จากกรณีที่พระเอกดัง “เอส กันตพงศ์ บำรุงรักษ์” วูบหมดสติกลางงานอีเวนต์ เมื่อวันที่ 9 พ.ค. ที่ผ่านมา จนทำให้ภรรยา อย่าง “คิตตี้ คริสติน่า วิงเคลอร์” ออกมาโพสต์ขอให้ทุกคนช่วยภาวนาให้สามีอาการดีขึ้น เพราะอยู่ในขั้นวิกฤตน่าเป็นห่วง ก่อนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพจวัดดัง จะโพสต์ภาพเจ้าอาวาสร่วมเฟรมกับเอสในชุดผู้ป่วยและครอบครัว พร้อมระบุว่า ‘วันนี้พระอาจารย์ได้เยี่ยมพี่เอส เก่งมาก แข็งแรงมาก ปัญญาดีมาก’ แต่ภายหลังได้ลบโพสต์ออกไป ชาวเน็ตเลยไปจี้ถามภรรยา ว่าเป็นภาพจริงหรือเปล่า ถ้าฟื้นแล้วทำไมไม่รีบบอก เพราะคนรอกันทั้งประเทศ และก็ได้คำตอบว่าขอให้อดใจรอและให้เวลาเราอีกหน่อย เดี๋ยวจะแถลงอย่างเป็นทางการพร้อมแพทย์และ พี่เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร
ล่าสุดวันนี้ (22 มิ.ย.) นางอชิรญาณ์ ศรีโสม คุณแม่ของเอส พร้อม คริสติน่า ภรรยา รวมถึง เอ ศุภชัย ผู้จัดการส่วนตัว และ นพ.อชิรวินทร์ จิรกมลชัยสิริ แพทย์ชำนาญการด้านอายุรศาสตร์โรคหัวใจ สถาบันโรคหัวใจ ร.พ.บำรุงราษฎร์ ก็ได้ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ที่ห้องคอนเฟอร์เรนซ์เซ็นเตอร์ ชั้น21 (คลินิก) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เพื่ออัปเดตอาการของพระเอกหนุ่ม หลังเข้ารับการรักษามานานนับเดือน โดยได้แจ้งข่าวดีให้แฟนๆ ได้ใจชื้น ว่าตอนนี้เอสตื่นขึ้นมาและมีภาวะรับรู้แล้ว หลังหลับไป 8 วัน แต่สามารถสื่อสารได้แค่คำง่ายๆ ส่วนอาการโดยรวมพ้นวิกฤตแล้ว แต่ต้องใช้เวลาฟื้นฟู ไม่สามารถทำนายอนาคตได้ เพราะต้องประเมินวันต่อวัน
แม่ : “ย้อนไปวันที่ 9 พ.ค. ที่มีรายการบิ๊กดีเบต อาการที่เราเห็นได้ชัดของเอสก่อนจะหมดสติ คือเขาจะกระวนกระวาย และพยายามขยับเสื้อตลอด เหมือนเริ่มจะมีอาการหน้ามืด แล้ววันนั้นก่อนจะหมดสติ เขาได้เอียงตัวไปทางพิธีกรชายอีกท่านหนึ่ง ไม่ได้ล้มหัวฟาดลงไป แค่เอนลงไปแล้วเขาช่วยรับไว้ แล้วที่โชคดีคือมีคุณหมออยู่นั่นด้วย ก็ได้ช่วยปั๊มหัวใจอยู่สักพักใหญ่ เห็นคุณหมอบอกว่าตอนเอสหมดสติไป น่าจะหยุดหายใจเลย ก็ปั๊มหัวใจกันไปเรื่อยๆ จนถึงห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลตำรวจ ปั๊มขึ้นมาได้ 2 นาทีแล้วก็หยุดไปอีก แล้วก็ปั๊มขึ้นมาได้สักพักหนึ่ง จนดูว่าอาการน่าจะเข้าที่ หลังจากนั้นก็มีการปฐมพยาบาล จนคิดว่าน่าจะเคลื่อนย้ายมาที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้ เราก็พามาวันที่ 11 พ.ค. เพื่อให้คุณหมอทางนี่รักษาต่อ อาการโดยรวมตอนนี้เราก็ยังรักษากันอยู่นะคะ แต่ถ้าจะให้ละเอียดกว่านี้ต้องถามคุณหมอค่ะ”
