“ป๋อ ณัฐวุฒิ” โอดจูบหลอกมา 20 ปี เพิ่งเปิดซิงจูบจริงครั้งแรก ยอมรับตัดครอบครัวไม่ออก ไม่อยากให้ลูกดูและกลัวเมียหวง ชมเด็กสมัยนี้เลิฟซีนมืออาชีพมาก ส่วนตัวกำลังพยายาม แต่ยังไม่พร้อมจะเล่นอีก ไม่รู้ “เอ๋ พรทิพย์” โกรธหรืองอนไหม เพราะบอกว่าแล้วแต่ ไม่หวงถ้าอีกฝ่ายเลิฟซีนบ้าง แต่ต้องดูว่ามากขนาดไหน
เป็นอีกหนึ่งนักแสดงมากความสามารถ ที่อยู่ในวงการบันเทิงมาอย่างยาวนาน สำหรับ “ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ” ที่เป็นพระเอกในดวงใจใครหลายๆ คน แต่ใครจะไปคิดว่าชีวิตนักแสดงที่ผ่านมา ป๋อจะไม่เคยเล่นเลิฟซีนแบบจูบจริงเลยสักครั้ง โดยเจ้าตัวได้เผยให้ฟังในการสัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟกับทีมข่าว MGR ในวันนี้ (19 พ.ค.) ว่าละครเรื่อง ชายแพศยา ที่กำลังออนแอร์อยู่ทางช่อง 3 นั้น เป็นการเปิดซิงจูบจริงครั้งแรกในชีวิต เพราะ 20 ปีที่ผ่านมาใช้มุมกล้องจูบหลอกมากตลอด ซึ่งโค้ชก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นภรรยาสุดที่รัก “เอ๋ พรทิพย์ สกิดใจ” นั่นเอง
“ถามว่ารู้มาก่อนไหม ว่าจะต้องมาเปิดซิงเลิฟซีน ไม่รู้ แต่ว่ามันชื่อว่าชายแพศยาไง เลยคิดว่ามันน่าจะมี แต่คืออย่างนี้…ละครที่เคยเล่นมา เราไม่เคยเลิฟซีนเลย อาจจะมีแต่ไม่ได้จูบจริง เพราะว่าเราอยู่ในเจเนอเรชั่นเก่า ที่ไม่ได้มีการจูบจริงเหมือนสมัยนี้ แล้วก็วิตกอยู่เหมือนกันว่าจะยังไง ก็เลยยื่นเรื่องไปให้ภรรยา ว่ามันอาจจะมีจูบจริงนะ เอ๋เขาก็ถามว่ากับใคร เราก็บอกว่าพี่แอน (สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์) เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อย่างที่บอกว่าส่วนตัวเราเป็นกังวลมาก เหมือนเด็กเพิ่งทำการแสดงเลย เพราะหนึ่งเราไม่เคย สองคือเรามีครอบครัวแล้ว พูดตรงๆ เรารู้สึกว่ามันไปยึดโยงกับครอบครัวยังไงไม่รู้ จริงๆ ก็พยายามจะแยกแยะอยู่ พยายามจะใช้วิธีคิดว่าเอาเท่าที่เราทำได้”
ยอมรับตัดชีวิตจริงไม่ออก เพราะรู้สึกว่าเลิฟซีนคือเรื่องใหญ่ ไม่อยากให้ลูกดู และห่วงความรู้สึกเมีย
“เราทำไม่ได้ (หัวเราะ) ถ้าสำหรับคนอื่นมันน่าจะสวยงาม แต่อันนี้น่าจะเป็นเรื่องเฉพาะตัว เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อิน เอาอย่างนี้ดีกว่า มันขึ้นอยู่กับความจำเป็นของบท ถ้าบทนั้นมีความจำเป็นต้องเลิฟซีนจริงๆ ก็ทำได้นะ เพราะเราเป็นนักแสดง ถามว่าเลิฟซีนกับพี่แอน จะมีเยอะมากกว่าที่เห็นไปแล้วไหม มีเท่านั้นแหละครับ พอจูบปุ๊บแกก็ตบเลย แต่มันก็จูบนานเหมือนกันนะ เหมือนเมาแล้วก็ดึงเขามาจูบแช่
