“โก้ ธีรศักดิ์” ยอมรับเครียดกับคนข้างบ้านที่จิตไม่ปกติ ปาฉี่ใส่บ้านทุกวัน บอกไปแจ้งความแล้ว ตำรวจก็ปรับแค่ 500 แต่ให้คำแนะนำว่าให้เก็บคลิปให้ครบล้านคลิป เพื่อค่าปรับ 500 ล้านบาท เตรียมย้ายหลานออกไปก่อน หวั่นสุขภาพจิตเสีย ส่วนตนก็ได้แต่ระวังตัวเองเวลาเข้าออกบ้าน
เจอปัญหาโลกแตกเกี่ยวกับเพื่อนบ้านอีกคนแล้ว สำหรับ “ดร.โก้ ธีรศักดิ์ พันธุจริยา” ที่ออกมาโพสต์คลิปที่มีเพื่อนบ้านเอาฉี่มาราดใส่บ้านแทบทุกวัน แถมทะเลาะกับเพื่อนบ้านไปทั่ว ทำสุขภาพจิตเสียหมดแล้ว ซึ่งเจ้าตัวมาเผยถึงเรื่องนี้ในงานบวงสรวงชีรีส์วายเรื่อง “ไทม์ผ่านเวลา” ณ ลานพระพิฆเนศ Central World บอกว่าไปแจ้งความมาแล้ว แต่ไม่มีผลอะไรมาก เหตุอีกฝ่ายเสียแค่ค่าปรับ 500 บาท
“ล่าสุดก็ยังมีการส่งเสียงเหมือนเดิม และเขวี้ยงถุงฉี่เหมือนเดิม มันเป็นพฤติกรรมที่แก้ไม่ได้ เขาก็จะทำอย่างนี้ไปอย่างที่เขาเคยพูดกับนักข่าวว่าจะทำอย่างนี้ จะทำทุกวัน และเมื่อช่วงเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาไปเจอผู้กำกับ ไปทำความเข้าใจกับกฎหมายบ้านเมืองของเรา ว่าเวลาที่เราอยู่กับเพื่อนบ้านที่มีปัญหาลักษณะนี้ต้องบอกเลยว่ามันเหนื่อยใจ เพราะว่าด้วยกฎหมายมันมีไม่กี่อย่าง ของเขาอาจจะไปโรงพยาบาล ของเราอาจจะไปโรงพัก ไปวัด เพราะเขาเป็นเอ็กซ์เมน เขาเป็นคนพิเศษ
ส่วนในเรื่องที่เขามาสาดฉี่ สาดอะไรก็แล้วแต่ เขาบอกว่าถึงขั้นไปศาลก็เป็นแค่ลหุโทษ ปรับแค่ 500 บาท ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ ก็คือต้องพยายามเก็บคลิปวิดีโอแต่ละครั้งและไปแจ้งความทุกครั้ง เราก็เก็บและแจ้ง รวมกันให้ได้ประมาณ 1 ล้านคลิปก็จะโดนปรับ 500 ล้านบาทค่ะ (หัวเราะ)”
บอกแม่ของ X-men คนนี้มาหาว่าพวกตนทำของใส่ฝั่งเขาอีก
“ตำรวจเขาก็ช่วยอยู่ แต่เข้าใจว่าตำรวจเขาก็อธิบายในเรื่องของกฎหมายว่าถ้าเราไปทำอะไรเขา มันก็จะต้องผิดร่วมกัน แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเขา ก็ต้องใช้การรอคอยของกระบวนการยุติธรรม แต่ตำรวจก็เร่งให้อยู่นะคะ แต่เขาก็ให้เราทำความเข้าใจว่ามันเป็นลหุโทษนะ พวกน้ำปัสสาวะมันเป็นแค่ความเหม็น ปาอึก็ 500 เหมือนกัน หรืออย่างเขาตีพี่เขยเรา ยังไม่สามารถแจ้งความได้ เพราะเราขาดความรู้ว่าถ้าเขาทำร้ายเราปุ๊บ สิ่งแรกคือเราต้องไปโรงพยาบาลก่อน และต้องไปเอาใบรับรองแพทย์ แพทย์ต้องระบุว่าเราถูกทำร้ายเป็นแผลอย่างนี้ๆ และจะต้องมีหลักฐานกล้องวงจรปิดเห็นเขาตี ต้องมีพยานบุคคล มันหลายอย่าง กฎหมายไทยมันคือระบบกล่าวหา