คุณหมอ : “นับตั้งแต่ผู้ป่วยย้ายมารักษาที่โรงพยายาลบํารุงราษฎร์ ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค. ทีมแพทย์ของสถาบันโรคหัวใจ แล้วก็ทีมแพทย์เฉพาะทางอีกหลายๆ สาขา ได้เข้ามาร่วมกันตรวจวินิจฉัย แล้วก็ทำการรักษา จากการตรวจวินิจฉัยโดยละเอียด จากประวัติตรวจร่างกาย แล้วก็หลักฐานทางคลินิก รวมถึงหลักฐานทางห้องปฏิบัติการทุกอย่าง สาเหตุของความเป็นไปได้มากที่สุด ของอาการของคุณเอส คือภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน (Myocarditis) ในกรณีของคุณเอสเป็นขั้นรุนแรง ก็คือการทำงานของหัวใจมีความผิดปกติ ก็คือลดลงอย่างมาก ทำให้เกิดภาวะที่เราเรียกว่าการเต้นของหัวใจผิดจังหวะขั้นรุนแรง เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้หัวใจหยุดเต้นไป
หลังจากผู้ป่วยถูกย้ายมาจากโรงพยาบาลแห่งแรก คนไข้ถูกประเมินแล้วก็ตรวจรักษาจากโรงพยาบาลแห่งแรก แล้วก็ส่งรักษามาที่โรงพยาบาลบํารุงราษฎร์ ณ ตอนนั้นคุณเอสถูกใส่เครื่องพยุงชีพ แล้วก็เครื่องช่วยหายใจทั้งหมด ตอนที่ส่งมาที่เรา ผู้ป่วยอยู่ในภาวะวิกฤตอย่างมาก แต่หลังจากที่ได้วินิจฉัยที่เป็นไปได้มากที่สุด เราก็ได้เริ่มการรักษาคือให้ยา ซึ่งผู้ป่วยมีการตอบสนองที่น่าพอใจอย่างเป็นลำดับ และมีการตอบสนองที่ดีขึ้นในทุกๆ วันที่มีการรักษา ก่อนค่อยๆ ลดการใช้เครื่องช่วยหายใจและเครื่องพยุงชีพได้ ณ วันที่ให้ข้อมูลนี้คือวันที่ 22 มิ.ย. การทำงานหัวใจของผู้ป่วยกลับมาใกล้เคียงปกติแล้ว แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด จากทีมแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางของหัวใจล้มเหลว และทีมแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางของหัวใจเต้นผิดจังหวะ เพื่อติดตามและประเมินอาการ ที่จะมีโอกาสของหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างใกล้ชิดต่อไป
และนอกจากนี้เนื่องจากระบบไหลเวียนโลหิต มีหยุดการทำงานไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทำให้ไตและสมอง ซึ่งเป็นอวัยวะที่ไวต่อการขาดเลือดมากที่สุดในร่างกาย มีความเสียหายไปด้วย แต่ ณ ตอนนี้ วันนี้ การทำงานของไตฟื้นกลับมาอย่างเป็นที่น่าพอใจ มีการหยุดฟอกเลือดไปแล้ว ผู้ป่วยสามารถกลับมาปัสสาวะได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งการฟอกไตแล้ว เรื่องของสมองหลังจากที่ทีมแพทย์เริ่มพยุงระบบไหลเวียนโลหิตได้ ก็เริ่มมีการฟื้นตัวของภาวะรับรู้ และสมองเป็นไปในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งหลังจากนี้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาเพิ่มเติม โดยแพทย์เฉพาะทางทางด้านระบบประสาท และร่วมทำกายภาพบำบัด เพื่อฟื้นฟูในระยะยาวอย่างต่อเนื่องต่อไป ณ วันที่ให้ข้อมูลนี้ ผู้ป่วยย้ายออกมาจากหอผู้ป่วยวิกฤตโรคหัวใจเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้อยู่ในหอผู้ป่วยปกติ แล้วก็เริ่มทำกายภาพบำบัด ข้อมูลที่เปิดเผยนี้อ้างอิงจากคลินิกของผู้ป่วย จนถึงวันที่ 21 มิ.ย.”
