น้อยนักที่ชะตาจะนำพาคนที่รู้จักกันมาเกือบจะครึ่งชีวิต ตั้งแต่เด็กในวัยอนุบาล จนยาวนานเข้าสู่วัยทำงาน แต่เหมือนว่าโชคชะตาทำให้ความสัมพันธ์ของเพื่อนคู่นี้ต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ในฐานะ “พระเอก-นายเอก” เริ่มตั้งแต่ “ใครคือ...อองชองเต”จนมาถึงซีรีส์เรื่องล่าสุด “ชอกะเชร์คู่กันต์ A Boss and a Babe”ที่เดินทางมาใกล้ถึงจุดไฟนอล ซึ่งรอบสุดท้ายไปลุ้นกันว่าทั้งคู่จะแฮปปี้หรือโซแซดแค่ไหนใน “A Boss and a Babe FINAL EP. FAN MEETING” ในวันที่ 19 พฤษภาคม ณ Paragon Cineplex
โดยความสัมพันธ์ของ “ฟอส จิรัชพงศ์ ศรีแสง" และ “บุ๊ค กษิดิ์เดช ปลูกผล”แม้หลายคนจะรู้ว่าทั้งคู่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ ถ้านับระยะเวลาก็เกือบ 16 ปีแล้ว แต่จะเชื่อหรือไม่? การกลับมาเจอกันอีกครั้งในวัย 20 ต้นๆ ความสัมพันธ์ที่เหมือนจะเป็น “เพื่อน” กันนั้น ต้องทั้งปรับ ทั้งจูน จนคนรอบข้างบางทีก็งงว่าจะงอนไปถึงไหน สรุปนี่ “เพื่อน” หรือ “แฟน” กันแน่!!
บุ๊ค : ผมกับฟอส รู้จักกันมา 16 ปีแล้วครับ เพราะถ้าย้อนกลับไป คือรู้จักกันได้ไง จำไม่ได้แล้วครับ แต่ว่าตั้งแต่อนุบาลแล้วครับ มันก็น่าจะรู้จักกันตอนที่จะขึ้นรถตู้คันเดียวกัน เพราะว่าอนุบาลที่ผมเรียน คือเรียนที่เดียวกัน
ฟอส : แต่ผมจำได้ว่า ภาพจำผมคือขึ้นรถตู้กลับบ้านด้วยกัน แต่ก่อนหน้านั้นคือยังไง ผมจำไม่ได้ แต่เอาจริงๆ ก็จำแทบไม่ได้ แต่ว่าเราเห็นหน้าค่าตากันมาตลอด เราก็รู้ว่าเนี่ยฟอส เนี่ยบุ๊ค อะไรประมาณนี้ แต่มาคุยกันจริงๆ แบบคุยกันเยอะๆ เลยนะครับ คือตอนเล่นซีรีส์เรื่องเดียวกัน
16 ปีผ่านไป แต่ละคนเปลี่ยนไปมากแค่ไหน?
ฟอส : แตกต่างมั้ย เอาจริงๆ ก็แตกต่างนะครับ ผมรู้สึกว่าบุ๊ค พอเวลาผ่านไป ตอนเด็กเขาเป็นเด็กขี้อาย บุ๊คมีอะไร เขาก็ไม่พูดคือเขาจะนิ่งจะเงียบไป แต่ว่าเหมือนตอนนี้เขารู้สึกอะไร เขาอยากพูดอะไร เขาก็จะพูด เขาไม่สบายใจอะไร เขาก็จะพูดหรือเขาแบบเป็นห่วงเรา หรือไม่สบายใจ เขาก็จะถามเราตรงๆ (ทำไม? เราถึงจำได้ละเอียดขนาดนั้น?) ก็ผมความจำดีครับ (หัวเราะ)
บุ๊ค : จริงๆ เราเจอกันบ่อยนะครับ อย่างมัธยม กลุ่มฟอสเมื่อตอนมัธยมต้น ก็มาเป็นกลุ่มเดียวกับผมตอนมัธยมปลาย หรือเวลาเจอฟอสที่โรงเรียน เจอกันก็ทักทาย ถามว่าเขาเปลี่ยนไหม เปลี่ยนนะ จริงๆ ตอนเจอฟอสครั้งแรก บุ๊คจำได้เลยภาพจำของฟอสยังอยู่เหมือนแบบมันยังค้างอยู่ครับ แบบว่าฟอสจะเป็นคนแบบเก๋าๆ หน่อย คือไม่ได้นิ่ง และพอมาเจอฟอสที่ตึกครั้งแรก ฟอสก็จะมีความนิ่งๆ ขึ้นมาอะไรอย่างนี้ครับ สำหรับบุ๊ค ฟอสก็น่าจะโตกว่า เพราะว่าเขาน่าจะผ่านชีวิตมาเยอะกว่าบุ๊ค (ยิ้ม) คือบุ๊คเป็นคนที่แบบเหมือนอยู่ในกรอบ แต่ไม่ถึงกับเป็นลูกคุณ แค่โฟกัสการเรียนเป็นหลัก