คือสำหรับคนอื่นฉากเลิฟซีนมันอาจจะเป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับเรามันเป็นเรื่องใหญ่ เราก็ห่วงความรู้สึกของลูกด้วย ไม่อยากให้ลูกดูฉากนี้ ห่วงความรู้สึกเอ๋ด้วย เรายอมรับว่าเราอาจจะแยกไม่ออก ตัดไม่ขาดกับความรู้สึกในชีวิตจริง แต่ตอนนี้เหมือนเราก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เหมือนกัน ค่อยๆ ปรับตัว เอ๋เองเขาก็ปรับตัวว่าเรายังเป็นนักแสดง แล้วตอนนี้เอ๋เขาก็กลับมาเล่นละครแล้ว วันหนึ่งเขาก็อาจจะต้องมีซีนแบบนี้ เราเองก็อาจจะต้องโอเคและเข้าใจกับมัน คือถ้าเราต่างคนต่างเปิดใจมันก็ข้ามไปได้ไง อย่างที่บอกว่าเราเป็นยุคเปลี่ยนผ่าน มันก็อาจจะยากสำหรับเราหน่อย”
“เอ๋” เป็นโค้ชให้ ว่าต้องจูบประมาณไหนดี ซึ่งงานนี้ยังเป็นการเข้าฉากจูบจริง กับนักแสดงชายครั้งแรกของ “แอน สิเรียม” ด้วย
“เราก็เริ่มจากเอ๋นี่แหละครับเป็นโค้ชของผม เราก็ปรึกษาเขาว่าประมาณไหนดี เอ๋ก็บอกว่ามันไม่ต้องเยอะหรอกมั้ง เอาแค่น้อยๆ ก็พอ เทรนเนอร์ผมฝึกน้อยมากครับ พยายามจะฝึกให้ผมจูบนิดเดียว แต่ก็คิดว่ามันไม่เยอะอยู่แล้ว เพราะอ่านบทก็คิดว่ามันคงจูบนิดเดียวมั้ง เรียกว่าเปิดซิงพี่แอนด้วย พี่แอนเขาก็บอกว่าไม่เคยจูบ เคยจูบแค่กับเชียร์ (ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์) ซึ่งเป็นผู้หญิง แล้วตอนถ่ายเราต่างคนต่างรู้สึกว่าใช้ความเป็นมืออาชีพของตัวเอง คือหมายถึงว่าพี่แอนก็ไม่พูดถึงเรื่องจูบเลย วันนั้นรู้ว่ามีฉากนี้พี่แอนก็ไม่พูดถึง
ผมเองก็เก็บงำเรื่องนี้ไว้กับตัวเองโดยที่ไม่บอกพี่แอนเหมือนกัน ไม่กล้าพูดกลัวเขาจะเขินไง เพราะเราเขินไปแล้ว ตอนซ้อมก็ซ้อมไป เอาง่ายๆ ว่าไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย พี่แอนก็ไม่รู้ว่าผมคิดยังไง ผมก็ไม่รู้ว่าพี่แอนคิดยังไงเราก็ปล่อยให้เรื่องมันไหลไปตามธรรมชาติ พอต้องเล่นจริงๆ มันได้เพราะมันถึงจุดที่จะต้องจูบจริงๆ ก็เลยรู้สึกว่ามันผ่านไปได้ แล้วจริงๆ มันก็ได้ตั้งแต่เทกแรกแล้วครับ แต่ว่าผู้กำกับอยากได้มุมภาพเพิ่ม ตอนถ่ายเสร็จคือโล่งเลย แล้วมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดนี่หว่า มันก็ดีนะ (หัวเราะ)”
เดาอารมณ์เมียไม่ถูก ไม่รู้โกรธหรืองอน เพราะไม่ได้ห้ามเล่นฉากจูบ แต่บอกว่าแล้วแต่