จะหายเป็นปกติเมื่อไหร่ ยังตอบเป็นเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับคนไข้แต่ละคน
คุณหมอ : “คำถามที่ถามถึงอาการคนไข้ในอนาคตจะยังตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของคนไข้ ซึ่งจะแตกต่างกันออกไป ทั้งภาวะของคนไข้เอง ในแต่ละคนโรคที่เป็น คำถามนั้นยังตอบไม่ได้ครับ (ณ วันนี้คนไข้กลับมากี่เปอร์เซ็นต์แล้ว?) ตอนนี้ตื่นและมีภาวะรับรู้ แล้วก็สามารถสื่อสารง่ายๆ ได้ เท่านี้ที่สามารถอัปเดตได้ครับ”
คาดอาจหยุดหายใจไปอย่างน้อย 20 นาที แต่กลับมาได้ขนาดนี้ก็เป็นที่น่าพอใจแล้ว
คุณหมอ : “ถ้าจากประวัติอย่างเดียวนะครับ เท่าที่คุณแม่และคุณคริสติน่ามาที่โรงพยาบาล เท่าที่เราประเมิน ก็คือประมาณอย่างน้อย 20 นาทีขึ้นไปแน่นอน นี่จากการซักประวัติอย่างเดียวนะครับ ไม่ได้มีหลักฐานว่าหัวใจหยุดเต้นนานขนาดนั้นจริงๆ แต่จริงๆ เราไม่พูดถึง 20 นาทีก็ได้ครับ เอาแค่กลับมาได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจอย่างที่แจ้งไปแล้ว”
ไม่ใช่อาการฮีทสโตรกอย่างที่หลายคนเข้าใจ
คุณหมอ : “อย่างที่เรียนแจ้งไป ภาวะที่เป็นเป็นไปได้มากที่สุด ก็คือหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง และทำให้หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เลยทำให้ล้มลงไปในขณะที่มีการแถลงข่าว และเท่าที่ซักประวัติจากคนไข้ ไม่มีประวัติการเป็นโรคหัวใจครับ”
ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกช่วงอายุ แม้ว่าไม่มีประวัติการเป็นโรคหัวใจ
คุณหมอ : “ใช่ครับ จริงๆ เป็นโรคที่พบได้ในทุกช่วงอายุด้วยซ้ำ ตั้งแต่เด็กวัยรุ่น วัยทำงาน แล้วก็วัยสูงอายุ (เอสทำงานเยอะ มีภาวะเครียด เกี่ยวด้วยไหม?) สำหรับอะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้สุขภาพพื้นฐานแย่ลง จะบอกว่าไม่เกี่ยวก็ไม่ได้ คำพูดที่หมอมักจะพูดกับคนไข้ประจำ หรือคำว่าพักผ่อนให้เพียงพอ แล้วก็กินอาหารให้ครบห้าหมู่ ซึ่งแน่นอนการทำงานหนัก การมีภาวะเครียด มันก็จะทำให้สุขภาพโดยรวม ไม่ดีเท่าคนที่พักผ่อนเพียงพอ หรือออกกำลังกายเพียงพอ”
ความร้อนและอากาศถ่ายเทไม่ดีมีผล แต่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ “เอส” มีอาการทรุด
คุณหมอ : “ในภาวะที่คนไข้มีภาวะเครียด เครียดในที่นี่ไม่ใช่เครียดทางจิตใจนะครับ คนไข้น่าจะอยู่ในภาวะที่มีอาการเจ็บป่วยอยู่แล้ว อยู่ในพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทไม่ดี ความร้อนแน่นอนมีผล แต่ไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้คนไข้มีอาการทรุดลงไป”
