“แอนนา” เผยตอนนี้ไม่ได้ดูแล “สแน็ก มิสแกรนด์” แล้ว เพราะอยากให้มิสแกรนด์ได้ดูแลเต็มที่ ซึ้งใจอีกฝ่ายไม่เอาเงินรางวัล 150,000 บาทเพราะเห็นตนกำลังลำบาก ยอมรับเพิ่งผ่านการฆ่าตัวตายมา เพราะหยุดกินยาซึมเศร้าเอง แต่หันไปติดยาแก้ปวดแทน ทำให้อาการจิตเวชกลับมากำเริบ ไม่อยากอยู่บนโลก แต่ตอนนี้กลับไปรับการรักษาเหมือนเดิม พร้อมกลับมาทำงานแล้ว
เรียกว่าเป็นคนปลุกปั้นมาตั้งแต่ต้น สำหรับสาว “แอนนา วรินทร วัตรสังข์”กับสาว “สแน็ก อัจฉรีย์ ศรีสุข” มิสแกรนด์เลย 2023 ซึ่งล่าสุดคู่นี้ดูจะห่างๆ กันไป โดยแอนนายอมรับว่าตอนนี้แทบจะไม่ได้ติดต่อกัน เพราะอยากให้เวทีมิสแกรนด์ได้ดูแลสแน็กได้อย่างเต็มที่ และไม่อยากให้ต้องมาพัวพันกับตน เพราะตมมีข่าวเสียเยอะ แต่ประทับใจอีกฝ่ายขอไม่รับเงินรางวัลที่เหลืออีก 150,000 บาท เพราะอยากช่วยตนที่กำลังลำบาก
แอนนา : “ไม่เคยโทร.หาน้องเลย ไม่เคยยุ่งกับน้องอีกเลยตั้งแต่น้องได้ตำแหน่ง เพราะอยากให้น้องไปอยู่กับมิสแกรนด์จริงจัง แต่มีช่วงนึงที่น้องนอยด์และร้องไห้ถามว่าทำไมแอนนาถึงไม่โทร.หาเลยไม่ยุ่งเลย”
พุดเดิ้ล : “เพราะเราส่งน้องถึงฝั่งฝันแล้ว เราก็เลยไม่อยากไปก้าวก่ายหน้าที่การงาน แต่เราก็มีการทาบทามงานให้มาช่วยไลฟ์สด น้องก็เต็มที่มากเวลามาทำงาน”
แอนนา : “แต่ไม่คุยเรื่องส่วนตัวเลย ไม่กอด ไม่อะไร ไม่คุยกันเหมือนเมื่อก่อน จนนางก็ถามว่าโกรธอะไรนางหรือเปล่า ทำไมอยู่ดีๆ จากแม่ลูก พอวันนึงน้องได้ตำแหน่งแล้วเราถึงตัดเลยเรามองว่าถ้าเรายังวุ่นวายกองเขาจะทำงานลำบาก และน้องก็จะมีความเกรงใจ สมมติเราจ้างมา น้องก็จะไม่อยากได้ค่าตัว แต่มันก็เป็นเรื่องของงาน และบอส (ณวัฒน์ อิสรไกรศีล) ก็ให้ความเมตตากับพวกเราด้วย
ก็พูดตรงๆ ว่าข่าวเสียเรามันเยอะ บางคนเม้าธ์ว่าเราเป็นกะเทยนั่นนี่ เราก็ไม่อยากให้ลูกสาวเรามาโดนด่า โดนวีน เราอยากให้ลูกสาวเราไปอยู่บนหิ้งสวยๆ ที่มิสแกรนด์เขาจัดไว้ให้ ก็เลยไม่ค่อยอยากให้น้องมาอยู่กับเราสักเท่าไหร่ แต่ล่าสุดน้องเพิ่งเข้ามาบอกว่าขอไม่รับเงินรางวัล คือน้องยังเหลือเงินรางวัลจากเราอีกประมาณ 150,000 บาท น้องบอกว่าขอไม่เอาเงินตรงนี้ได้ไหม เพราะไม่สบายใจ อยากตอบแทน เพราะคุยกันว่าจะทำงานให้ก็ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราว เพราะเราไม่ได้ใช้งานน้อง