ฟอส : คือผมจะไม่อยู่ในกรอบเลยตั้งแต่เด็ก แบบว่ากรอบเอาผมไม่อยู่ ผมก็เลยเหมือนมีภูมิต้านทานกับอย่างอื่นค่อนข้างมากกว่า แล้วบางสิ่งบางอย่างที่เราเจอมา บุ๊คก็ไม่เคยเจอ บุ๊คเพิ่งมาเจอตอนนี้ อย่างบุ๊คเข้าสังคมไม่เก่ง คุยกับรุ่นพี่ก็ไม่เป็น เข้าหาใครก่อนก็ไม่ได้ แต่ผมจะเป็นคนที่คุยกับใครก็คุยได้หมด ชอบทำความรู้จัก
บุ๊ค : บุ๊คเป็นคนอย่างที่ฟอสบอกแหละครับ บุ๊คเป็นคนไม่ค่อยกล้าเข้าสังคมเท่าไร จะบอกว่าอินโทรเวิร์ต (โลกส่วนตัวสูง) นั่นแหละ เป็นคนแบบอยู่คนเดียวแล้วรู้สึกสบายใจกว่า และถามว่าเรามีภูมิคุ้มกันกับเรื่องแบบนี้ไหม เอาจริงๆ บุ๊คเป็นคนที่คิดว่าตัวเองมีภูมิคุ้มกันสำหรับความสัมพันธ์ต่ำมากเลยนะ คือบุ๊คเป็นคนที่เวลาให้ใจใคร ก็ให้เต็มร้อย แต่พอเขาไม่ให้ใจเรากลับมา หักหลังเรา เราก็อาจจะเฟล ซึ่งเคยโลกสวยนะ บอกตรงๆ แต่พอมาทำงาน เจอโลกจริงๆ เราก็เริ่มมีภูมิคุ้มกัน
ฟอส : คือผมเคยบอกบุ๊คไปว่าแม่xไม่มีใครเหมือนเดิมไปได้ตลอดหรอก เหมือนสายน้ำ คนเราก็เปลี่ยนไปได้ทุกวัน เพราะฉะนั้นอย่าไปคาดหวังให้ใครเหมือนเดิมกับเรา เพราะเราก็ไม่ได้เหมือนเดิมนะ มึงตอนนี้ กับ 10 ปีที่แล้วกับวันนี้ก็ไม่เหมือนกัน นิสัยคนเรามันเปลี่ยนเสมอ เพราะฉะนั้นอย่าคาดหวังอะไรกับใครเลยคนมันเปลี่ยนไปได้เสมอ
“บุ๊ค” เผยสาเหตุที่ไม่อยากเพิ่มใครมาในชีวิตอีก เพราะ....?
บุ๊ค : เราไม่ใช่ไม่ชอบเข้าหาคนนะ แต่เราไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เราก็เลยรู้สึกว่า เราไม่เข้าดีกว่า แต่อยากเข้าไปคุยนะ แต่บุ๊คเป็นคนชอบคุยกับคนแปลกหน้ามากเลยนะ เพราะเรารู้จักกันแป๊บๆ เดี๋ยวก็ห่างกันไป เราไม่ได้ไปผูกความสัมพันธ์กับเขา แต่พอเป็นความสัมพันธ์ที่แบบต้องมีระยะเวลายาวที่ต้องอยู่ด้วยกัน เราก็จะกลายเป็นกลัว ทำตัวไม่ถูก กลัวพูดไม่ดี เอาตรงๆ บุ๊คก็มีประสบการณ์ที่ แบบเราให้ใจใครสักคนไป แล้วเราก็แบบว่าเหมือนไม่ดีกลับมา ก็เลยกลายเป็นกลัวไปเลย
ฟอส : ตอนสมัยเรียนบุ๊คเคยเล่าให้ฟังว่า บุ๊คเคยไปเจอเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับเพื่อนมาอะไรอย่างนี้ มันเหมือนคนมีแผล
บุ๊ค : ถ้าพูดเรื่องนี้ร้องไห้ได้เลยนะ จริงๆ เรื่องนี้ไม่เคยบอกใครเลยนะ บุ๊คเป็นคนมีแผลเรื่องเพื่อนมาก่อนครับ ทำให้เราเปิดใจกับการที่ต้องคบกับเพื่อนใหม่ยากมาก
ฟอส : ผมก็เลยรับไปเต็มๆ (หัวเราะ)
บุ๊ค : เฮ้ย แต่ฟอสทำหน้าที่เพื่อนที่ดีมากเลยนะ พูดตรงๆ
การกลับมาเจอกันครั้งนี้ “บุ๊ค” ไม่เปิดใจ “ฟอส” ต้องทำยังไง?