โดยรวมคือพ้นวิกฤตแล้ว แต่ยังต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
คุณหมอ : “โดยรวมไม่มีภาวะวิกฤตใดหลงเหลืออยู่ในตัวคนไข้แล้ว คำว่าห่วงอย่างที่บอก ก็คืออัปเดตไปทั้งสามอวัยวะ หัวใจ ไต แล้วก็สมอง ทั้งหมดยังต้องอาศัยการประเมิน แล้วก็ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด (ตอนนี้ก็คือใช้คำว่าพ้นวิกฤตแล้ว?) ใช่ครับ”
ตอนนี้ “เอส” สามารถรับรู้อะไรได้แล้ว แต่ยังต้องฟื้นฟูต่อไปไม่สามารถทำนายอนาคตได้
คุณหมอ : “รับรู้ครับอย่างที่แจ้งไป”
เอ : “อันนี้ทางครอบครัวให้เอเล่าได้นะคะ เหมือนวันที่เราไปหาพี่เอส เขาก็จำได้ว่าเป็นเอ เขาก็ดีใจ แต่คุณหมอบอกว่าความจำยังไงนะคะ”
คุณหมอ : “คือทั้งหมดยังต้องใช้เวลาฟื้นฟูแล้วครับ แล้วก็ตอนนี้บอกได้แค่ว่า เป็นช่วงที่คนไข้มีการรีคัฟเวอร์ ก็คือเป็นกราฟขาขึ้น เพียงแต่ว่าจะขึ้นไปสุดที่ตรงไหน หรือกลับมาที่ความปกติหรือเปล่า ก็อย่างที่เรียนแจ้ง…ว่าเราไม่สามารถทำนายอนาคตได้”
แนวทางการรักษาหลังจากนี้ คือทำกายภาพบำบัดและฟื้นฟูอวัยวะต่างๆ
คุณหมอ : “แนวทางการรักษาหลักๆ ก็คือการกายภาพบำบัดฟื้นฟู เพื่อฟื้นฟูอวัยวะต่างๆ รวมถึงฟังก์ชั่นทั้งหมด ที่มีปัญหาช่วงที่หัวใจหยุดเต้นไปเป็นหลัก (มีผลต่อเรื่องความจำด้วยไหม?) การใช้ความจำเป็นอย่างหนึ่ง ที่เราประเมินการทำงานของสมองอยู่แล้วครับ (ตอนขาดเลือดไปเลี้ยงสมองมีผลไหม?) แน่นอนว่าต้องมีครับ”
ระยะเวลาฟื้นฟูร่างกาย ขึ้นอยู่กับตัวคนไข้ ประเมินกันวันต่อวัน
คุณหมอ : “ขึ้นอยู่กับตัวคนไข้เอง เป็นปัจจัยที่เราสามารถให้คำตอบแบบเจาะจงไม่ได้ ช่วงที่วิกฤตเราดูกันเป็นนาทีหรือเป็นชั่วโมง ณ ตอนนี้เราอาจจะสบายใจมากขึ้น ประเมินเป็นวันต่อวัน ว่าผลคนไข้จะดีขึ้นแบบไหน”
ตอนฟื้นขึ้นมายังมีภาวะสับสน และพูดไม่เป็นประโยค
คุณหมอ : “ตอนที่คุณเอสฟื้นขึ้นมา ก็ยังอยู่ในภาวะสับสนซึ่งเป็นปกติ เราไม่ได้คาดหวังว่าคนไข้ที่หัวใจหยุดเต้นไปนาน ตื่นขึ้นมาแล้วสื่อสารได้ทันที ยังมีความสับสนอยู่บ้าง”
คิตตี้ : “มันไม่ได้มาเป็นประโยคค่ะ ตอนที่เขากลับมา เขาดูค่อนข้างสับสน เขาคิดว่าเขากำลังทำงานอยู่ เหมือนเขากำลังอยู่ในฉาก แล้วเขาถามว่าฉากต่อไปคืออะไร (คิดว่าเป็นปาฏิหาริย์ไหม?) มันคือปาฏิหาริย์ค่ะเพราะโดยทั่วไปคนที่ไม่ได้สติเป็นเวลานาน เขาอาจกลับคืนสู่สภาพนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันดีมากๆ ค่ะ”
