เผยชีวิตอีกมุมของ “เชฟป้อม หม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุล” นักโภชนาการและเชฟที่มีชื่อเสียงจากรายการชื่อดัง มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ หลายคนคงคุ้นเคยกับภาพของผู้หญิงแกร่งที่น่าเกรงขามผ่านรายการทำอาหารเป็นอย่างดี โดยล่าสุด เชฟป้อม มาเปิดใจในรายการ WOODY FM กับ “วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา” เล่าถึงการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยความเข้าใจ เล่ามุมความรักที่มีพื้นที่ให้กันโดยไม่ครอบครอง ไม่คาดหวัง จนถึงการเลี้ยงลูกที่เป็นเหมือนเพื่อนโดยไม่เบียดเบียนและเป็นภาระ
ชีวิต “เชฟป้อม” นอกจาก มาสเตอร์เชฟฯ มีอะไรใหม่ที่ค้นพบเกี่ยวกับการเป็นมนุษย์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาไหม?
“ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ แต่เป็นดีกรีที่เริ่มพบเมื่อว่าเรามีอายุ แล้วมีความสุขกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ การที่ได้ทำงานทุกวัน เป็นสิ่งที่รักและได้ทำ แล้วที่บอกว่าอยู่บ้านยังมีความสุข ก็มีความสุขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนชอบมาถามว่าทำไมอยู่บ้านคนเดียวไม่เหงา คนที่คบกันอยู่ก็ยังต่างคนต่างอยู่ เพราะเรามีพื้นที่ให้กัน อันนี้เราถือว่าเป็นความเข้าใจที่ดี และเราเข้าใจอะไรในชีวิตขึ้นอีกเยอะเลย ถ้าเราไม่ชอบใจหรือไม่พอใจอะไรใครมากๆ เหมือนเดิม เราทำได้ดีกว่าเดิมกับการที่อย่าอยู่ในชีวิตเรา แล้วก็พูดจาสุภาพขึ้น เป็นระบบขึ้นด้วย”
ที่ “เชฟป้อม” บอกว่าคนที่คบกันหมายความว่าอะไร หมายถึงแฟน?
“ใช่ แต่มีความเป็นเพื่อนมากกว่า อันนี้คือจุดที่เราถือว่าเมื่อสมัยสาวๆ ตอนอายุน้อยๆ การจะมีแฟนสักคนคุณต้องการครอบครอง แต่ตอนนี้เราเหมือนเพื่อนกันมากกว่า แล้วก็สนุกกับชีวิตแบบนั้นด้วย กลายเป็นเหมือนคนสูงอายุที่มีเพื่อนไปเที่ยวด้วยกัน ไปทำกิจกรรมใดๆ ด้วยกัน เรามีความสุขตรงนั้น และในวันที่เราเหนื่อย เราอยากพัก ก็จะมีเขตในพื้นที่ของเรา ชีวิตเลยมีความสุขเราไม่ต้องคาดหวังอะไรกับใคร แล้วใครก็ตามไม่ต้องคาดหวังจากเรา อยู่ในความเป็นเรา ความเป็นเขา”
สมัยก่อนมีความต่างแน่นอน เพราะตอนที่แต่งงานสมัยโน้นคืออยู่ในพื้นที่เดียวกันตลอดเวลา แล้ว “เชฟป้อม” ก็ไม่มีพื้นที่อยู่กับตัวเอง?
“แต่ว่าอย่าลืมนะ ก่อนที่จะแต่งงานหรือมีแฟนก็ตามที เรายังไม่ได้คิดถึงพื้นที่ของเราจริงๆ ทุกคนล่ะคะ เด็กๆ สังเกตไหม เป็นแฟนเขาก็ต้องอยากเจอ ใช้คำว่าอยากจะครอบครอง อยากจะเป็นเจ้าของมากกว่า บางครั้งมันทำให้เราเสียความเป็นตัวเองในเวลาที่เราอยากจะอยู่คนเดียว แล้วอีกฝ่ายก็จะเสียความเป็นตัวเองของเขา แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนนะ บางคนเขาก็อยู่ด้วยกันตลอดเวลา”
ฟังก็นึกถึงชีวิตของหลายคู่เหมือนกัน ว่าแท้จริงแล้วเห็นบางคนเขาก็แยกกันอยู่ เพราะมันเป็นความสบายใจของทั้ง 2 ฝ่าย?
