หลังจากที่ “เขื่อน ภัทรดนัย เสตสุวรรณ” ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นที่เรียบร้อย พร้อมได้รับฉายาทางธรรมว่า ‘ฐานสมฺปนฺโน’ (ฐา-นะ-สัม-ปัน-โน)
แปลว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยฐานะ ก่อนจะมีชาวเน็ตที่เห็นข่าว ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อต้านกันอย่างมากมาย พร้อมกล่าวหาว่าเป็น “บัณเฑาะก์” ไม่สามารถเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ได้
ล่าสุดอดีตพระสงฆ์ชื่อดัง “แพรรี่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร” ที่ลาสิกขาออกมาเป็นฆราวาสพร้อมเปิดตัวเป็น LGBTQ+ แบบเต็มตัว ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหว โดยสั่งสอนชาวเน็ตพร้อมเหน็บเบาๆว่า “ก็ว่าจะไม่สีซอให้ควายฟัง” เรียกได้ว่าสาดข้อมูลให้แน่นๆ ให้ชาวเน็ตที่ต่อต้าน หงายเงิบกันไปเลยทีเดียว
“มึงจะไปต่อต้านเขาทำไมคะ ในเมื่อเขาบวชภายใต้กฎเกณฑ์ที่พระวินัยให้การรับรอง เขาไม่ได้บวชภายใต้ความเห็นชอบจากชาวเน็ตอย่างมึงนะคะ
สงสัยอะไรก็ศึกษาเลยค่ะ
ดิฉันเคยพูดไปหลายทีแล้วว่า เรื่องบัณเฑาะก์เนี่ย ท่านมีอธิบายไว้ชัดเลยในคัมภีร์สมันตปาสาทิกา (คัมภีร์อธิบายพระวินัย)
ในคัมภีร์สมันตปาสาทิกา ระบุไว้ชัดว่า
ในบัณเฑาะก์ 5 ประเภทนั้น บัณเฑาะก์ที่ห้ามการอุปสมบทอย่างเด็ดขาด มีแค่ ๒ ประเภทเท่านั้น คือ 1 บุคคลที่ถูกตอนอวัยวะเพศไปแล้ว (ปัจจุบันอาจหมายถึงคนที่แปลงเพศด้วย) กับ 2 บุคคลผู้มีความบกพร่องทางอวัยวะเพศ (ระบุไม่ได้ว่าเป็นเพศไหน)
ถ้าถึงขั้นนี้ยังไม่กระจ่างก็ให้ไปดูในฎีกาวิมติวิโนทนี (คัมภีร์อธิบายความสมันตปาสาทิกาอีกชั้นหนึ่ง) ซึ่งพระฎีกาจารย์ท่านก็เขียนไว้ชัดเช่นกันว่า ที่บอกว่า 2 ประเภทนี้ ไม่ห้ามการบรรพชา นั่นก็คือหมายถึง อนุญาตการอุปสมบท
ศาสนาพุทธในเมืองไทยเป็นเถรวาทนะคะ ดังนั้นหากมีข้อสงสัยใดๆ ในพระธรรมวินัย ข้อสงสัยนั้นๆ ย่อมต้องตรวจสอบด้วยข้ออรรถข้อธรรม ซึ่งมีการอธิบายไว้ชัดในคัมภีร์ชั้นต่างๆ
ที่สำคัญเลย ดิฉันอยากจะบอกให้ทราบว่า การบวชจริงๆ นั้น เป็นแต่เพียงขั้นตอนของการรับรองค่ะ มีพระอุปัชฌาย์เป็นผู้นำพาและรับผิดชอบในตัวกุลบุตรต่อหมู่สงฆ์ มีหมู่สงฆ์เป็นสักขีพยานในการรับรู้ถึงการมีอยู่ของภิกษุใหม่
การบวชไม่ใช่เรื่องของชาวเน็ตนะคะ พักก่อน ศาสนาให้พื้นที่กับผู้คนในการฝึกหัดขัดเกลาอุปนิสัยค่ะ บัณฑิตไม่ติเตียนใครอย่างปราศจากปัญญานะคะ
ภิกษุดีเลวไม่ได้วัดกันที่ว่าก่อนบวชมีพฤติกรรมอย่างไรค่ะ แต่วัดกันที่ว่าบวชแล้วครองตนอย่างไรต่างหาก
ปาราชิกข้อแรกมาจากพระผู้ชายนะคะ ไม่ได้มาจากพระบัณเฑาะก์ ฝากไว้ให้คิด แต่ถ้าจะไม่คิดก็แล้วแต่ จบ”
“อยากจะเตือนนะคะว่า เวลามองอะไรอย่าเผลอมอง
แบบเหมารวม เหมือนมองพระ ควรมองที่พฤติกรรมส่วนตัวของรูปนั้นๆ พระผู้ชายบวชเข้าไปแล้ว ทำตัวเสื่อมเสีย มีไหมคะ มีค่ะ เยอะด้วย พระที่เป็นบัณเฑาะก็บวชเข้าไปแล้ว ทำตัวเสื่อมเสีย มีไหมคะ มีค่ะ เยอะด้วยเช่นกัน แต่ถามว่า พระเหล่านั้นที่ทำตัวไม่เหมาะสม มีความหมายเท่ากับพระทุกรูปหรือเปล่า ก็ต้องตอบว่าไม่ใช่ ถามว่าพระที่ปฏิบัติดีมีไหม ก็ต้องตอบว่า มีค่ะ ดังนั้นดูพระ ให้แยกดูไปนะคะ ดูที่พฤติกรรม ไม่ใช่ดูที่เพศสภาพ พระบวชเข้าไปแล้วมีเพศเดียวค่ะ นั่นคือเพศบรรพชิต ถ้าเมื่อไหร่ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของความเป็นบรรพชิตไม่ว่า พระรูปนั้นจะเป็นใคร ก็ควรแก่
การตำหนิค่ะ”
“ว่าจะไม่สีซอแล้วนะคะ แต่อดไม่ได้”