“น้องวาเลนติน่า” ดีใจมาก ที่ได้พบคุณพ่ออีกครั้ง
คิตตี้ : “เธอดีใจมากที่ได้พบพ่ออีกครั้ง แต่ก็เผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากในการทำความเข้าใจ ว่าพ่อต้องอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ได้อยู่กับเธอทุกวัน หรือทำในสิ่งที่เคยทำด้วยกัน เพราะเอสเป็นพ่อที่วิเศษมาก เขาวิ่งกับเธอตลอด เล่นกับเธอตลอด เธอต้องใช้เวลาทำความเข้าใจมากจริงๆ ว่าตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม ซึ่งเราก็หวังมากๆ ว่ามันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง”
คำแรกที่พูดกับสามี คือพวกเราอยู่ตรงนี้ไม่ต้องห่วง
คิตตี้ : “ฉันพูดประมาณว่า ‘ที่รักเราอยู่ตรงนี้นะเราอยู่ตรงนี้เพื่อคุณไม่ต้องห่วงใช้เวลาได้เต็มที่’ (เขาตอบกลับว่ายังไง?) ตอนนั้นเขาจำไม่ได้เขาไม่รู้ว่าเป็นเราแต่ตอนนี้เขาจำได้แล้ว”
“เอส” รู้ว่าแฟนๆ คิดถึง และรอให้กลับมา
คิตตี้ : “ฉันบอกค่ะ ฉันพยายามอธิบายเขา ว่าทุกคนรอเขาอยู่ ทุกคนอวยพรให้คุณหาย เท่าที่เขาจะเข้าใจได้ ฉันพยายามช่วยเขา ให้กำลังใจเขาเท่าที่ทำได้ ว่าทุกคนรออยู่ทุกคนรักคุณ ...เขาเหมือนจะเข้าใจนะ ฉันมั่นใจว่าเขาอยากกลับมา”
ความรู้สึกแรกที่ “เอส” รู้สึกตัว เหมือนเป็นปาฏิหาริย์
เอ : “เหมือนปาฏิหาริย์จริงๆ ค่ะ เห็นแล้วน้ำตาไหลเพราะ สิ่งที่คาดหวังมันเป็นจริงแล้ว ที่พี่เอสได้ฟื้นขึ้นมา ตอนไปเยี่ยมก็พูดเรื่องวันแรกที่ได้เจอกัน ที่ไปดูตัวพี่เอสครั้งแรก และเปิดไฟส่องไปที่พี่เอส คือพูดทุกเรื่อง เรื่องในอดีต พี่เอสจะจำได้หมดเลย”
ไม่รู้จะกลับไปทำงานได้เมื่อไหร่ เพราะทุกอย่างคือวันต่อวัน
เอ : “ก็ยังไม่สามารถตอบได้ในตอนนี้ เพราะทุกอย่างมันลุ้นวันต่อวัน เพราะฉะนั้นงานทุกอย่างก็ไม่สามารถตอบได้ตอนนี้ ว่าจะเริ่มได้เมื่อไหร่”
สิ่งสำคัญคือการฟื้นฟูร่างกาย หวังให้กลับมาดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
คุณหมอ : “อยากให้โฟกัสว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คืออะไร ตอนนี้คุณเอสอยู่ในฐานะผู้ป่วยและเพิ่งพ้นวิกฤต ที่สำคัญตอนนี้คือการฟื้นฟู (โอกาสกลับมา 100 เปอร์เซ็นต์ยังมีอยู่ใช่ไหม?) เราไม่ตัดโอกาสนั้น ทุกครั้งที่เราทำการรักษาใดๆ ลงไป รวมไปถึงการทำกายภาพทั้งหมด เรามีความคาดหวังว่าคนไข้ จะต้องกลับมาดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะช่อง 7และคุณหมอ
