ในช่วงเวลาที่เมืองไทยบ้านเรากำลังเข้าสู่ช่วงสำคัญของการคัดสรรบุคคลที่จะเข้ามาทำงานการเมืองในศึกเลือกตั้ง 2566 สตรีมมิ่งเจ้าดังอย่าง Netflix ก็มีซีรีส์เกาหลีเรื่องหนึ่งออนแอร์ และพูดได้ว่า เข้ากับบรรยากาศเมืองไทยช่วงนี้อย่างเหมาะเจาะ เพราะมันพูดถึงการเลือกตั้งใหญ่ในกรุงโซลที่ก็ดุเดือดไม่แพ้การเลือกตั้งครั้งไหน ๆ หรือที่ไหน ๆ ในโลกนี้
อย่างไรก็ดี ก่อนที่ศึกเลือกตั้งจะระเบิดขึ้น Queenmaker พาเราไปทำความรู้จักกับตัวละครสำคัญอย่าง “ฮวังโดฮี” หรือ “หัวหน้าฮวัง” หญิงเก่งนักวางกลยุทธ์และนักแก้ปัญหา เธอคือ “มันสมอง” ของอึนซองกรุ๊ป ตระกูลมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งอันดับ 3 แห่งกรุงโซล ตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง เราจะได้เห็นเลยว่า หัวหน้าฮวังนั้นเก่งกาจและเฉียบขาดสักเพียงใดในฐานะนักวางกลยุทธ์ เธออ่านขาดและมองขาดในทุก ๆ สถานการณ์ที่จะช่วยให้อึนซองกรุ๊ปยังคงความยิ่งใหญ่และผงาดอยู่ได้เสมอ ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องราวหรือเหตุการณ์แบบใด เธอเป็น “นักเก็บกวาด” และ “นักสร้างภาพ” ที่ทั้งแยบยลและแยบคาย ซึ่งอึนซองกรุ๊ปให้ความไว้วางใจ ทุกแผนการที่เธอจัดวาง ไม่เคยพลาดเป้า
ขณะที่อีกหนึ่งด้าน “โอคยองซุก” คือทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ผู้ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น เธอเป็นตัวแทนส่งเสียงให้กับคนที่อ่อนแอ เป็นหัวหน้าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนสตรี อีกทั้งยังเป็นยูทูปเบอร์ที่มีชื่อเสียง และในเวลานี้ เธอเปรียบเสมือน “หอกข้างแคร่” ของอึนซองกรุ๊ปจากการลุกขึ้นมาเรียกร้องความยุติธรรมให้กับลูกจ้างชั่วคราวที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
ทั้งฮวังโดฮี และ โอคยองซุก คือสองตัวละครสำคัญที่จะอยู่กับเราไปตั้งแต่ต้นจนจบในความยาวของซีรีส์ที่มีทั้งหมด 11 ตอน และถ้าฮวังโดฮีมีความเฉียบขาดแหลมคมในการจัดการปัญหาแล้วล่ะก็ Queenmaker ก็มีความเฉียบแหลมคมคายไม่แพ้กัน บทของซีรีส์เรื่องนี้คือจุดเด่นอันดับแรก ๆ ที่เราจะเห็นได้ และมันคือสิ่งที่ตรึงเราไว้ได้เป็นอย่างดี
Queenmaker สาดความดราม่าชนิดที่เรียกได้ว่า ไม่แผ่วตั้งแต่ต้น และทวีความเข้มข้นขึ้นไปเรื่อย ๆ แบบที่พีคแล้วพีคอีก ราวกับคนเขียนบทนั้นบ้าพลังเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตั้งแต่ช่วงเริ่มหาเสียงเลือกตั้งเป็นต้นไป ใครที่ชอบดราม่าเข้มข้นและเผ็ดเดือดแบบถึงพริกถึงขิง ซีรีส์เรื่องนี้คืออีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่ควรพลาด นอกจากนี้ ไดอะล็อกหรือบทพูดบทสนทนาตลอดทั้งเรื่อง ก็มีความคมคายราวคมมีด บาดกรีดและเชือดเฉือน สะเทือนและกระตุ้นให้ฉุกคิด