ฟอส : มันก็ยากนะครับ ช่วงแรกเหมือนแบบด้วยความที่คือเราจะยังไงดี เราก็เข้าหาเขา เขาก็เหมือนถอยห่าง แต่พอมาเล่นซีรีส์ด้วยกัน มันก็ไม่ได้ไง คือผมก็อยากสนิทมากขึ้น
บุ๊ค : ใช่ บุ๊คถอย บุ๊คก็คือแบบเฮ้ย ไม่ไป ฟอสชวนไปไหนก็ไม่ไป แล้วบุ๊คก็แบบ เขาก็ทักไลน์มา บุ๊คก็เออไม่อ่านอะไรอย่างนี้
ฟอส : ผมก็เหมือนแบบต้องพูดแล้ว ผมก็เลยบอก เอ้ย...บุ๊ค กูแม่xบางทีกูรู้สึกนะเว้ย ว่าแบบกูอยากสนิทกับมึงนะ แต่มึงไม่อยากรู้จักกูเลย กูไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ต้องทำยังไงอะไรอย่างนี้ เพราะว่าพอเริ่มพาร์ตการทำงาน ผมก็ทำเต็มที่ ผมไม่ได้อยากจะสนิทเฉพาะเรื่องงาน ผมก็บอกบุ๊คว่าลองคิดดู ถ้ามีคนเขาชวนไปไหนหลายๆ ครั้ง แล้วไม่ไป เขาจะเฟลไหม
บุ๊ค : ฟอสพูดมาคำนึงครับ บอกว่า กูกับมึงอาจจะไม่ได้สนิทกัน เหมือนเพื่อนที่มึงคบมา แต่ถ้ามึงลองรู้จักกู กูอาจจะเป็นเพื่อนคนนึงที่ดีสำหรับมึงก็ได้นะ ซึ่งฟอสเป็นเพื่อนที่ดีคนนึงเลยครับ
ฟอส : คือเขาไม่ไปกี่ครั้ง ผมมีจดนะ (ยิ้ม) ผมก็นั่งจดเลย สมุมติวันนี้จดวันที่ 1 มกราคม สมมตินะ ชวนมันไป นี่มันไม่ไป 4 มกราคม ชวนมันไป นี่มันไม่ไป ประมาณ 10 ครั้ง ผมเลิกชวนเลย
บุ๊ค : เอาจริงๆ นะ บุ๊คกับฟอสก็เหมือนแฟนกัน พูดตรงๆ เลยนะ มันมีเรื่องที่แบบต้องปรับจูนกันตลอด
ฟอส : มันก็มองเป็นฟิลนั้นก็ได้นะ จนแบบสุดท้ายก็พอ ซึ่งไอ้นี่ก็ยังคิดไม่ได้ จนต้องให้บุคคลที่ 3-4-5-6-7 มาพูดแทน พอเหมือนตอนหลังแบบผมไปแล้ว เพราะผมก็ทำเต็มที่ เขาเหมือนเริ่มเข้ามาง้อในตอนที่ผมไปแล้ว มันก็เหมือนฟีลแฟนเหมือนกัน
บุ๊ค : จริงๆ เราก็เป็นเพื่อนกันนั่นแหละครับ แบบผู้ชายแมนๆ คุยกันก็เปิดใจกัน บอกเฮ้ย...ฟอสขอโทษนะที่ผ่านมา ถ้ากูจะขอโอกาสอีกครั้งได้มั้ย มันก็เออ...เปิดใจอีกครั้งอะไรอย่างนี้ กูจะพยายามไม่ทำให้มึงเฟลบ่อยๆ อะไรอย่างนี้ แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีนะ (หมายถึงฟอสเฟล?) เปล่า ผมนี่ทำให้เขาต้องเฟล (หัวเราะ)
เคยคิดไหม? ถ้าบุ๊คไม่เปิดใจ ฟอสก็จะไป แบบเปลี่ยนคู่ไปเลย