อย่างเช่นเขาทำมาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว เราทำอะไรเขาไม่ได้ จนวันที่เขาเริ่มย่ามใจ ถือถุงฉี่มาเขวี้ยงให้เห็น สาดเห็นๆ และคลิปใหม่ๆ ทางตำรวจก็ขอให้เราหยุดโพสต์ เดี๋ยวตำรวจมาช่วยแล้วไม่ต้องโพสต์ เพราะเราก็จะโพสต์จนกว่าจะมีคนมาช่วยเรา ก็อยากให้มีญาติพี่น้องมารับเขาเหมือนกันนะ แต่ประเด็นหลักมันอยู่ตรงนี้ เราก็บอกว่าถ้าไม่สบายก็ควรไปหาหมอ แต่แม่เขาบอกว่าลูกเขาไม่ได้เป็นอะไร แต่พนักงานบริษัทเราไปทำของลูกเขา กลายเป็นอีกเรื่องนึง บานปลายไปถึงไสยศาสตร์ หาว่าเราไปทำของใส่ลูกเขา ทำให้ลูกเขาเป็นแบบนี้ ก็ไม่รู้จะทำยังไง หมอปลายเหรอคะ ทำยังไงดี”
เผยบ้านใกล้ๆ กันก็ย้ายหนีแล้ว
“บ้านอื่นก็โดนเหมือนกัน คือบ้านเนี่ยหลักแรกไปแล้ว หลังที่สองของเขา หลังที่สามของโก้ หลังที่สี่ร้านทำผม หลังที่ห้าประกาศขาย หลังที่หกของโก้อีก สรุปเหลือแค่สามครอบครัว ซึ่งเราอยู่ตรงกลาง ก็เลยเป็นที่มาของปัญหาทั้งหมด แต่เรื่องของการระรานลูกค้าที่มาทำผม หรือคนที่สัญจรไปมาก็เป็นปกติที่ทำทุกคน แต่หลังๆ เริ่มรุนแรงขึ้น บ้านที่เขาย้ายออกไปก็คงเบื่อด้วยแหละ ตอนแรกที่เรายังไม่ได้ไปโรงพักก็คิดว่ายังไงเราไม่ผิด ยังไงเราก็ไม่ย้าย คนผิดต้องย้ายสิ แต่พอไปฟังตำรวจพูดแล้วมีความรู้สึกว่าบางทีสิ่งที่สำคัญที่สุด
การเลี้ยงลูกสำคัญนะ เราต้องดูแลจิตใจเขาให้ดีที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่าเวลาที่เขาขวัญเสีย เด็กที่โตขึ้นมาอายุไม่ถึง 40-50 จิตใจกระเจิดกระเจิงเป็นคนต่อต้านสังคมมันจะเป็นภยันอันตรายนะ และตอนนี้สุขภาพจิตของหลานเราน่ะ เรามีหลานสองคน คนโตย้ายมาอยู่กับเราอีกที่นึง ส่วนคนเล็กเขายังไม่ย้าย เพราะเขาอยู่ตรงนั้นประจำ เราก็กำลังคิดว่าถึงเวลาแล้วล่ะที่บางทีการเป็นผู้แพ้ ก็ไม่ได้แพ้สมชื่อ คือออกมาบ้าง ยอมเขาไปเถอะ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำร้ายเราเมื่อไหร่ มันก็ทำได้แค่นี้ค่ะ”
บอกไม่อยากไปกดดันตำรวจ ขออัดคลิปต่อให้ไปครบล้านคลิป
“ตำรวจก็รับแจ้งความไป ก็คงได้ประมาณนั้น นำตัวไปส่งแล้วก็ปรับ เท่าที่เขาพูดก็คือเราต้องแจ้งความให้ครบ 1 ล้านคดีค่ะ ตอนนี้ก็ 5-6 คดี ขาดอีกประมาณ 9 แสนกว่าคดี (หัวเราะ) ก็คดีล่ะ 500 เท่านั้นเอง แต่ที่ตำรวจไม่อยากให้โพสต์ เพราะบางทีอาจจะมีผู้ใหญ่โทรไปที่สน.กันเยอะ มันก็เหมือนกดดันเจ้าหน้าที่ แต่ตอนแรกเราก็ไม่รู้จะพึ่งใครจริงๆ เราก็เลยทำ แต่พอช่วงหลังเราก็เข้าใจเขานะ เพราะคนรู้จักเราก็เยอะ และคนก็โทร.ไปสน.วังทองหลางกันหมดเลยค่ะ ก็ไม่ต้องโทร.แล้วนะคะ (หัวเราะ) เราก็ให้กำลังใจตำรวจว่าให้เขาทำเต็มที่ที่สุด เพราะผู้กำกับเจษฎาก็มารับหน้าที่ใหม่ และพยายามช่วยเราเต็มที่แหละ เราเข้าใจเขา แต่ด้วยขั้นตอนหรือช่องว่างทางกฎหมายเองที่ประชาชนคนไทยต้องทำความเข้าใจตัวเอง