ขณะที่ในส่วนของดีไซน์ตัวละคร ก็ต้องยอมรับว่า ได้รับการออกแบบและคิดรายละเอียดมาอย่างดี ตัวละครในซีรีส์ ไล่ตั้งแต่ตัวหลักไปจนถึงตัวรองทุกตัว มีคุณสมบัติของตัวละครแบบ Round Character ที่มีมิติความซับซ้อนในตัวเอง แต่ละคนต่างมี “ปม” ที่ถมอยู่ในชีวิต อันส่งผลต่อความคิดและขับเคลื่อนผลักดันไปสู่การกระทำอย่างที่เราเห็น ดังนั้น ไม่ว่าเราจะรักหรือชังตัวละครนั้น ๆ มากน้อยเพียงใด แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ เราจะได้เข้าใจในเหตุผลที่มาแห่งการกระทำของเขาและเธอ
เหตุการณ์ทั้งหมดในซีรีส์ เกิดขึ้นที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ และซีรีส์ก็ใช้ประโยชน์จากเซ็ตติ้งนี้อย่างคุ้มค่า จะว่าไป มันก็คล้ายภาพจำลองของสังคมเกาหลีใต้ที่ยังคงมีความเหลื่อมล้ำอยู่สูง คนรวยก็รวยล้นฟ้า ใช้ชีวิตหรูหราสุขสบาย ตระกูล “อึนซองกรุ๊ป” แท้ที่จริงก็อาจจะภาพแทนของบรรดามหาเศรษฐีกลุ่ม “แชโบล” หรือเจ้าสัวนายทุนใหญ่ไม่กี่ตระกูลในเกาหลีใต้ที่กุมความมั่งคั่งไว้ในมือ มีเส้นสายเครือข่ายเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจซึ่งสามารถบันดาลให้เส้นทางธุรกิจของตัวเองดำเนินไปอย่างราบรื่นด้วยการติดสินบน ขณะที่ประชาชนชาวบ้านตาดำ ๆ ยังคงปากกัดตีนถีบเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดไปวัน ๆ เรียกได้ว่า ต่างกันราวฟ้ากับเหว และเชื่อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าคนที่สร้างสรรค์ซีรีส์เรื่องนี้ขึ้นมา ก็คงต้องการสะท้อนภาพสังคมในบ้านเกิดของตัวเองในมุมนี้ด้วย
ในมิติของการเป็นซีรีส์การเมือง Queenmaker มาพร้อมกับเรื่องราวการเมืองในหลากหลายระดับ ไล่ตั้งการเมืองระหว่างบุคคลกับบุคล ที่เราจะได้เห็นถึงการเล่นการเมืองระหว่างกัน มีการเจรจาต่อรองเพื่อให้สมประโยชน์และเพื่อให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี และถ้าจะบอกว่า มีการเมืองเรื่องเพศอบอวลอยู่อย่างหนาแน่นก็คงไม่ผิด เพราะซีรีส์พูดเรื่อง “พลังหญิง” (Empowering Woman) อย่างชัดถ้อยชัดคำ อีกทั้งการออกแบบตัวละครสำคัญให้ทำงานด้านสิทธิสตรีและก้าวขึ้นมาแข่งขันกับผู้ชายในเวทีการเมือง ก็เหมือนการต่อกรอย่างซึ่งหน้ากับ “ปิตาธิปไตย” หรือสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่อยู่กลาย ๆ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการเมืองภายในครอบครัวของอึนซองกรุ๊ปที่ดุเด็ดดุเดือดไม่แพ้กัน ทั้งคนเป็นแม่ที่ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท ทั้งลูกสาวอีกสองคนที่เล่นแง่ชิงเหลี่ยมเพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในจุดที่สามารถครอบครองสมบัติของตระกูล แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือ “แพคแจมิน” ลูกเขยของครอบครัวที่ถูกจัดวางให้ก้าวขึ้นสู่เวทีการเมืองระดับสูง ด้วยความหวังที่จะให้เป็น “เครื่องมือ” ในการรักษาและหนุนส่งธุรกิจของอึนซองกรุ๊ปให้ยิ่งใหญ่และยืนยงไปตลอดกาล