คือวันนัดน้องให้มาเอาเงินก้อนนี้ และน้องก็รู้ว่าช่วงนี้เรากำลังลำบาก และนอยด์ชีวิตเยอะ น้องก็ถามว่าเราเป็นอะไร น้องก็บอกว่าไม่รับเงินดีกว่า นางจะช่วยแม่ ขอคืนเงิน ไม่เอาเงินรางวัลนั้น เราก็ร้องไห้นะ แต่นางร้องก่อน เพราะช่วงนี้ก็ยอมรับว่าเจอมรสุมชีวิตเยอะ”
เผยเคยฆ่าตัวตายเมื่อเดือนที่ผ่านมา เหตุหยุดยาซึมเศร้าเอง
แอนนา : “มีเรื่องนึงที่หลายคนไม่ทราบ เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา เราเพิ่งฆ่าตัวตาย จากภาวะการติดยาเสพติด เราเป็นคนติดยาจิตเวช แล้วเราเลิกเอง ไม่กินยา เราเข้าใจว่าไม่ได้เป็นแล้ว และเราก็รู้สึกว่าไม่เป็นก็ไม่ต้องกินเวลาน้องๆ เอายามาให้ก็กินบ้าง ไม่กินบ้าง และใช้วิธีการฉีดตัวอื่นที่เป็นยาเสพติด ฉีดเข้าเส้นเลย มันเป็นยาแก้ปวด ก็ไปตามคลินิกต่างๆ ว่าเราปวดนั่นปวดนี่ แต่จริงๆ เราไม่ได้ปวด แต่เราไม่รู้ว่าเราติดยาเสพติด มันเป็นยาเสพติดอย่างนึงแล้ว จากที่เราทำงานได้ปกติ ตั้งแต่เดือนก.พ.เป็นต้นมา เราทำงานไม่ได้ ไม่มีฟีลลิ่งในการทำงาน ไม่เคยรู้ว่าชีวิตจะพลาดขนาดนี้
จนสุดท้ายมี.ค.เริ่มดาวน์ เม.ย.อยู่ไม่ได้แล้ว เรียกว่าฆ่าตัวตายโดยไม่รู้ตัว ให้น้องไปซื้อพาราฯ มา บอกให้ทุกคนในบ้านกลับบ้านหมดเลย รู้สึกว่าเบื่อหน่ายโลก ไม่มีความสุข ไปซื้อพารามาฯ 30 เม็ด มีของเดิมอยู่ประมาณ 25 เม็ด ยานอนหลับอีก รวมๆ กินไปเกือบ 100 เม็ดนะ ปรากฎว่ายังอยู่เหมือนเดิม ไม่ตาย (หัวเราะ)พูดง่ายๆ ว่าเราเข้าสู่วังวนการติดยาแก้ปวดโดยไม่รู้ตัว เราก็จะไปบอกหมอว่าเราปวดนั่นนี่เพื่อให้ฉีดยา พอฉีดก็จะเคลิบเคลิ้ม แต่เราไม่รู้ว่ามันคือยาเสพติด เพราะเราถามคนอื่นก็บอกว่าไม่ใช่ยาเสพติด แต่มันคือการติดยาแก้ปวด ก็มีภาวะจิตตก ดิ่ง ดาวน์”
บอกตอนนี้ต้องเพิ่มยาจิตเวช แต่ก็กลับมาสดใสเหมือนเดิมแล้ว
“จนกลายเป็นว่าวันที่ 28 เม.ย.เราก็คิดสั้น แรงสุดก็คือกรีดที่แขน ตอนนั้นไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป แต่รู้สึกแค่ว่าอยู่ไม่ได้ มันลนลาน จากนั้นงานอะไรเราก็ทำไม่ได้เลย เพิ่งมาดีเมื่อประมาณวันที่ 29-30 พอหายเราก็ไปวัดเลย แม่พาไป เขาก็งงว่าเป็นอะไร ทำไมถึงได้เป็นหนักขนาดนั้น ก็ลองเลิกฉีดยาแก้ปวดตัวนั้นดูก็หาย แล้วก็ไปหาหมอจิตเวช หมอก็บอกว่าไม่ควรทำแบบนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะเราเป็นโรคซึมเศร้า การที่เราหยุดยาเองเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เราเลือกไปใช้ยากลุ่มแก้ปวด มันก็เป็นยาอันตรายหนักกว่าเดิม ทำให้เราขาดภาวะการรู้ตัว และขาดสติ พอกลับมาเจอหมอจิตเวช ก็เพิ่มปริมาณยา แต่ตอนนี้ก็กลับมาสดใส ทำงานได้แล้ว