“คือเอ๋เขามีความลึกลับ ซึ่งเราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ดวงตาที่กลมโตของเขาเนี่ย ไม่รู้ว่าโกรธเราหรือว่างอนเราหรือดีกับเราอยู่ บางทีมันเดายาก ผู้หญิงเนี่ยแล้วยิ่งคบไปนานๆ ลึกก้นบึ้งในจิตใจเราดูไม่ออกจริงๆ เอ๋เนี่ย ในบางจังหวะเขาก็งอน ซึ่งบางทีเหมือนจะไม่มีอะไร คือเขาก็จะไม่กล้ามานั่งแบบทำไมต้องจูบล่ะ มันก็จะดูไม่โปรฯ ถูกไหม เพราะว่าเราเป็นนักแสดงเดี๋ยวคนก็จะหาว่าทำไมจูบไม่ได้ แต่เขาก็จะมีความรู้สึกว่ามันต้องจูบไหมล่ะ จำเป็นไหม หรือมันไม่จำเป็นอะไรอย่างนี้ แต่เขาก็ไม่ห้ามนะก็แล้วแต่ ซึ่งไอ้คำว่าแล้วแต่เนี่ย…(หัวเราะ)”
ไม่ได้ถาม “มาสุ จรรยางค์ดีกุล” เรื่องเลิฟซีน เพราะถ่ายคนละที่ แต่รู้สึกว่าเด็กรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้มืออาชีพมาก
“ไม่ได้ดูแล ไม่ได้ถามเลย เพราะว่ามาสุเขาจะถ่ายคนละโลเกชั่นกับเรา แต่เด็กๆ รุ่นใหม่นี่มืออาชีพมากเลยเนอะ ถามว่าถ้าเราจะต้องเล่นอย่างที่มาสุเล่น ขนาดแค่ฟังคำถามเรายังเครียดแล้วนะเนี่ย ยอมรับว่าเลิฟซีนเป็นโจทย์ที่มันยากจริงๆ แต่สุดท้ายถ้าขีดเส้นใต้ว่าบทนั้นต้องทำเราก็ทำได้ เผลอๆ ทำได้ดีด้วย บางทีเราอาจจะเก่งกว่ามาสุก็ได้ใครจะไปรู้ ขิงนิดหนึ่ง”
โอดยังไม่พร้อมอยู่ดี ถ้าหลังจากนี้จะต้องจูบจริงอีก
“ยังๆๆ (หัวเราะ) ยังไม่พร้อม ที่พูดไปเมื่อกี้มันเป็นความก๋ากั่นของเราเท่านั้น บางทีเราก็พูดส่งเดชไปอย่างนั้นแหละ เอาจริงๆ ถ้าต้องเป็นละครแนวนี้ที่ต้องมีจูบเยอะๆ เราอาจจะเลือกไม่รับเล่น เพื่อความสบายใจของเราด้วย (แต่มันก็น่าจะสบายกว่าฉากบู๊นะ?) เออ…แต่มันก็ไม่สบายใจเราไง คือพอเราทำงานมาถึงจุดนี้ เราสามารถเลือกในสิ่งที่เราจะทำแล้วแฮปปี้ได้ มากกว่าเราทำแล้วเรารู้สึกลำบากใจ ฉะนั้นเราก็เลือกที่จะไม่ทำดีกว่า งานมันให้มีเงินจริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นทุกอย่าง ต้องเข้าใจว่าเราโตมากับการเล่นจูบหลอกมา 20 ปี แล้วพอเราต้องมาจูบจริงมันเป็นวิธีการที่ไม่ถนัดเลย”
การจูบจริงอาจจะไม่จำเป็น ถ้ามันผิดที่ผิดทาง
“เราว่ามันเป็นเรื่องของ 2 ทางนะ มันอาจจะไม่จำเป็นถ้าจูบใช้ผิดที่ผิดทาง เช่นถ้าผู้กำกับชอบอยากจะมีไว้เพื่อแค่เอาดึงเรตติ้ง ทั้งที่มันไม่มีความจำเป็น อันนี้มันก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างที่บอกถ้าฉากนั้นมันจำเป็นต้องจูบ เพราะว่ามันไม่ไหวแล้ว มันจะดึงความสนใจเราไปมากกว่าการจูบไง คนอาจจะรู้สึกถึงความสมหวังในการจูบนั้น มากกว่าแค่คนจูบกัน แต่รู้สึกอิ่มเอมว่าจูบกันสักที อันนี้มันเป็นเรื่องฟีลลิ่ง ถ้าจูบโดยใช้ฟีลลิ่งเราว่ามันเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่ถ้าจะต้องจูบเพื่อดึงเรตติ้ง อันนั้นเราก็เข้าใจได้อีกเช่นเดียวกัน”
