังคงใช้สัญญาเดิม เท่ากับพวกตนไม่ได้ส่วนแบ่งในผลงานเลย ลั่นในประวัติศาสตร์ยังไม่เคยมีนักร้อง นักแต่งเพลงคนไหนสู้เรื่องนี้กันจนถึงสุดทาง
“เวลาใครจะซื้อเพลงไม่อาจเปลี่ยนใจ เขาจะซื้อกับผมหรือกับอาร์เอสล่ะ เขาก็ต้องซื้อกับทางบริษัท ในกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ขึ้นชื่อพวกผมไว้ว่าเป็นแค่คนแต่ง ส่วนสิทธิ์ต่างๆ เป็นของบริษัท สิ่งนี้จะถูกต้องไม่ถูกต้อง ถ้าศาลตัดสินเดี๋ยวก็จะรู้ ตอนนี้ประวัติศาสตร์ยังไม่มีศาลตัดสินเรื่องนี้ ยังไม่เคยมีนักร้อง นักแต่งเพลงคนไหนที่สู้จนถึงสุดทาง
จริงๆ ผมยังมีอีกหลักฐานนึง ซึ่งถ้าผมปล่อยออกไปจะสะเทือนทั้งวงการ ทุกค่ายเพลงด้วย ไม่เฉพาะค่ายใดค่ายหนึ่ง จะเป็นสัญญาที่ปลดแอกทุกคนสู่อิสรภาพทั้งหมด แต่ผมขอให้เก็บเอาไว้ก่อน สิ่งที่พวกเราต้องการคืออิสรภาพ และอยากให้รู้ว่าเราถูกเอาเปรียบอะไรบ้าง เมื่อก่อนเราได้เปอร์เซ็นต์เทป ซีดี โปรดิว แต่ตอนนี้เราถูกละเมิดสิทธิ์หมด จากผับบาร์ คาราโอเกะ ห้องอาหาร ตามสตรีมมิ่งต่างๆ เช่น ยูทิวบ์ เขาจะกันค่าลิขสิทธิ์เพลงที่เผยแพร่สู่สาธารณชนเอาไว้ประมาณ 20% เพื่อเซฟตัวเอง เขาจะเอา 20% นี้มาโยนให้กับประเทศต่างๆ ที่ใครเป็นเจ้าของสิทธิ์ ไม่ว่าจะสิทธิ์ทำซ้ำ ดัดแปลง สิทธิ์โสตทัศนวัสดุ หรือสิทธิ์เผยแพร่ต่อสาธารณชน
เงินตรงนี้ ประเทศนี้น่าจะมีเกิน 2,000 ล้านต่อปี ที่เขานำมาให้กับบริษัทต่างๆ ปีที่ผ่านมา MCT (music copyright thailand) ได้รับเงินจากดิติทัลแพลตฟอร์มมา 850 ล้าน ผมไม่รู้หรอกว่าบริษัทใหญ่ๆ ที่ผมเขียนเพลงเอาไว้เขาได้กันไปคนละเท่าไหร่ ถ้าคดีผมชนะ ค่อยมาดูกัน
อีกส่วนคือละเมิดไปให้ทีวีช่องต่างๆ เช่น รายการประกวดร้องเพลง ถ้าเขาจะขอไปร้องเป็นเพลงก็จะเพลงละ 20,000 บาทขึ้นไป แต่บางรายการเขาจะซื้อแบบเหมาไปเลยทั้งปี ในกรมทรัพย์สินทางปัญญาเขามีอัตราอยู่แล้วว่าเท่าไหร่รวมถึงงานคอนเสิร์ตใหญ่ๆ เอง เราก็ไม่เคยได้รับสิทธิ์เผยแพร่ต่อสาธารณชนเลย สิทธิเผยแพร่กับ 20% กับ 80% ที่บริษัทจะได้ไปอยู่แล้ว มันเหมือนที่เราเคยได้เมื่อก่อนในส่วนขอบเทป ซีดี แต่วันนี้แพลตฟอร์มมันเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นแล้วเรากลับไม่ได้ เราก็อยากจะเรียกร้องตรงนี้ พวกเราก็ควรจะได้เหมือนที่เขาจ่ายค่าเทปค่าซีดี เดี๋ยวนี้แพลตฟอร์มออนไลน์มีหลากหลาย”
ร้องไห้สุดช้ำ เล่าชีวิตนักแต่งเพลงที่มีผลงานเพลงโด่งดัง แต่กลับมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก
“สิ่งเหล่านี้มันอยู่ในหัวใจของพวกเรานักแต่งเพลงเสมอว่า พวกเราได้สู้กันมานานมาก ที่ผ่านมาครูเพลงที่แต่งเพลงชื่อดังไว้ต้องเสียชีวิตอย่างอนาถา ตายอยู่ในบ้านอย่างโดดเดี่ยว 3 วัน (สะอื้น) ญาติถึงจะรู้ว่าเขาเสียชีวิต เขียนเพลงโกหกหน้าตาย เพลงดังไปทั่วประเทศ ชีวิตพวกเราควรจะวนเวียนเป็นแบบนี้อีกต่อไปเหรอ (ร้องไห้)มีอีกหลายๆ ศิลปินที่เราต้องเรี่ยไรเงินกันเพื่อซื้อโลงศพ ต้องจัดคอนเสิร์ตให้ แกมีเพลงดังมากมายอย่าง กอดฉัน สาวบางโพ แต่แกไม่เคยได้อะไรเลย มันกดทับพวกเรามาตลอด พี่น้องเราโดนไล่จับลิขสิทธิ์เพราะประเทศหนึ่ง มีบริษัทจัดเก็บลิขสิทธิ์ 32 บริษัท