พอมองย้อนกลับไปสิ่งที่ทำให้เราไม่อยากอยู่ในโลกนี้ คือความประมาท เราคิดว่าไม่เป็นไรหรอกแค่ยาแก้ปวด ฉีดๆ ไป ทุกคนมีปัญหาในชีวิตหมด แต่ปัญหานั้นจะเล็กหรือใหญ่มันขึ้นอยู่กับจิตใจเราจะรับได้แค่ไหน ซึ่งตอนนั้นเราใช้ยาอยู่ประมาณ 2 เดือน เริ่มจากความไม่รู้ เห็นคนอื่นฉีดเราก็ฉีดบ้าง นอนแล้วหลับสบายใช่ไหม ดีจังเลย เราจะได้เลิกยาจิตเวช ที่ไหนได้กลายเป็นเราไปติดยาแก้ปวดซึ่งยานี้มันเหมาะกับคนที่ผ่าตัดศัลยกรรม มันบรรเทาอาการเจ็บปวดและมีความเบลอ แต่ที่เบื่อโลกเนี่ย ต้องบอกว่าเราวางแผนธุรกิจผิดพลาด ก็เลยรู้สึกว่าดิ่ง ช่วงภาวะที่คิดสั้นมันไม่ใช่ช่วงที่ร้องไห้และเสียใจ แต่เป็นเหมือนคนบ้า โรคจิต อยู่ดีๆ ก็คิดว่าไม่อยากอยู่แล้วแค่นั้นเอง ตอนที่กรีดแขนก็ไม่รู้ตัวเอง ขับรถไปข้างนอกด้วย”
พุดเดิ้ล : “วันนั้นพุดเดิ้ลไปหานางที่โรงแรม เพราะทุกคนติดต่อไม่ได้ โทรศัพท์ก็ปิด แต่ GPS ของนางยังขึ้นที่คอมพิวเตอร์ เราก็เลยเสิร์จดูก็เห็นว่านางไปโรงแรมนี้”
แอนนา : “อาการวันนั้นก็ไม่ได้ร้องไห้อะไรเลย เป็นปกติสดใสร่าเริง ซึ่งเราเพิ่งรู้ว่าเราเป็นโรคจิตเวชขั้นหนัก ขั้นที่ไม่รู้ตัว มันดิ่ง ตอนนี้ก็กินยาวันละ 8 เม็ด จากที่เดิมลดลงไปเหลือ 3-4 เม็ด ก็ต้องกลับมากินใหม่เป็น 7-8 เม็ด คุณหมอก็บอกว่าถ้าหยุดยาเอง มันจะมีอาการนั้นขึ้นมาอีก แต่พอวันนี้เรารอดจากการฆ่าตัวตายมาแล้ว ตอนนี้ไม่มีความคิดนั้นอยู่ในหัวเลย เพราะเรากลับไปรับยาเหมือนเดิม พอกลับมากินยาภายใน 3 วันมันเปลี่ยนเลย จากที่คิดว่าปัญหาทุกอย่างเราจัดการได้ตลอด แต่กลายเป็นคิดว่าปัญหานั้นมันใหญ่ เราจัดการไม่ได้ มองว่าคนรอบตัวไม่รัก คิดฟุ้งซ่าน อีกนิดนึงติดคำว่าบ้าแล้วนะ คิดว่าชีวิตเราใช้ชีวิตมาช้ำมาก นาทีสุดท้ายที่คิดว่าตัวเองรอดคือสายคล้องเสื้อคลุมของโรงแรมน่ะ เราเอาไปผูกคอ แล้วเลือดที่แขนก็ไหลอยู่ ไหลเยอะด้วย ที่รอดมาได้ก็คิดว่าเราโชคดีนะ คิดว่าเป็นบ้าหรือเปล่า ก็ตกใจ พอหล่นลงมาจากที่ผูกคอ เพราะเชือกมันคงรับน้ำหนักไม่ไหว เพราะเราก็ตัวใหญ่พอสมควรก็เลยหล่นลงมา”
