“ลุกซ์” น้องชายใบเตย ร่ำไห้กลางเวที เล่านาทีสูญเสียแฟนหนุ่ม บอกโอกาสรอดแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ แต่สำหรับตัวเองคือ 100 ไปบนมาทุกที่ แต่สุดท้ายต้องเชื่อความจริง ยอมทรมานใจ ดีกว่ารั้งไว้แล้วเขาไม่สบายกาย
อยู่ๆ ก็ต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตลูกใหญ่ แบบไม่ทันตั้งตัว สำหรับ “ลุกซ์ ชาญวิทย์ ทวีสิน” ที่นอกจากจะต้องเศร้าเรื่องพี่สาวและพี่เขย อย่าง “ใบเตย อาร์สยาม” สุธีวัน กุญชร และ “ดีเจแมน พัฒนพล มินทะขิน” ติดคุกในคดีโกงแชร์ Forex-3D แล้ว ยังต้องมาสูญเสียแฟนหนุ่ม ที่คบหากันมานานถึง 12 ปี จากอุบัติเหตุรถเฉี่ยวอีก
แต่ถึงแม้จะเสียใจแค่ไหน ชีวิตก็ต้องเดินต่อ ล่าสุดเจ้าตัวมาแชร์วิธีเยียวยาจิตใจของตัวเองให้ฟัง ในแถลงข่าว DM The Charity ครั้งที่14 โดยเจ้าตัวเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ถึงช่วงเวลาอันยากลำบากที่เกิดขึ้น ว่าทุกๆ วันที่ต้องไปอยู่ตรงนั้นมันแย่มาก เหมือนรู้สึกเจ็บกว่าคนที่นอนเจ็บอยู่ด้วยซ้ำ
“วันนี้ตั้งใจอยากมาให้กำลังใจทุกคนอย่างเต็มที่ แต่เหมือนว่าตัวเองน่าจะต้องการกำลังใจมากกว่า กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ถามว่าก้าวผ่านมันมาได้ยังไง ของลุกซ์เป็นเคสอุบัติเหตุ มันก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด แล้วคบกับแฟนมา 12 ปี เราก็ไม่เคยพูดถึงวันนี้กันเลย ก็ต้องยอมรับว่าวันแรกลุกซ์ก็ไม่ได้เข้มแข็งเลย ก็ทำใจยากมาก วันนั้นเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน โรงพยาบาลโทร.มาตอนเที่ยงคืน ว่าคุณภูชิตเกิดอุบัติเหตุ อยู่ที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ซึ่งตอนนั้นเราหลับไปแล้ว
ตอนขับรถไปเรายังรู้สึกเลย ว่าเป็นมิจฉาชีพมาหลอกเราหรือเปล่า แต่ตอนที่วางสายเราก็ขับรถไปทันทีเลยนะ ใช้เวลา 40 นาทีจากรามอินทราไปนนทบุรี ไปถึงก็คือเรื่องจริง เขาเกิดอุบัติเหตุจริงๆ และเห็นเขากำลังโวยวายแบบไม่มีสติ พูดแบบไม่ได้ลืมตามา สิ่งที่รู้สึกในวินาทีนั้น คือลุกซ์รู้ได้ทันทีเลยว่าเขาไม่ได้อยู่กับเราแล้ว เพราะตลอด 12 ปีที่ผ่านมาเราคุยกันรู้เรื่อง เราเข้าใจกัน แต่วินาทีนั้นเขาไม่ได้คุยกับเราแล้ว (เสียงสั่น)ก็เลยทำใจไประยะหนึ่งตั้งแต่วันนั้น ว่านี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น และเราต้องรับให้ได้ เพราะ ณ วินาทีนั้นวันนั้น ลุกซ์ต้องเป็นคนทำทุกอย่างต่อ เพราะโรงพยาบาลเขาจะไม่รักษาต่อ ถ้าญาติยังไม่ได้มา เราก็เลยต้องตัดสินใจหลายๆ อย่าง ก็ต้องมีสติก่อนเลยอันดับแรก เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แล้วก็ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตรงนั้น
ลุกซ์ก็อยู่ด้วยความหวังมาทุกๆ วัน ว่าเขาจะกลับมา เพราะตั้งแต่คืนแรก เราก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้อยู่กับเราแล้ว หลังจากเข้าฉุกเฉินคืนแรก อีกวันเขาได้เข้าผ่าตัดสมองเลย หมอก็ออกมาบอกเราทันทีหลังผ่าเสร็จ ว่าเขามีโอกาสกลับมาแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ คือตอนนี้เราอยู่คนเดียว เพราะพ่อแม่เขาอยู่อุตรดิตถ์ ยังไม่ได้มา เราก็เลยต้องแจ้งข่าวนี้กับพ่อแม่เขา เราใช้ชีวิตอยู่กับความหวัง แม้จะเป็น 3 เปอร์เซ็นต์ของหมอ แต่สำหรับเรามันยังเป็น 100 อยู่ทุกวัน แล้วเขาก็โดนผ่าตัดอีกรอบหนึ่ง เพราะเลือดคั่งในสมองค่อนข้างเยอะ แต่ผ่าตัดรอบสองก็ไม่ดีขึ้น คุณหมอก็บอกว่าเขาจะเป็นได้แค่เจ้าชายนิทรา เราก็เลยอยู่กับความผิดหวังมาจนครบ 14 วัน แล้วเขาก็ไม่ได้อยู่กับเราต่อ
คือเราไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจ เรื่องการจะปั๊มหัวใจต่อไหมหรืออะไร เพราะยังไงต้องให้คุณพ่อคุณแม่หรือคนที่เป็นญาติจริงๆ แต่ลุกซ์เป็นคนแรกที่พยาบาลมาคุยด้วย ว่าน่าจะเป็นวันนี้ๆ ในใจลุกซ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ตอนนั้น ยังไงก็อยากให้เขาอยู่ เพราะรู้สึกว่ามันคือโอกาสที่เขาจะได้ใช้ชีวิตต่อ แต่ท้ายที่สุดแล้วอาการเขาแย่มากๆ จนผิวหนังเขาเริ่มเปลี่ยนสี และลมหายใจเขามันไม่ปกติ เขาหายใจพะงาบๆ ทุกอย่างมันบอกเราอย่างชัดเจน ว่าเขาคงไม่ได้สู้ต่อ เพราะฉะนั้นลุกซ์เลยคุยกับที่บ้านเขา ว่าพ่อกับแม่อยากเปลี่ยนการตัดสินใจไหม ซึ่งพ่อกับแม่เขาก็เชื่อเรา เราก็เลยตัดสินใจยกเลิกที่จะใช้เครื่องปั๊มหัวใจ”
ทุกๆ วันสภาพจิตใจแย่มาก
“ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ลุกซ์บอกตัวเองอย่างเดียวเลยว่า เราคือคนที่ได้ใช้ชีวิตต่อ (เสียงสั่น) เราต้องใช้ชีวิตของเขาให้มีประโยชน์ที่สุดในทุกๆ วัน เป็นเราที่อยู่ตรงนี้ ดีกว่าเป็นเขา เพราะเราจะไม่เป็นอะไร เราจะไหวในทุกๆ วัน เรายังมีแรงที่จะได้เห็นเขาทำในสิ่งที่เขายังอยากสู้อยู่ ลุกซ์ว่าลุกซ์เจ็บกว่าเขาเยอะนะ ในส่วนของคนที่อยู่ ไม่ได้พูดเรื่องอาการนะ แต่พูดถึงทุกๆ วันที่ต้องไปตรงนั้นมันแย่มากแต่ก็คิดว่าเป็นเรานี่แหละที่จะต้องเข้มแข็ง และน่าจะทำได้ดีกว่าเขา ที่ไปอยู่ตรงนั้นลุกซ์ทำใจทุกวัน ว่าจะเป็นวันนี้แน่ หมอต้องบอกแบบนี้แน่ๆ”
ไม่ยื้อไว้ให้ทรมาน
“เหมือนเราสร้างเกราะป้องกันตัวเองได้ในทุกๆ วัน ซึ่งลุกซ์เชื่อว่าลุกซ์ทำได้ดีกว่าเขานะ ลุกซ์ก็ไม่อยากให้เขาเห็นลุกซ์เป็นแบบนั้น เพราะลุกซ์รู้สึกว่า คนตรงนั้นก็เจ็บไม่แพ้กัน เหมือนเราเจ็บด้วยกันทั้งคู่ การใช้ชีวิตต่อมันเหนื่อยกว่ามากๆ เพราะเขาบอกเราทางอาการว่าเขาไม่ไหว เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ฝืน ไม่ปล่อยให้เขาทรมานหรือเจ็บตัว เรายอมเจ็บใจวันนี้ดีกว่า ให้เขาได้ไปสบาย
แต่เอาจริงๆ ลุกซ์ก็ทำเหมือนกับทุกคนเลยนะ ใครบอกที่ไหนดีก็ไปหมด ไปทำเกือบทุกศาสนาเลย ไปทุกที่ หลังจากงดเยี่ยมปุ๊บเข้าวัด ไปโบสถ์ ไปทุกศาสนาที่พอจะทำได้ ที่เขาบอกว่าดี จนกระทั่งสุดท้าย สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้ว่ามันคือเรื่องจริง คืออาการของเขา สิ่งที่เราต้องเชื่อนอกจากเรื่องความเชื่อแล้ว ก็คือต้องเชื่ออาการเขา เราต้องดูต้องฟังสิ่งที่หมอบอก และพิจารณาจากสายตาตัวเอง เราอยู่กับเขามา 12 ปี เรารู้ว่าเขาทรมานหรือเจ็บแค่ไหน”
นั่งจับมือกันจนวินาทีสุดท้าย
“แต่วินาทีที่เขาจะต้องไป ลุกซ์นั่งจับมือเขาตั้งแต่หัวใจยังเต้นอยู่ จนวินาทีสุดท้าย สิ่งที่ได้ทำ ณ ตอนนั้น เป็นสิ่งที่รู้สึกว่า เขาไปอย่างสงบมากๆ จริงๆ ที่ลุกซ์ไปทำมาทั้งหมดทุกที่ ลุกซ์ถอนหมดเลยทุกคำบนบานศาลกล่าว เพราะลุกซ์รู้สึกว่าการรั้งเขาไว้มันไม่เป็นผลดีกับเขาเลย สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับ คือเราไปทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสบายใจว่าเขาจะอยู่ แต่เขาไม่ได้สบายกายที่จะอยู่
สิ่งเดียวที่ลุกซ์ทำได้ คือลุกซ์ต้องปล่อยเขาไปในทุกอย่างๆ ที่ไปทำมา แล้วก็ได้สวดคาถาชินบัญชรเกือบจบ อีกแค่ไม่กี่ประโยคเขาไปก่อน ลุกซ์ไม่ได้เห็นว่าเขาไป แต่ได้ยินเสียงเหมือนที่ทุกคนเคยเห็นในละคร เขาไปแบบสงบมากจริงๆ ไม่ได้มีกระชากหรือกระตุกอะไรเลย”