“ยุ้ย รจนา” อัปเดตชีวิตหลังจากเข้าวัดป่าพึ่งธรรมะ ตอนนี้ไม่ได้เป็นคนไร้บ้านแล้ว แต่ยังต้องกินยาควบคุมอาการทางจิตอยู่ เล่าอาการดีขึ้นเพราะธรรมะช่วยเยียวยา ยังคงกลัวสังคม หวาดระแวงผู้คน ค่อยๆ ลดยา ควบคู่กับการฝึกจิต ฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเองก่อนตัดสินใจบวชชีตามแม่
จากนางแบบระดับโลกต้องกลายเป็นคนเร่ร่อน ติดยาเสพติด หันหน้าเข้าวัดป่าพึ่งธรรมะเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ “ยุ้ย รจนา เพชรกันหา” อดีตนางแบบชื่อดัง ได้มาอัปเดตเรื่องราวชีวิตว่าตอนนี้ชีวิตตนดีขึ้น จากที่เคยซูบผอมตอนนี้ก็ดูสดใสขึ้น ไม่ได้เป็นคนไร้บ้านแล้ว แต่ยังต้องกินยาควบคุมอาการทางจิตอยู่
“ตอนนี้ยุ้ยปฎิบัติธรรมอยู่ที่วัดเชตวัน จังหวัดพิจิตร ที่มาปฎิบัติธรรมเพราะแม่ปฎิบัติธรรมมาเป็น 10 ปี ท่านก็อยากให้เราเข้าวัดเพื่อที่เราจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เครียด เราอยู่ในวงการมานาน มีข่าว มีปัญหาชีวิตมากมาย ตอนที่ยุ้ยเคยไปเดินเร่ร่อน ติดยา แม่เลยอยากให้เราไปบำบัด ก็ได้มาเจอพระอาจารย์ซึ่งท่านรักษาทางจิตโดยตรง เมื่อช่วง 2-3 ปีที่แล้ว ยุ้ยอยู่ กทม. แต่เก็บตัว จะมีแต่งานที่ต่างประเทศ
เราได้นั่งสมาธิ ฝึกจิต มันยากค่ะในการปฎิบัติ สมัยที่อยู่เมืองนอก เราคล่องตัวมาก เราเดินทางคนเดียวมาตลอด เรามีความมั่นใจกับการใช้ชีวิตมากๆ พอยุ้ยมาอยู่เมืองไทยนานๆ เจอโควิดระบาดทำให้เราไม่กล้าไปไหน เป็นคนเก็บตัว ทำให้เราไม่มีความมั่นใจในการเดินทาง ก็ได้คุณแม่ยุ้ยที่เป็นแม่ชีช่วยบอกการเดินทางให้ สอนให้เข้าวัด”
ตอนนี้ยังคงกลัวสังคม หวาดระแวงคน ค่อยๆ ลดยา ควบคู่กับการฝึกจิต
“ก็ยังหวาดระแวงอยู่ ทุกวันนี้ยุ้ยยอมรับว่าตัวเองยังต้องพบจิตแพทย์ อาการมันดีขึ้น พอได้ไปปฎิบัติ พระอาจารย์ให้ฝึกจิต พระอาจารย์บอกค่อยๆ ลดยาทีละนิด ถ้าเรากินยาเยอะๆ จะทำให้เราเบลอและขาดยาไม่ได้ ต้องพึ่งยาตลอด ท่านจะฝึกให้ใช้นิ้ว หลับตานั่งสมาธิ กำหนดจิต หลักๆ คือให้เรามีสมาธิ อยู่กับจิต มันช่วยบำบัดจิตเราได้