ฟอส : จริงๆ ผมว่าเขาหลายๆ อย่างเขาก็เหมือนเปิดกับเรามากขึ้น อะไรที่มันเป็นอดีต ผมก็ไม่สนใจอยู่แล้ว ผมอยู่แค่กับปัจจุบันแค่นั้นเอง ส่วนเรื่องการทำงาน มันก็มีจุดที่ดี มันมีอยู่แล้ว แต่ผลสุดท้ายถ้าทำงานด้วยกันแล้วมันไม่ดี จะเปลี่ยนคู่เลยไหม แต่ผลสุดท้ายมันก็ไปด้วยกันได้ จุดที่แย่มันก็มี แต่เราต้องยอมรับ และแก้ไขมันเท่านั้นเอง แต่สมมติในพาร์ตที่มันแบบแย่ที่สุด คือไม่ได้จริงๆ คนละขั้ว คับใจมันอยู่ยาก แต่ว่าตรงนั้นมันยังไม่มีไง คือโชคดีที่ผมกับบุ๊ค เราคุยกันตั้งแต่แรกว่า เราไม่สบายใจอะไร บอกมาเลยอย่าเก็บไว้ ไม่ชอบความคาราคาซังมีไร สัญญากันว่าจะพูด
บุ๊ค : มีเกี่ยวก้อยกันด้วยนะ (ยิ้ม)
ฟอส : จริงไหม ที่ผมเคยบอกคุณว่า ถ้ามึงมีใครมาแกล้งมึง ให้บอกกูได้เลย
บุ๊ค : เออใช่ๆ
ต่างคนต่างเคยพาไปโลกของกันและกันไหม?
บุ๊ค : เอาจริงๆนะ บุ๊คกับฟอส ไปไหนมาไหน เราไปกันบ่อยเหมือนกันนะ แบบว่าตั้งแต่ผ่านเรื่องหลายๆ อย่างมาอะไรอย่างงี้ เรียกได้ว่าเป็นการเปิดโลก (หัวเราะ) เป็นโลกที่เราไม่เคยเห็นไง หมายถึงไปเที่ยวไปโน่นนี่นั่นอะไรอย่างนี้ไง ไปฟิตเนสอะไรอย่างนี้ไง
ฟอส : ส่วนโลกของบุ๊ค บุ๊คชอบเป็นฟีลเหมือนสโลว์ไลฟ์ แบบไปวาดรูป ไปคาเฟ่ ไปหาที่ถ่ายรูป ซึ่งมันก็สนุกดี ฟิลมันได้เหมือนกันนะ ตอนแรกไปวาดรูป วาดรูปเหรอ วาดรูปทำไม กูต้องวาดรูปด้วยเหรอ เออ...มันชวนอะ กูไป แต่ไม่ได้เซ็งหรอก แค่แบบนี่กูมาวาดรูปหรอ
บุ๊ค : แต่ตอนไปวาดรูป เซอร์ไพรส์มากเลยนะ ฟอสบอกว่า เฮ้ย...ชอบนะ ส่วนโลกของฟอส ก็คือจะชวนไปเล่นฟิตเนส ก็แบบเล่นตาย
ฟอส : บุ๊คแบบว่า อันนี้ยกตัวอย่างนี้นะ บุ๊คบอก ฟอสกูไม่ไหวแล้วว่ะ เราก็ตอบกลับไปว่า กูรู้มึงไหวเพื่อน มึงมีขีดจำกัดที่มันทลายได้ บุ๊คก็บอกว่าไม่...กูไม่ไหว กูจะตายแล้ว กูบอกว่ามึงไหว กูบอกกูไม่ไหว(หัวเราะ)
บุ๊ค : เฮ้ย อันนี้เรื่องจริง เพราะว่ามันมีครั้งนึงที่บุ๊คไปเล่นกับฟอส เล่นเสร็จ บุ๊คจะเป็นลม บุ๊คถามเทรนเนอร์ว่าที่นี่มีเกลือแร่ขายไหม บุ๊คไม่ไหวจริงๆ แต่บุ๊คพยายามฮึบบบบ เออ...กูเก่ง เออ...กูแบบลูกผู้ชายว่ะ เออ...กูต้องมีกล้ามอะไรอย่างนี้ เออ...กูไม่แพ้มึงหรอก พี่เทรนเนอร์บอกว่ามีซุปเปอร์มาร์เก็ตข้างล่าง ผมแบบเดินแบบหน้ามืดๆ ไป และก็ไปหาเกลือแร่กิน
