xs
xsm
sm
md
lg

“ชาย” น้ำตาคลอ ประสบความสำเร็จในรอบ 30 ปี บท “เกรซ” ในมาตาลดา ถึงจุดสูงสุดของอาชีพนักแสดงแล้ว (คลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ชาย ชาตโยดม” น้ำตาคลอ ท่วมท้นในความรู้สึก ยกบท “เกรซ” ในมาตาลดา ประสบความสำเร็จในรอบ 30 ปี เป้าหมายสูงสุดของอาชีพ มีคุณค่าทางจิตใจ ให้ความบันเทิง ยกระดับความรู้สึกของผู้คน ลั่นเมียบิวต์ให้เล่นเรื่องนี้ แต่งตัวจัดเต็มให้ลูกดู จนลูกชมพ่อสวย



ได้รับคำชมอย่างล้นหลามเลยทีเดียว สำหรับนักแสดงมากความสามารถอย่าง “ชาย ชาตโยดม หิรัณยัษฐิติ”ในบทบาทของ “เกรซ” LGBTQ สาวใหญ่ในละครเรื่อง มาตาลดา ซึ่งได้เจอเจ้าตัวในงานเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของบ้านหมอละออง ณ งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 20 ณ อิมแพค เมืองทองธานี ฮอลล์ 11-12 ชายก็เผยว่าดีใจที่คนให้การยอมรับมากขนาดนี้

"ดีใจที่สิ่งที่เราตั้งใจทำมันได้รับการยอมรับมากกว่า เพราะชายก็อยู่ตรงนี้มานานแล้ว จะ 30 ปีแล้ว โอกาสที่เราจะได้รับบทที่มีคุณค่าแบบนี้มันน้อยมากๆ เลยแล้วพอเป็นบทที่อยู่ในเรื่องราวและคนดูแล้วไปสัมผัสกับเขาได้ มันยิ่งทำให้มีคุณค่าเข้าไปใหญ่ การเป็นนักแสดงของชายมันไม่ใช่ว่าแค่พอทำงานแล้วก็กลับบ้านเฉยๆ ชายยังรู้สึกว่าชายอยากจะทำอะไรที่มันมีคุณค่ากับชีวิตคนด้วย ไม่นึกไม่ฝันเหมือนกันนะว่าจะมี โอกาสที่เราจะได้สร้างคุณค่าดีๆ เหล่านี้ให้กับคน แล้วมันทำให้เรามีไฟในการทำงาน มีแพสชั่นอะไรกลับมาอีกเยอะมากเลย

บังเอิญเหมือนกันนะในช่วงนี้หลายๆ อย่างมันออกมารวมๆ กันพร้อมๆ กัน เพราะตอนนี้มีทั้งละครทีวีและละครเวทีด้วย มันเป็นเหมือนความท้าทายเหมือนกัน ที่ในช่วงชีวิตนี้มันมีอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาพร้อมๆ กัน แต่การถ่ายทำอะไรต่างๆ มันผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว เป็นปีแล้วล่ะครับ แต่ว่าผลงานมันออกมาพร้อมๆ กันด้วย เลยได้เห็นความหลากหลาย ความแตกต่างในเวลาเดียวกันด้วย"

ทุกบทบาทคือโอกาสที่ได้รับ
"ตัดสินใจเลือกแต่ละบทถามว่านานไหม รับทันที (หัวเราะ) คือชายไม่ได้เป็นคนเลือกงานอยู่แล้ว อะไรที่เป็นโอกาสที่เข้ามาชายจะรู้สึกว่ามันเป็นโอกาส เพราะฉะนั้นชายก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดในแต่ละหน้าที่ที่ได้รับ แต่ว่าทุกๆ ครั้งที่ได้มาก็โชคดีด้วยว่ามันจะเป็นบทที่ค่อนข้างมีความน่าสนใจ และเราก็พยายามที่จะไปหาตัวละคร หรือหาอะไรที่มันเป็นจุดพิเศษของแต่ละตัวให้ออกมาชัดเจนที่สุด