ตอนนี้ก็กำลังดูอยู่ว่า ถ้าเราลดยาเยอะไป มันไม่เวิร์ก ต้องคอยเช็กว่าอาการมันจะกลับมาไหม ทุกเดือนต้องคอยไปเช็กกับแพทย์ ล่าสุดบอกหมอว่าจะไปบวช ไปปฎิบัติธรรม เขาก็บอกว่ารักษาให้หายก่อน คือฟังคุณหมอแล้วรู้สึกเหมือนเราเป็นหนักมาก เดือนแรกยุ้ยไม่ได้ไปปฎิบัติเพราะหมอบอกให้รักษาให้หายก่อน แต่แม่อยากให้ยุ้ยไปปฎิบัติธรรมเร็วๆ เราก็กลับไปคุยกับหมออีก เขาก็บอกว่าที่วัดงานเยอะนะ กินยาจะทำให้เราง่วงนอน แล้วเราฝืนไม่ได้ พอเราไม่ได้นอนมันจะทำให้เราเบลอ ก็เลยลดปริมาณยาลง อย่างต้องกินยา 9 เม็ด ก็ลดลงมา 3 เม็ด เทสตัวเองไปเรื่อยๆ”
ค้นพบความสุขจากการได้ปฎิบัติธรรม คุณหมอว่ามีสิทธิ์หาย
“หมอแต่ละคนบอกไม่เหมือนกัน บางคนบอกพออาการเราดีขึ้นเขาจะลดยาให้จนเราหายไป ไม่ต้องกลับมารักษาอีก ยุ้ยก็เลยเอาธรรมะเข้ามาปรับใช้ เคยไปอยู่วัดแบบไม่พึ่งยาเลย 3 เดือนเราก็อยู่ได้ ช่วยงานวัดได้ เราก็ค้นพบความสุขจากการได้ปฎิบัติธรรม
ยุ้ยไปอยู่วัดนึง เป็นการไปครั้งแรก ไปถึงช่วงโพล้เพล้ยุ้ยได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาเรียก เสียงเขาที่เรียกชื่อเราบาดใจมาก เสียงโหยหวน เรานี่ขนลุกซู่เลย กลัวมาก ก็เลยถามพระอาจารย์ว่าคืออะไร ท่านก็บอกว่าที่นี่คือที่ที่เราควรจะอยู่ ท่านก็ถามว่าเราสัมผัสอะไรได้บ้าง เขาคงอยากให้เราไปทำบุญให้”
ชีวิตที่ผ่านมาเป็นวิบากกรรมที่ต้องยอมรับ ขอเลือกอยู่กับปัจจุบัน ยังไม่อยากบวชชี ขอใช้ชีวิตทางโลกควบคู่ทางธรรมไปก่อน
“มันเป็นวิบากกรรมของเราที่เราต้องยอมรับ เราอย่าไปอยู่กับอดีต ให้อยู่กับปัจจุบัน และอย่าไปอยู่กับอนาคตให้มาก อยู่กับปัจจุบันให้มาก ก็พยายามปลง ด้วยความที่แม่ยุ้ยเป็นแม่ชีมานาน 10 กว่าปี แม่ก็อยากให้เราโกนผม บวชชีตัดทางโลกไปเลย แต่ยุ้ยอายุแค่ 48 ปี ยุ้ยยังอยากอยู่ในทางโลก ยุ้ยยังไม่มีบ้าน เราก็อยากจะทำงานตรงนี้ เอาตรงๆ ไปวัดเราก็ต้องทำบุญ เราต้องมีปัจจัย
แต่ถ้าวันใดวันนึงเราโอเคกับสิ่งที่เราต้องการแล้ว สุขภาพจิตเราก็ยังไม่ได้จะดีมาก ที่ผ่านมายุ้ยทานยาเยอะ บางครั้งมันคอนโทรลตัวเองไม่ได้ มันทำให้เราเบลอ ยุ้ยยังต้องบำบัดจิต พระอาจารย์ก็บอกว่าเราไม่ใช่ผู้ป่วยหนัก เราสามารถหายได้ ตอนนี้ก็เลยบำบัดจิตควบคู่กับการหาหมอกินยาแผนปัจจุบัน
ก็อยากให้ชีวิตของยุ้ยเป็นตัวอย่างให้กับทุกคน เราพลาดได้ แต่วันนึงเราก็จะกลับฟื้นขึ้นได้เหมือนกัน ด้วยกำลังใจจากทุกคน ไม่ว่ายุ้ยจะเดินในทางโลกหรือทางธรรมก็ขอให้ทุกคนให้กำลังใจ และอนุโมทนาให้ยุ้นด้วยค่ะ สาธุ”