ก็คงต้องยอมเขานิดนึง เพราะสู้ไปก็แค่ 500 มันเหนื่อย และ 500 เข้าแผ่นดินก็ไม่ได้จ่ายเรา บ้านนั้นก็คงเอาไว้เหมือนเดิม ไม่ได้ขาย แต่ก็จะเอาให้ครบ 1 ล้านคดีค่ะ นี่ถ่ายคลิปทุกวันเลยนะ ร้านทำผมก็ถ่ายคลิป ก็ทำตามที่ตำรวจบอก เอาเงินเข้าแผ่นดิน เพื่อพัฒนาประเทศชาติสืบไป แต่เราก็แจ่มใส่ขึ้นนะหลังจากที่เราเข้าใจในเรื่องกฎหมาย และมีคนเล่าว่าถ้าเราทะเลาะกับเอ็กซ์เมน เขามีหนึ่งทางเลือกคือเกิดอะไรขึ้นก็ไปโรงพยาบาล แต่เรามีสองทางเลือก หนึ่งไม่คุก สองก็วัด ดังนั้นเราต้องแลกไหมล่ะ สวัสดิภาพเราหรือสิ่งที่เราทำมา ทำไมต้องไปแลกบางสิ่งบางอย่างด้วยความเอาชนะ”
บอกถ้าเขวี้ยงกันไปมาก็ไม่จบ ได้แต่เตรียมย้ายหลานออกไป
“ถ้ามีบานปลายกว่านี้ก็คงต้องเขวี้ยงคืนแล้วค่ะ ส่วนใหญ่คนที่มาคอมเมนต์ก็บอกว่าเขวี้ยงคืนเลยค่ะพี่ เราก็ฉี่เก็บไว้บ้าง เขาเขวี้ยงมา 1 ถุง เราก็เขวี้ยงกลับ 1 ถุงไม่โกง จริงๆ ก็เคยคิดนะ ยังคิดว่าเราจะเขวี้ยงอะไรที่มันสะใจกว่าฉี่ (หัวเราะ) คิดหลายอย่างมาก แต่พอมันตกผลึกความคิด ทุกคนก็เลยบอกว่าเวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวร ไม่งั้นมันก็ไม่จบ เขวี้ยงกันไปเขวี้ยงกันมา แต่ในขณะเดียวกันถ้าเขาเกิดเอามีดหรือเอาอะไรมาแทงหลานเรามันคุ้มไหม เพราะบ้านติดกัน เขาไม่ได้นอนข้างถนนหรือสะพานลอยที่เราจะไม่เจอเขา แต่เขาอยู่ข้างบ้านตลอดเวลา ถ้าเกิดเขาไม่ถอย เราถอยดีกว่า เพราะสุขภาพจิตสำคัญนะ บางคนเก็บๆ ไปแล้วเป็นความเครียดสะสมไม่รู้ตัว สุดท้ายแล้วชีวิตจะพังในบั้นปลาย
เขาก็เขวี้ยงทั้งวันค่ะ ตั้งแต่ตี 5 มีเสียงด่ากันแล้วก็เขวี้ยงถุงฉี่มาแตกดังโป๊ะ เขวี้ยงทั้งวัน เหมือนเขารอเรา เหมือนหมาที่รอเจ้าของ พอเจ้าของมาก็สาดฉี่ใส่ คือตัวเรายังไม่เท่าไหร่นะ แต่เราเป็นห่วงเด็กมากกว่า เพราะหลานเริ่มเครียด แล้วเขาก็ร้องไห้ ความเครียดสะสมพวกนี้เราบอกไม่ได้หรอกว่าใครรับได้มากได้น้อย ตอนนี้ก็กำลังหาช่องทางอยู่อาจจะย้ายหลานออกมาก่อน”
บอกทุกวันนี้จะออกจากบ้านก็ต้องคอยระวังตัวเอง
“ทุกวันนี้เวลาจะออกจากบ้านก็ต้องระวัง เพราะเรามีเพื่อนบ้านตัวตึง เราก็ระวังตัวเราเอง ก็คงจะพาหลานออก 1-2 วันนี้ เพราะมันไม่ไหว มันอันตราย พอดีเรามีอพาร์ตเมนต์ และมีร้านอาหารอยู่ตรงพระราม 9 ซอย 51 ด้วย ในทาวน์อินทาวน์จริงๆ เรามี 2 หลังนะ หลังนึงเป็นออฟฟิศ เวลาเราไปประชุมมันก็ชั่วครั้งชั่วคราว เราสามารถนับ 1 2 3 แล้ววิ่งเข้าออฟฟิศได้ แล้วก็ดูซ้ายดูขวาวิ่งขึ้นรถ แต่มันเหนื่อยมั้ยล่ะ
แต่ก็ยังไม่ได้คิดว่าจะขาย เพราะเรามีหลายตึก แค่หาทางออกที่เราแฮปปี้สุด แต่ถ้าขายก็แอบกังวลว่าถ้าคนเห็นข่าวก็อาจจะไม่มาซื้อ เพราะตรงนั้นก็ขายกันเยอะ แต่เราไม่ซีเรียส เพราะมันเป็นย่านใจกลางเมือง ทำธุรกิจการค้าคนก็ยังหาซื้อหาเช่ากันอยู่ แต่คนเราอยู่ไม่เกิน 100 ปี เราก็จะรอ 100 ปี เดี๋ยวเขาก็ตาย (หัวเราะ) เราก็รอให้เขาตายได้ค่ะ เพราะเรามีความอดทนสูง”