การทำงานคือต้องคิดว่าทำยังไงถึงจะส่งถึงผู้ชมได้ คือชายก็แสวงหาอยู่ตลอดเหมือนกันว่าชายจะมีโอกาสได้ทำอะไรที่มันมีคุณค่ากับสิ่งที่เราทำคือในหน้าที่ของการเป็นนักแสดง ชายก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าชายจะทำอะไรให้มันเกิดคุณค่ากับคนอื่นได้นอกจากความบันเทิง แต่นานๆ ทีมันจะมาสักครั้งหนึ่ง เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะมีบทบาทจากหน้าที่ของเรา จากตัวละครของเราที่มันสร้างความแตกต่างหรือสร้างความสุขให้คนดูได้มากกว่าแค่ความบันเทิง"

เผยบทบาทเรื่องนี้ตนตั้งใจและเต็มที่มาก เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
"ตอนแรกที่รับ ชายก็รู้สึกว่าชายต้องระวังมากๆ เหมือนกัน เพราะชายไม่อยากจะทำร้ายอะไรตรงนี้เลย ชายรู้สึกว่ามันคือความละเอียดอ่อน มันมีคุณค่า ถ้าเราสามารถที่จะเผยแพร่ความรู้สึกจริงๆ คือนอกจากเปลือกนอกที่คนเห็นแล้ว เขาจะมีภาพที่ชัดเจนว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราอยากให้เห็นความจริงในใจ สิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เขาต้องเผชิญ จนมาถึงจุดที่คนเห็นทั่วไปว่าเขาเป็นคนอย่างนี้ๆ นะ เขาเจออะไรมาบ้าง ชายต้องระวังมากๆ และพยายามละเอียดละออกับมันให้ได้มากที่สุด และรู้สึกว่าเราภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้ จะมากหรือน้อยแค่ไหนก็ตาม แต่เราพยายามทำเต็มที่ที่สุด

ที่เรตติ้งดี ก็ดีใจกับทุกๆ คนด้วย ดีใจกับคนที่ทำงาน ดีใจกับความตั้งใจของทุกๆคน คือมันเริ่มจากบทด้วย บทมันคือหัวใจของทุกอย่าง ความตั้งใจของคนเขียนบท ของคนที่ทำงานตรงนี้ ของพี่จ๋า (ยศสินี ณ นคร) มันมีคุณค่ามากๆ เพราะมันเริ่มจากเจตนาที่อยากจะถ่ายทอดสิ่งที่ดีตรงนี้ออกมา มันไม่ใช่แค่เรื่องของการตีแผ่อะไร แต่มันคือความต้องการอยากให้ ที่เขาใช้คำว่าฮีลใจ มันคือความสดใส มันคือความดี มันคือความใจดีมันคือสิ่งที่ทุกคนควรจะมี บางทีคนอยากจะไปตรงนั้น แต่หาทางไปไม่เจอ มันถึงได้มีร้านเวทมนต์ในหัวใจ มันไปได้ แต่ว่าทุกคนต้องหาทางไปกันเอง มันไปได้ยาก แต่ว่าถ้าไปถึงแล้วมันจะมีพลังพิเศษให้ทุกๆ คนได้เอาออกมาใช้"

ถือว่าเป็นเรื่องที่รู้สึกประสบความสำเร็จในวงการตลอด 30 ปีเลย
"ชายว่าคุณค่าของรางวัลที่ได้มาน่าจะมาจากฟีดแบ็กมากกว่า คือการที่คนได้สิ่งดีๆ ได้ความรู้สึกที่ดี ได้ฮีลใจตัวเองจากการได้ดูละคร แล้วมันไปต่อยอดให้เขาสามารถที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หรือมีทางออกให้กับชีวิตที่สดใสมากขึ้น อันนั้นคือสิ่งที่เป็นที่สุดแล้ว ถามว่าเป็นเรื่องที่ประสบความสำเร็จในรอบ 30 ปีเลยไหม ก็คิดว่าใช่ (ยิ้ม) คิดว่าเป็นโอกาสหนึ่งครั้งเดียวในชีวิตน้อยครั้งในชีวิตที่สามารถที่จะมีโอกาสได้รับบทบาทแบบนี้ และมีความหมายขนาดนี้