ผมอยากฝากรัฐบาลให้ไกล่เกลี่ยกันให้เหลือ 1 บริษัทเหมือนกับอเมริกา ถ้ามันเหลือบริษัทเดียวเราจะรู้ว่าเวลาเราร้องเพลง เราจะต้องจ่ายเท่าไหร่ ทุกวันนี้เวลาแฟนเพลงขอเพลงมา เป็นเพลงฮิตเราก็ต้องร้อง ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าเป็นของค่ายไหน เราไม่รู้ว่า 32 บริษัท บริษัทไหนจะมาไล่จับเรา ถ้ามันมีองค์กรเดียวเหมือนอเมริกา สิงคโปร์ เขาจะสามารถระบุทราบได้ทันที”
เป็นความขมขื่นของนักแต่งเพลง โดนเอาเปรียบจนชิน
“รุ่นพี่บางคนถ้าไม่เซ็นสัญญาก็ไม่มีข้าวกิน คนแต่งเพลงคือจนมาแต่กำเนิด มีคนบอกว่าสู้ยังไงก็แพ้ คุณขายเขาไปเถอะ เพลงดังๆ มากมาย อาร์เอสได้ไปเก็บลิขสิทธิ์การเผยแพร่ประมาณ 30 กว่าปีแล้ว ปีละประมาณ 100 กว่าล้าน รวมๆ ประมาณ 3,000-4,000 ล้าน แต่นักแต่งเพลง ไม่มีใครได้เงินกันเลยสักคน จึงอยากจะให้ความยุติธรรมเกิดขึ้น แบ่งเงินมาให้นักแต่งเพลงบ้าง”
ลั่นตนฟ้องบริษัทอาร์เอส ก่อน เพื่อหวังให้อีกฝ่ายฟ้องกลับ บอกนักแต่งเพลงไม่ใช่อาชีพ แต่มันคือชีวิตทั้งชีวิตของคนๆ หนึ่ง
“ที่ผมโดนฟ้อง เพราะผมอยากโดนฟ้องไง ผมยื่นฟ้องเขาไปก่อน ที่ผ่านมาค่ายเพลงต่างๆ จะฟ้องแต่คนที่ร้องเพลงเฉยๆ แต่ผมเป็นคนที่เขียนเพลงเองด้วย มันยังไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ที่คนที่เขียนเพลงเอง ร้องเอง มาโดนฟ้อง ที่ผมฟ้องเขาคือในเรื่องของสิทธิ์ในการเผยแพร่ต่อสาธารณชน 18 เพลง เป็นเงิน 5 ล้านครับ ซึ่งไม่ใช่ทั้งหมด งานผมมีจริงๆ อยู่ 200 กว่างาน แต่ฟ้องน้อยจะได้ขึ้นความกันง่ายหน่อย เขาเลยฟ้องกลับผม ผมรวมตัวกัน 30 กว่าคนว่าผมต้องการความยุติธรรมในการไปร้องตามที่ต่างๆ
แม้แต่ทางทรัพย์สินทางปัญญายังบอกว่า ถ้าคุณยกบ้านไปให้เขาแล้ว เขาไปขุดเจอบ่อน้ำมัน คุณจะไปเอาน้ำมันเขาได้ยังไง ตรรกะนี้แหละ นักแต่งเพลงไม่ใช่อาชีพ แต่มันคือชีวิตทั้งชีวิต เราจึงอยากเรียกร้องให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นกับพวกเรานักแต่งเพลงบ้างเถอะ 30-40 ปีที่ผ่านมาเราไม่ได้อะไรเลย จนเราชินกับการโดนเอาเปรียบไปเสียแล้วคนเข้าใจจนชินว่าเพลงมันเป็นของเขา แต่จริงๆ เพลงมันควรเป็นของเรา เราควรจะได้ในสิ่งที่เราควรต้องได้ ถ้าเราอยากให้ซอฟต์พาวเวอร์ของเราก้าวไป เราต้องดูแลบุคลากรผู้ผลิตงานศิลปะทุกแขนง ฝากผู้ใหญ่ทุกท่านแก้เรื่องนี้กันด้วย”
ตอนนี้มีคนกลางพยายามไกลเกลี่ยให้ ลั่นธงของตนอยากได้บรรทัดฐานใหม่ มั่นใจตนชนะคดีแน่นอน
“ตอนนี้มีพี่ชายคนหนึ่งเป็นคนกลาง ได้มีการติดต่อมาแล้ว แต่ยังไม่ได้คุย จริงๆ ธงของพวกเราที่จับมือกัน เราอยากให้ศาลตัดสิน ถ้าสังเกตหลายๆ คดีมันมีคดีที่ไม่จบ พอไม่จบไม่มีการตัดสินมันก็ไม่มีบรรทัดฐานเกิดขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้จะรบฆ่าฟันกันให้ตายเลย ทั้งสองฝั่งถ้าเราคุยกันได้ ดูแลพี่น้องเราตามความเหมาะสมที่ควรจะเป็น เราก็มอบสิทธิ์ให้ทางบริษัทดูแลก็ได้ แต่เราต้องได้ตามสิทธิ์ที่ควรด้วย (มีโอกาสชนะไหม?) มันเป็นของผมแน่นอน แต่ว่าโอเคจะบอกว่ามันน่าจะเป็นของผมแล้วกัน ก็รอให้ศาลตัดสินครับ”