คุณแม่ : “อยากขอบคุณโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลตำรวจ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน แต่สำคัญที่สุดคือช่อง 7 ดูแลทุกอย่างตั้งแต่วันแรกจนถึง ณวันนี้ ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด ดูแลดีมาก ยิ่งคุณหมอที่คุยกันตลอดเวลา”
คิตตี้ : “ฉันอยากบอกอีกครั้งว่าขอบคุณทุกคน ที่ซัปพอร์ตเรา ดีมากที่เข้าใจว่าเราต้องใช้เวลา เพราะเราเสียใจมาก เราเหนื่อยมาก เราดูแลเอสทุกวันทุกเวลา โดยเฉพาะคุณแม่ ครอบครัว ลูกพี่ลูกน้องสามี ทุกคนดูแลเขาตลอดเวลา เราล้ากันมาก ซึ่งเราต้องขอโทษที่ทำให้บางทีเราไม่สามารถอัปเดตข้อมูลได้เร็วเท่าที่ทุกคนต้องการ แต่เราพยายามอย่างดีที่สุด เราพยายามแชร์ข้อมูลเท่าที่ทำได้ แต่เราก็ต้องพยายามปกป้องเอสด้วย เพราะนี่เป็นเรื่องที่อ่อนไหว เราขอให้ทุกคนรู้ว่า เราขอบคุณทุกการสนับสนุน ทุกคนที่อยู่ตรงนี้กับเรา ทุกคนที่ช่วยเหลือเรา ทีมแพทย์โรงพยาบาลที่ช่วยเหลือเราเป็นอย่างดี เราหวังจริงๆ ว่าทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมในเร็ววัน เอสจะกลับมาเป็นสามี เป็นพ่อให้วาเลนติน่า ให้มันจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง”
คุณหมอ : “อาจจะขอโทษนิดหนึ่ง ที่ไม่สามารถอัปเดตได้ตลอด เราอย่าลืมว่าเมื่อเขาเปลี่ยนสถานะจากคนของประชาชน มาเป็นผู้ป่วยวิกฤต การที่ครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง ต้องเจอภาวะแบบนี้ เราจะต้องให้เวลา ให้โอกาส”
เอ : “ต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนและทุกคนทางบ้าน ที่ฝากกำลังใจและเป็นห่วงน้องเอส ตัวเราเองก็พูดตรงๆ ว่าเกร็ง เพราะน้องเอสเป็นผู้ป่วย บางทีเวลาที่เราจะมาเยี่ยม ก็ต้องทำเรื่องขออนุญาตคุณแม่ ซึ่งคุณแม่ก็ดีใจที่เราจะได้มาเยี่ยม และคุณแม่ก็พูดเจตนารมณ์เหมือนกัน ว่าเราอยากจะแถลงให้ทุกท่านได้ทราบ แต่ด้วยอาการของเอสอย่างที่บอก ว่าเราลุ้นกันวันต่อวัน เพราะฉะนั้นตอนนั้นไม่สามารถที่จะมาพูดได้เลย ว่าวันนี้จะเป็นยังไงเพราะถ้าเกิดพูดวันนี้ไปแล้ว พรุ่งนี้เกิดไม่เหมือนที่เราพูดวันนี้ ข้อมูลก็จะผิดพลาด แต่วันนี้ถึงเวลาที่เหมาะสม ที่ทางครอบครัวน้องเอส คุณหมอ และพี่เอ จะมาอัปเดตให้ทุกท่าน ที่เป็นห่วงเราทุกคนได้รับทราบแล้ว”
ระยะเวลาที่ “เอส” หลับไปคือ 8 วันเต็ม
คุณหมอ : “ประมาณ 8 วันครับ นับตั้งแต่วันที่เริ่มมีอาการ วันที่ 8 เริ่มฟื้นตัว (สิ่งที่ทำให้รับรู้ว่าเป็นการฟื้นตัวคืออะไร?) เริ่มต้นเราจะดูที่การขยับแขนขาก่อน แล้วก็เริ่มมีการสื่อสารที่เริ่มเปล่งเสียงได้ และเริ่มสื่อสารแบบที่มีความหมาย”