ถ้าจะให้เครดิตอะไรสักอย่างจากเรื่องนี้ ก็ต้องบทเลยครับ มาจากพี่จ๋า ยศสินี บทนี้พี่จ๋าเอามาบอกว่าอยากให้ชายเล่น ชายไม่ได้คิดหรอกว่ามันจะต้องเป็นบทที่ขนาดนี้ แต่พี่จ๋าเป็นคนให้โอกาส คือจริงๆ แล้วชายเริ่มกับอาจิ๋ม (มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช) ก็เป็นคนให้โอกาสครั้งแรกในการเข้ามาในวงการ และยังต่อยอดมาถึงพี่จ๋าซึ่งเป็นรุ่นลูก แล้วที่ยังเห็นคุณค่าในสิ่งที่ชายจะทำให้ได้อยู่ ก็เลยคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต แล้วที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้"

บอกทุกครั้งที่ได้แต่งเต็ม จะใส่กลับบ้านไปให้ลูกดูทุกครั้ง
"อินกลับบ้านเลยไหมเหรอ ชายไม่ได้อินอย่างเดียวนะ ชายเอากลับบ้านไปเลย (หัวเราะ) วันไหนที่มีโชว์นี่ขอเอากลับบ้าน เอาหน้านี้กลับไป ลูกเห็นก็อึ้งอยู่แป๊บนึง แล้วก็บอกว่าพ่อสวย(หัวเราะ) เราภูมิใจกับสิ่งที่เราทำ และอยากจะให้ลูกได้สัมผัสด้วยว่าการที่พ่อออกไปนอกบ้านทุกๆ วัน พ่อไปทำอะไร อยากจะให้เขาเห็นความตั้งใจของเราด้วย

ซึ่งที่ไม่เกี่ยงรับบท เพราะว่าเราต้องเป็นผู้นำครอบครัวด้วยครับ (หัวเราะ) ด้วยความที่เราสร้างครอบครัวขึ้นมาแล้ว มีความรับผิดชอบอะไรต่างๆ ชายก็อยากจะให้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุด เราก็ต้องขยันแล้วล่ะ เราต้องทำงานเยอะๆ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เลยกลายเป็นว่า การที่เราออกไปทำงานข้างนอก มันก็เป็นการดึงเวลาเราจากลูกไปด้วยเหมือนกัน มันก็ขัดแย้งกันนิดนึง แต่ว่าทำตอนนี้ก่อนให้ได้เต็มที่ อย่างน้อยชายพยายามที่จะให้ลูกมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยตลอด อย่างที่เอาชุดเอาอะไรกลับมาให้ลูกดูหรือแม้แต่ละครเวทีก็พาเขาไปที่เวทีด้วย เขาจะได้เห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำ ได้รู้ว่าสิ่งที่พ่อเหนื่อย ที่พ่อทำคือทำเพื่ออะไร"

ไม่ได้หวังว่าลูกต้องเข้าวงการ แค่อยากให้เห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำ
"ไม่ใช่ว่าอยากจะให้เขาเข้าในวงการ แต่แค่อยากให้เขารู้ว่ามันมีสิ่งดีๆ ที่อยู่ในสิ่งที่เราทำ อย่างละครสิ่งที่เราสื่อสารกันอยู่มันคือข้อความที่มีคุณค่ามาก อยากให้เขาได้รับรู้และรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เขาควรจะรู้ และเขาควรจะสืบต่อไป อย่างเวลาชายไปละครเวที ชายได้รับพลังงานในวิธีการทำงานจากคนที่ทำงานด้วยแพชชั่น มันมีคุณค่าขนาดไหน