ไม่ค่อยให้ลูกดูละครที่เล่น เพราะบางเรื่องเนื้อหาแรงไปสำหรับเด็ก
“เขาไม่ค่อยสนใจในงานของเราเท่าไหร่หรอก คือเด็กเลยก็จะดูพวกการ์ตูน แล้วงานของเราเป็นงานละครกลางคืนซึ่งมันยังไม่ควรให้เด็กดู เราก็เลยยังไม่ได้ให้เขาดูงานของเรา แต่เคยมีให้ดูเรื่องหนึ่งคือ สายลับสามมิติ ที่ใส่ผ้าพันคอสีแดง เรื่องนั้นเขาก็ชอบ แต่อันอื่นเรายังไม่ให้ดูเท่าไหร่เพราะบางทีเราเล่นละครแรงๆ อย่างเรื่องคมแฝก มันเป็นละครบู๊รุนแรง เราก็เลยยังไม่อยากให้เขาเอาคมแฝกไปตีหัวใคร”
ลูกไม่รู้แม่เป็นนางร้ายอันดับหนึ่งในวงการ รู้แต่เป็นนางร้ายอันดับหนึ่งในบ้าน
“เขาก็ไม่รู้ แต่เขาคิดว่าเป็นนางร้ายระดับหนึ่งในบ้านแน่ๆ(หัวเราะ) แต่เขาก็รู้ว่าทั้งพ่อและแม่เป็นนักแสดง เพียงแค่ว่าในเรื่องของบทบาทใครเป็นยังไงฝอันนั้นเขายังไม่รู้”
“เอ๋” กลับไปเล่นละครในรอบ 11 ปี พร้อมกลับสู่เวทีของตัวเองแล้ว
“ใช่ๆ เล่นแล้ว กำลังถ่ายทำอยู่ คือเอ๋เขาก็รอวันนี้มานานแล้วแหละ น่าจะประมาณ 11 ปีที่ไม่ได้เล่นละครเลย ไม่ใช่ว่าผมห้ามไม่ให้เล่น แต่หนึ่งคือเขาไม่เล่นของเขาเอง เพราะไม่มั่นใจเรื่องรูปร่าง จนมาถึงช่วงที่เขาพีกสุดๆ กลับมาใส่ชุดว่ายน้ำ เขาเหมือนมาถึงจุดที่แบบ…ฉันพร้อมแล้วที่จะกลับมาสู่เวทีของตัวเอง หลังจากนั้นละครของแอน ทองประสม ก็เริ่มติดต่อมา เขาก็รับเล่นเลย ตอนนี้เอ๋ก็เครียดผมร่วงอยู่เลย เพราะบทยากมาก(หัวเราะ)”
กลับมารับละครคู่ แต่ยังมีเวลาให้ลูก เพราะตรงตามแผนที่วางไว้แล้ว
“นี่คือมันตรงตามที่วางแผนเลย ลูกเริ่มโตแล้วดูแลตัวเองได้ สมมติว่าถ้าป๊ะกันจริงๆ ป๋อกับเอ๋ต้องไปทำงานคู่ ลูกก็จะอยู่กับคุณยาย แต่เราก็จะจัดเรียงเวลากันเอาไว้ ว่าถ้าเอ๋ถ่ายบางทีป๋อก็จะว่าง ถ้าป๋อถ่ายเอ๋ก็จะว่าง แต่มันก็มีบางทีที่ชนกัน คุณยายก็จะเข้ามาเป็นตัวช่วยพิเศษ”
ไม่กังวลถ้า “เอ๋” จะต้องมีฉากเลิฟซีน แต่ก็ต้องดูว่ามากขนาดไหน จะตะบี้ตะบันจูบไม่ได้
“ผมไม่กังวลเลย รักเมียอยู่แล้ว แต่ว่ามันเป็นงานของเขา คือถ้าเขาทำแล้วเขาเชื่อว่ามันเป็นการแสดงและมีความสุขก็ทำได้ ผมไม่ได้ติดอะไรเลย แต่ในเรื่องของเทคนิคการจูบ ก็ต้องมาดูอีกว่าเอ๋จะจูบมากขนาดไหน (หัวเราะ) ไม่ใช่ว่าจูบแบบตะบี้ตะบัน อันนั้นมันก็เกินไป”