“เราก็เห็นแบบนี้เหมือนเลย แต่งงานแล้วต่างคนต่างอยู่ในคอนโด เขาน่ารักดีแล้วเขาก็มีความสุขกันดี เขาไม่ได้โกรธกัน และแยกกันอยู่”
ทราบมาว่าเลี้ยงลูกเหมือนเพื่อน ?
“คือจริงๆ สำหรับลูก เหมือนที่เคยบอกว่าเลี้ยงเขาจนพ้น 15 ปี ก็จะเลิกจู้จี้กับเขาแล้ว ณ ปัจจุบันนี้ลูกทุกคนกับแม่ต่างคนต่างอยู่ อยู่คนละที่นะคะ เพราะโตแล้วลูกเขาเป็นผู้ชายเขาก็คงไม่อยากมีแม่คอยปกป้องตลอดเวลา มันสูญเสียความเป็นผู้ชายของเขานะ นี่เราคิดเองนะ แล้วก็ดีชั่วเราสอนแล้ว เขาก็มีอิสระการเลือกใช้ชีวิตของเขา อยากอยู่อย่างไรก็อยู่ อยากอยู่คนเดียวก็อยู่ แม่ไม่ได้บังคับให้แต่งงาน มีแฟนก็มี แต่งไหม ไม่แต่งก็ไม่เป็นไร แต่เราต้องดูแลคู่ของเราให้ดีนะ
แต่พอถึงเวลาเราก็จะไลน์เรียก วันนี้แม่ทำนี่ สงกรานต์แม่ไม่ไปไหนนะ ใครอยากมากินข้าวบ้านมีนี่ๆๆ เดี๋ยวก็โผล่มา เราอยู่ในที่ของเราไม่เดือดร้อนลูก แล้วเราก็บอกลูกเลยว่าแม่มีประกันชีวิต ประกันสุขภาพอะไรบ้าง กรุณาจดไว้นะไม่ต้องเสียตังค์เลี้ยงแม่ แม่มีกำลังที่จะจ่ายเบี้ยประกันเต็มที่เพราะแม่จะไม่เบียดเบียนลูกเมื่อแม่แก่ อันนี้คือสิ่งที่พูดกับลูกเลย ลูกทำมาหากินมาได้ ลูกก็คงอยากใช้เงินของลูก เพราะฉะนั้นแม่ซื้อประกันไว้เต็มอัตรา บอกลูกว่าถ้าวงเงินประกันหมดก็เตะปลั๊กได้เลย (หัวเราะ) ลูกก็หัวเราะ ก็คุยกันเล่นๆ สนุกสนาน”
แน่นอนเราอยู่ในวัยที่ต้องไปงานศพมากกว่างานแต่ง เพื่อนๆ รอบตัวก็ค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ “เชฟป้อม” เตรียมพร้อมขนาดไหนสำหรับเรื่องนี้?
“อะไรมันจะเกิดขึ้นก็ได้ เราได้ยินเยอะแยะไปว่าคนที่ร่างกายแข็งแรงอยู่ดีๆ ก็เจ็บป่วย เราอาจจะไปพรุ่งนี้ก็ได้ แต่เราภาวนาขออย่างเดียวว่า เราไม่อยากนอนติดเตียง คือเราทำร่างกายตัวเองให้แข็งแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่อะไรมันจะเกิดก็ช่วยไม่ได้ ถามว่าวันนี้กลัวตายไหม ก็ไม่ได้กลัวตาย แค่ไม่อยากทรมาน ไม่อยากนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ และเป็นภาระลูก”