“แพต ชญานิษฐ์” ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะได้รับผลกระทบหรือไม่หลังจากพูดสปีชคอลเอาต์ ส.ว. กลางเวทีประกาศรางวัล รับเคยเป็นคนที่กลัวการออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมือง แต่ตอนนี้ตระหนักและตื่นรู้กันหมดแล้ว ไม่ใช่เวลาที่ต้องกลัวอีกต่อไป ลุ้นอีก 2 เดือนโหวต ส.ว.
เป็นไวรัลไปทั่วโซเชียล ที่ก่อนหน้านี้นักแสดงสาว “แพต ชญานิษฐ์ ชาญสง่าเวช”ได้รับรางวัลบนเวทีหนึ่ง และได้ขึ้นไปพูดสปีชนอกจากจะขอบคุณถึงรางวัลที่ได้รับแล้ว แพตยังได้พูดถึงเรื่องการเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านมาหมาดๆ และฝากถึง ส.ว. ไว้ว่า…
“ขอบคุณที่ให้รางวัลแพตอีกครั้ง มันเป็นเครื่องย้ำเตือน และเป็นกำลังใจว่าเราจะหยุดปังได้ยังไง ใช่ไหมคะ แต่ว่าจะปังกว่านี้มาก หากรัฐบาลที่ผ่านการคัดเลือกจากประชาชนมากกว่า 14 ล้านเสียง ได้ขึ้นเป็นรัฐบาลอย่างสมบูรณ์แบบ วันนี้ขอฝาก ส.ว.หลายๆ ท่าน รับพิจารณาเสียงของประชาชนด้วยค่ะ แล้วคราวนี้เราจะปังไปพร้อมกันทั้งประเทศ ขอบคุณค่ะ”
ล่าสุด แพต ชญานิษฐ์ ไปร่วมงานแถลงข่าวเปิดแคมเปญ The Greatest Grand Sale 2023 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เจ้าตัวก็ได้เปิดใจถึงการคอลเอาต์ในวันนั้นว่า….
"เรารู้สึกว่าเราเป็นประชาชนคนหนึ่ง ที่มีสิทธิ์พูดได้ คิดว่าคนเขาก็พูดกันหมดเลยนะคะ มันไม่ใช่แค่เราหรือโลกโซเชียล เวลาเรานั่งกินข้าวกับเพื่อนคือทุกคนตื่นรู้แต่กันหมดทุกคนอยู่แล้วเอาจริงๆ นะมันเป็นสปีชที่เราคิดตอนที่นั่งรอที่จะขึ้นไปพูด คือรอนานมากมันไม่มีอะไรทำ เล่นโทรศัพท์ก็แล้ว กินขนมก็แล้ว ดมยาดมก็แล้ว ออกไปเดินเล่นก็แล้ว ก็คิดดีกว่าพูดอะไรดี คือจริงๆ เรารู้สึกว่าเราไม่กลัวที่จะพูดในสิ่งที่เรามีสิทธิ์พูดอยู่แล้ว"
ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะได้รับผลกระทบหรือไม่หลังจากได้คอลเอาต์ออกไป
“ก็ไม่ได้คิดเลยว่ามันจะมีหรือไม่ คือจริงๆ มีหลายคนที่เดินมาพูดกับแพตว่าเฮ้ย ขอบคุณมากที่เราพูดออกไป มันเป็นสิ่งที่คุณไม่จำเป็นจะต้องขอบคุณเราเลยด้วยซ้ำมันเป็นสิ่งที่นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น นอกจากคำขอบคุณแล้วก็จะมีแบบ…เราจะไปรู้อะไร หรือเรายังรู้ไม่มากพอหรือไม่ มันก็มีตรงนั้นเหมือนกัน มันเล็กๆ ค่ะ
เชื่อว่าทุกคนตระหนักรู้สิ่งนี้อยู่แล้วแล้วมันก็เกิดขึ้นจริง เรารู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วที่ท่านผู้ใหญ่หลายๆ ท่านที่ควรจะรับฟังเสียงของประชาชนที่แท้จริง งั้นจะให้ประชาชนขับรถออกมาเลือกตั้งกันทำไม เราจะตระหนักรู้และตื่นรู้กับคำว่าประชาธิปไตยกันได้หรือยัง”
รู้สึกเฉยๆ กับกระแสด้านลบ รู้อยู่แล้วว่าต้องมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ
“เรารู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เรารู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องมีทั้งคนที่ไม่ชอบและคนที่ชอบในสิ่งที่เราทำ มันเป็นเรื่องปกติเลย ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามก็จะมีทั้งคนรักทั้งชอบและไม่ชอบฉะนั้นเฉยๆ นะ กับงานเรารู้สึกว่าเราพูดในสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ แล้วมันไม่มีใครที่จะสามารถโต้แย้งได้ว่ามันไม่จริง คือเราพูดออกไปแล้ว เราไม่สามารถที่จะชัตคำพูดกลับมาและย้อนเวลาได้
(เราคิดว่าเสียงเราดังไหม?) ไม่รู้สิ เขารู้อยู่แล้วแหละ เราก็คือมนุษย์คนหนึ่งประชาชนคนไทยคนหนึ่ง จริงๆ หนึ่งสิทธิ์เสียงของเราก็มีหนึ่งสิทธิ์เสียงเท่าทุกคนเหมือนกัน เราเป็นคนหนึ่งที่ขับรถไปเลือกตั้งเหมือนทุกคน เรานั่งฟังข่าว อ่านข่าวเหมือนกับที่ทุกคนทำ เสียภาษีเหมือนคนปกติเหมือนกัน ก็แค่นั้นเลยค่ะ
รับเคยเป็นคนที่กลัวการออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมือง แต่ตอนนี้ตระหนักรู้แล้ว ไม่ใช่เวลาที่ต้องกลัวอีกต่อไป
"ขอเล่าก่อนว่าเมื่อก่อนเป็นคนที่กลัวการออกความคิดเห็น เรากลัวที่จะพูดสิ่งนี้ออกมา บอกตอนนี้เลยนะคะว่าเคยกลัวมาก่อน แต่มันถึงเวลาที่เราตระหนักรู้ เราเรียนรู้ เราเห็น เราซึมซับกับสิ่งนี้มาหลายปีมากๆ มันเป็นช่วงอายุและวัยที่เราเรียนรู้กับสิ่งนี้ ก็รู้สึกว่ามันไม่แฟร์มากๆ จนเราเกิดคำถามหลายๆ อย่างมันเลยพูด เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่เวลาที่เราจะต้องกลัวอีกต่อไป ทุกคนอยากจะเห็นความเปลี่ยนแปลงจริงๆ
เราไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เราพูดมันจะส่งผลอะไรมากหรือน้อย แค่รู้สึกว่าเรามีความหวังแล้วคิดว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้มีความหวังที่จะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง เรารู้สึกว่า พอเราไม่ได้กลัวอีกต่อไปแล้ว เราสแตนบายความไม่กลัวมาสักพักนึงแล้ว เราเป็นประชาชนคนหนึ่งที่เราตื่นรู้กับสิ่งนี้ เราอ่าน เราไม่กลัวที่จะแชร์ ไม่กลัวที่จะออกความคิดเห็นในโซเชียลมีเดีย ถ้าเทียบกับการขับรถ เหมือนเรามองคันเร่งมาเรื่อยๆ แล้วการพูดครั้งนี้มันก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้เราเหยียบคันเร่งเร็วขึ้น เราก็ยังตื่นรู้กับสิ่งนี้มากด้วยสปีชเดิมไปเรื่อยๆ ค่ะ เรายังมีความหวังนะ รอ 2 เดือนนี้
มาลุ้นกัน 2 เดือนนี้เพราะพวกเรารู้อยู่แล้วว่ามันมีจุดโหว่เยอะมากในหลายๆ อย่างที่มันมีความหละหลวม ถ้าเป็นไปได้เราก็มีความหวังว่ามันจะสตรองมากขึ้น รู้สึกว่าคนไทยเมืองไทยเรามีคุณภาพมากๆ ความหวังมันเป็นอะไรที่ทำให้เรายังมีชีวิตอยู่”