พุดเดิ้ล : “พอไปเห็นสภาพนั้นตกใจมาก เพราะตอนนั้นแอนนาไม่รู้ตัว พอเข้าไปในห้องแอนนาไม่ได้เสียบคีร์การ์ดไว้ด้วย ห้องก็มืด ไม่มีอากาศหายใจเลย แต่เขาใส่เสื้อคลุมโรงแรมนอนอยู่ ไม่มีอาการเจ็บปวดเลย แล้วแอนนาก็ถ่ายรูปแผลตัวเองไว้ในโทรศัพท์ พุดเดิ้ลก็เปิดดู เราก็งง เพราะมันเป็นแผลไขมันปลิ้นออกมาตรงแขนเยอะมาก พอเปิดแผลดูนางก็ไม่บอก นางบอกว่าล้ม แล้วก็บอกว่าหิวข้าว พาไปกินข้าวหน่อย เราก็บอกว่าเดี๋ยวจะพาไปหาหมอก่อน ไปเย็บแผล คุณหมอก็บอกว่าคนไข้มีภาวะอะไรหรือเปล่า เพราะเป็นรอยทำร้ายตัวเองมา ตอนนั้นแอนนาก็ยังไม่ได้บอกนะว่าฆ่าตัวตาย พอเย็บแผลเสร็จกลับบ้าน วันรุ่งขึ้นนางถึงสารภาพ”
แอนนา : “ก็เลยกลับไปหาหมอจิตเวช เล่าให้หมอฟังหมดเลยว่าฉีดยาตัวนี้ เราชอบมาก รู้สึกสบาย หมอบอกว่านั่นแหละคุณติดยาเสพติด และคุณก็ลดยาจิตเวชเองโดยที่ไม่ได้เข้ามาหาหมอเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิด วันนั้นที่กินยาไปเกือบ 100 เป็นยาเกี่ยวกับสมองทั้งหมด ไม่แปลกเลยที่เราจะจำอะไรไม่ได้ แต่มารู้สึกเจ็บคอก็เพราะผูกคอนี่แหละ คนในบ้านก็ร้องไห้กันใหญ่ว่าเราทำแบบนั้นทำไม ซึ่งเราก็บอกคนในบ้านว่าเราไม่ได้เศร้าเลยนะ แต่เราไม่รู้ตัว ตอนที่เรารับยาหมอจิตเวชเราไม่เคยเป็นแบบนั้นเลย เคยทำก่อนที่เราจะรับยาเมื่อ 5 ปีก่อน เพราะเราเป็นโรคซึมเศร้า แต่ก็ไม่ได้เอามาเป็นคอนเทนต์ เพราะมันเป็นเรื่องชีวิตคน ดังนั้นถ้าคนที่ดูอยู่อยากบอกไว้เลย ถ้าคุณคิดว่าไม่อยากอยู่บนโลกนี้นั่นคือคุณเป็นโรคจิตเวช ไปหาหมอกินยาเลย หายค่ะ และใช้ธรรมะช่วยนิดหน่อย”
พุดเดิ้ล : “ก็ต้องดูแลมากค่ะ เพราะแอนนาเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่คนเดียว ก็จะบอกให้น้องๆ มาอยู่ด้วย คอยเอนเตอร์เทนนาง เพราะนางชอบให้คนอยู่ด้วยเยอะๆ ไม่อยากให้อยู่ห่างกัน ถ้าอยู่คนเดียวนางก็จะคิดว่าทุกคนไม่รักนาง”
แอนนา : “จะชอบคิดว่าฉันอยู่คนเดียวบนโลก ผัวก็ไม่รัก ผัวก็ไม่มี มีเพื่อนก็เหมือนไม่มี คิดไปเองทั้งๆ ที่ความจริงคนมาหาที่บ้านวันนึงเป็นสิบคนเลย”
พุดเดิ้ล : “แต่นางชอบคิดเองว่าฉันอยู่คนเดียวแน่เลย แต่นางคิดว่านางอยู่คนเดียวตลอด เพื่อนๆ ก็จะแวะเวียนมา ตอนโม อมีนารู้ก็ตกใจ ขับรถมาหาเลย”
แอนนา : “ที่ออกมาเล่าก็เพราะว่ามันผ่านมาแล้ว และเราผ่านมาได้ด้วยดี เพราะจิตใจเราตอนนี้เข้มแข็งแล้ว และกลับมาทำงานได้ทุกอย่าง รับงานเยอะกว่าเดิมด้วย เพราะเราไม่ได้ทำงานมาเกือบ 3 เดือน ก็ทำงานชดเชยที่หายไปค่ะ ตอนนี้งานเยอะมากค่ะ”