และที่บันเทิงสุด ๆ ก็อยู่ตรงนี้ เมื่อแพคแจมินต้องก้าวเข้าสู่การเป็นแคนดิเดตนายกเทศมนตรีกรุงโซล ภาพการเมืองจึงยิ่งเด่นชัดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหาเสียง อาจจะกล่าวได้ว่า คนเขียนบททำการบ้านและเข้าใจในสัจธรรมของการหาเสียงเลือกตั้งอย่างทะลุปรุโปร่ง ทุกกลเม็ดที่นำมาใช้ ล้วนเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในการเลือกตั้งโดยทั่วไป การชิงไหวชิงพริบ การป้ายสีและสาดโคลน การขุดคุ้ยประวัติและความด่างพร้อยของฝ่ายข้ามขึ้นมาแฉและเล่นงานฝ่ายตรงข้าม มันคือเกมที่คำนึงถึงเพียงแค่ชัยชนะ ไม่ว่าจะแลกมาด้วยวิธีการสกปรกโสมมหรือทำร้ายใครก็ตาม
และที่สำคัญคือ “การแสดงปลอม ๆ” เสแสร้งแสดงละคร บีบน้ำตา ที่เขียนบทไว้อย่างแนบเนียน คำสัญญาใหญ่โตในนโยบายที่แสนจะจูงใจขายฝัน เป็นเพียงการแสดงฉากหนึ่งเพื่อให้ตัวเองได้ก้าวขึ้นครองบัลลังก์แห่งอำนาจ ด้วยเหตุนี้ นักวางกลยุทธ์รุ่นเก๋าคนหนึ่งในซีรีส์ จึงตกผลึกทางความคิดว่า “การเลือกตั้ง คือการแสดงที่สนุกที่สุดในโลก” หรือถ้าจะพูดให้ชัดขึ้นก็คือ ในช่วงเวลาหาเสียง เราจะได้รับชมการแสดงที่สนุกสุด ๆ จากบรรดานักแสดงที่เป็นนักการเมืองทั้งหลายแหล่ บางคนก็ตีบทแตกชนิดที่ว่าได้ใจผู้ชมจนเทคะแนนให้ไปเต็ม ๆ
ขณะที่แคนดิเดตนายกเทศมนตรีกรุงโซลบางคนทำการแสดงแบบตีบทแตกกระจุยเพื่อเรียกคะแนนเสียง ก็ต้องบอกว่า ดารานักแสดงทุกคนในซีรีส์เรื่องนี้ต่างถ่ายทอดตัวละครที่ตนเองได้รับออกมาอย่างสมบทบาทมืออาชีพ ผลงานเรื่องนี้ถือเป็นการรวมตัวของหญิงเก่งแห่งวงการบันเทิงเกาหลีใต้เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะนักแสดงตัวแม่อย่าง “คิมฮีแอ” กับการรับบทเป็นหัวหน้าวัง นักวางกลยุทธ์ผู้ล้ำลึก , “มุนโซรี” ในบทบาท “โอคยองซุก” ทนายความเจ้าของฉายา “แรดอึด” ผู้ไม่มีวันก้มหัวให้ความไม่ยุติธรรมและความเท็จ และที่สำคัญ “ซออีซุก” นักแสดงหญิงอาวุโสที่ชอบรับบทร้าย ๆ และในเรื่องนี้เธอคือประธานอึนซองกรุ๊ปที่ต้องบอกว่าร้ายลึกอย่างน่าสะพรึง ส่วนนักแสดงชายอย่าง “รยูซูซอง” กับบทบาท “แพคแจมิน” ลูกเขยหุ่นเชิดของท่านประธาน ก็แทบพูดได้ว่าต้องรับบทเด่นฝ่ายชายเพียงหนึ่งเดียวที่ต้องขับเคี่ยวฟาดฟันกับบรรดาหญิงเก่ง ซึ่งเขาก็แสดงได้โดดเด่นเป็นที่น่าจดจำเช่นกัน
ที่ผ่านมา อาจจะเคยมีซีรีส์ที่ว่าด้วยการเมืองและการเลือกตั้งที่น่าจดจำมากมายหลายเรื่อง แต่ Queenmaker ก็สามารถโดดเด่นขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งซีรีส์อันว่าด้วยการเมือง ด้วยแนวทางและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ทั้งเรื่องราวที่เข้มข้น และเนื้อหาที่คมคาย ก้าวเดินไปด้วยกันอย่างลงตัว ถือเป็นซีรีส์ดี ๆ อีกเรื่องหนึ่งซึ่งน่ารับชมครับ