ก็อยากจะให้เขาไปเห็นเหมือนกัน ว่าไม่ว่าเขาจะเลือกไปทำงานในอาชีพอะไรในอนาคตก็อยากให้เขามีแพชชั่นในสิ่งที่เขาทำ ในห้องแต่งตัวก็ร้องบทให้เขาฟังด้วย อยากให้เขาได้ซึมซับว่านี่คือคนที่ทำด้วยความตั้งใจจริงๆ เขาก็ดูมีแววเหมือนกัน (หัวเราะ) แต่ก็แล้วแต่เขา ชายไม่ได้บังคับว่าเขาจะต้องเลือกทางไหน หรือว่าทำเหมือนเรา

ซึ่งกี้ (วิกกี้ สุนิสา เจทท์) เป็นคนที่กรี๊ดมากที่สุดตอนที่รู้ว่าจะได้เล่นบท LGBTQ เขาไปหาทำการบ้านมาให้ ต้องมีคุณแม่ ต้องมีไอดอล ถ้ายุคนี้ต้องเป็นบียอนเซ่ เป็นอะไร เขาก็ไปหาตัวอย่างมาให้ ท่าทางการยืน การเต้นอะไรทุกอย่างเขาตื่นเต้นมากจนทุกวันนี้ ชายกลับบ้านมาดึกๆ หลังละครเวที เขาก็ยังนั่งดูละครย้อนหลัง เขาก็ภูมิใจ (ยิ้ม) เขาเป็นคนเช็กกระแสให้ เพราะเขาเป็นคนบิวต์ให้ตั้งแต่แรก (หัวเราะ)"

ดีใจที่ทำให้ครอบครัวภูมิใจด้วย
"ทุกวันนี้คุณแม่ก็โทร.มาหา น้าๆ คนรอบข้างญาติพี่น้อง ก็โทร.มาบอกว่ามีคนโทร.มาชมตลอดเลยนะ นั่นคือความภูมิใจเราด้วย คือทำให้พ่อแม่ ทำให้ญาติพี่น้องเราภูมิใจในสิ่งที่เราทำกับลูก มันคือที่สุดแล้ว

ส่วนที่ถูกยกให้เป็นนักแสดงที่ยกจิตวิญญาณให้กับการแสดง จริงๆ ชายเป็นแบบนั้นมานานแล้ว เหมือนพอหาทางเจอว่านี่คือสิ่งที่ชาย รัก ศรัทธาจริงๆ ชายก็ทุ่มให้กับตรงนี้หมดเลยแต่มันก็จะมีขึ้นลงบ้างบางทีมันอาจจะห่างหายไป แต่ก็ขึ้นอยู่กับโอกาสด้วย และทุกอย่างมันมาประจวบเหมาะช่วงนี้พอดี"

บอกถึงเป้าหมายสูงสุดของอาชีพนักแสดงแล้ว
เป้าหมายสูงสุดในอาชีพนักแสดง ชายว่าชายถึงแล้วนะ (หัวเราะ) คือได้มีผลงานที่มันมีคุณค่า อันนั้นคือที่สุดแล้ว เพราะนอกจากให้ความบันเทิง มันยังมีคุณค่าทางจิตใจหรือยกระดับความรู้สึกของคนได้ นั่นคือสิ่งที่ใฝ่หา นั่นคือสิ่งที่สูงสุดของอาชีพแล้ว
ก็อยากจะกราบขอบพระคุณทุกๆ คนจริงๆ ครับ ที่เห็นคุณค่ากับสิ่งที่เราทำ อย่างที่บอกว่าชายทำมานานแล้ว จะ 30 ปีแล้ว มันเป็นโอกาสที่ทำให้ เราได้ภาคภูมิใจกับอาชีพของเราในสิ่งที่เราทำ บทบาทของเราและได้การยอมรับที่ท่วมท้น ชายนั่งดูนั่งฟังอยู่คนเดียวก็...(น้ำตาซึม) มันปลื้มใจ มีความสุขที่สุดแล้วครับ กราบขอบพระคุณทุกๆ คนมากครับ (ยกมือไหว้)"













กำลังโหลดความคิดเห็น