xs
xsm
sm
md
lg

“ปังปอนด์” แอบหวั่นฮีทสโตรกตอนแข่งรถเหมือน “เอ๋ ชนม์สวัสดิ์” ได้แต่พยายามทำตัวให้ชินกับความร้อนให้มากที่สุด (คลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ปังปอนด์ อัครวุฒิ” เผยตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ “เอ๋ ชนม์สวัสดิ์” เป็นฮีทสโตรกจนเสียชีวิต ตนก็แอบหวั่นเหมือนกัน ได้แต่ออกกำลังกายมากขึ้น ฝึกเข้าซาวน่ามากขึ้น เพื่อให้ร่างกายชินกับความร้อน บอกครอบครัวก็เป็นห่วง แต่ก็พยายามหาวิธีแก้ไขในแบบของตัวเอง

เรียกว่าพอเกิดเหตุการณ์ที่นักการเมืองคนดัง “เอ๋ ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม” เกิดอาการฮีทสโตรกจนเสียชีวิต วงการนักแข่งรถก็สั่นสะเทือนทันที และสำหรับนักแสดงหนุ่ม “ปังปอนด์ อัครวุฒิ มังคลสุต” ที่ผันตัวเองมาเป็นนักแข่งรถได้ร่วม 3 ปี ก็เผยว่าแอบหวั่นใจเหมือนกัน เพราะครอบครัวและคนรอบข้างก็เป็นห่วงเอามากๆ

“ยังไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะเอาตัวรอดยังไง เพราะตั้งแต่ที่มีข่าวว่าพี่เอ๋เขาเป็นฮีทสโตรก ผมก็ยังไม่ได้ไปลองจับรถในอากาศร้อนๆ เลยครับ แต่การเตรียมตัวก็คงเป็นการออกกำลังกายให้มากขึ้นครับ ทำให้เหนื่อยหรือร้อนเหมือนตอนขับรถ เพื่อสร้างความเคยชินมากกว่า แต่เชื่อว่าสถานการณ์จริงก็คนละฟีล มันจะมีความร้อนจากเครื่องยนต์ มันทำให้เราร้อนมากขึ้นอีก

ผมเองก็เคยมีประสบการณ์ที่ขับรถแล้วร้อนมากๆ ปีแรกๆ ที่ไปตอนลงจากรถคือตัวผมห้อยเลย เหมือนเราใช้พลังทั้งร่างกายมากๆ เลยในการขับรถ ลงมานี่แหลกทั้งตัวเลย พอปีหลังๆ เราก็เริ่มรู้ เริ่มออกกำลังกายมากขึ้น ส่วนนึงผมว่ามันคือความตื่นเต้น ความกดดันด้วยที่ทำให้เราเหนื่อยมากขึ้น ถ้าเราทำตัวสบายๆ มากขึ้นมันก็จะเหนื่อยน้อยลง ไม่กดดันมาก คืออุณหภูมิที่สูงมันไม่ใช่แค่ในตัวรถยนต์อย่างเดียว มันประกอบไปด้วย สนามเอย อากาศตัวเราเอย ชุดก็ไม่ได้มีแค่ชุดนอกชั้นเดียว มันมีชุดกันไฟข้างในอีก เราใส่โม่ง ใส่หมวกอีก มันไม่มีรูที่อากาศจะออกไปได้เลย ก็เหมือนเราอบอยู่ข้างใน

เผยเหตุที่รถแข่งไม่มีแอร์ เพื่อให้น้ำหนักในรถเบาที่สุด
“หลักๆ ที่ไม่มีแอร์คือการลดน้ำหนัก ลดการทำงานในส่วนต่างๆ ที่เกินจำเป็นออกไปให้ได้มากที่สุด เพื่อให้รถมีน้ำหนักเบาและสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่มากกว่า ถ้ารถปกติมันจะมีตู้แอร์ ก็จะบวกน้ำหนักเยอะขึ้น และในการแข่งจริงๆ แอร์มันไม่ได้จำเป็นอยู่แล้ว เขาก็เลยเอาออกไปเพื่อลดน้ำหนักให้รถด้วย ถามว่าในรถกับอากาศข้างนอกอันไหนร้อนกว่ากัน ในรถร้อนกว่าครับ เพราะในรถมันมีอุณหภูมิจากเครื่องยนต์อีก ยางก็ร้อน เบรกก็ร้อน ทุกอย่างมันร้อนหมดเลย และมันก็คือไอที่เข้ามา ถ้าอุณหภูมิข้างนอก 40 ข้างในรถก็แทบจะบวกไปอีกเลยครับ

แต่เราก็ต้องโฟกัสการแข่งอยู่แล้วครับ มันยากมาก แต่ก็สังเกตตัวเองครับ ถ้าตัวเองเริ่มมีอาการแปลกๆ ก็หาวิธีป้องกัน ดื่มน้ำเย็นเยอะๆ หรือเอาผ้าเย็นประคบตัวเอง ทำให้ตัวเองเย็นไว้ก่อน หลักๆ คือต้องสังเกตตัวเองครับ ผมว่าในรถน่าจะหนักกว่าคนที่ยืนกลางแจ้งนะ เพราะอยู่ในรถมันไม่มีอากาศเข้ามาเยอะขนาดนั้นด้วย บางทีเราอยู่ข้างนอกยังมีอากาศถ่ายเท”

เผยได้แต่ทำตัวเองให้ชินกับความร้อน
ผมเชื่อว่าตั้งแต่เกิดเหตุการณ์พี่เอ๋ ทุกคนกังวลหมดเลยในเรื่องฮีทสโตรก หรือแม้แต่ตัวผมเอง ไม่ว่าจะพ่อแม่พี่น้องพอรู้ข่าวก็ทักมาทันทีเลยให้ระวังเรื่องนี้ เพราะตัวผมเองก็เป็นคนขี้ร้อนด้วย ขับรถปกติก็เหงื่อออกอยู่แล้ว เขาก็เตือนมาว่าระวังเรื่องนี้ไว้ด้วย ผมก็คงต้องทำให้ตัวเองชินกับอากาศร้อนให้มากขึ้น เพราะเราเลี่ยงมันไม่ได้ ผมก็ไปซาวน่า ทำให้มันเคยชินมากขึ้น บางทีเราอยู่ในแอร์ ร่างกายมันก็จะจำสภาพตอนนั้น แต่คนที่อยู่แดดทุกวันเขาก็จะชินกับความร้อน

ส่วนชุดแข่งใหม่ที่มีน้ำ เพื่อช่วยลดความร้อน ผมยังไม่เคยลองอย่างจริงจังครับ แค่ลองใส่เฉยๆ แต่เห็นเขาก็ว่าช่วยนะครับ แต่จริงๆ มีอีก 1 วิธีคือเอาน้ำเย็นเทใส่เสื้อเลย เพราะตอนขับมันก็ช่วยขึ้นมาหน่อยนึง มันก็ไม่ได้ช่วยตลอดหรอก แต่พอลมพัดแล้วหลังเราเปียก มันก็ดีขึ้นหน่อย”

บอกกังวลหน้าฝนมากกว่าหน้าร้อน เพราะเวลาพื้นเปียกจะคอนโทรลยาก
“หน้าร้อนก็เป็นอุปสรรคในการแข่งด้วยครับ แต่ไม่ใช่แค่หน้าร้อน แต่หน้าฝนก็เป็นอุปสรรคครับ ถามว่าอะไรที่น่ากลัวที่สุดในสนาม ถ้าสำหรับผมเองคงเป็นฝนครับ เพราะเป็นคนที่กลัวพื้นเปียก เรารู้สึกว่ามันเหนือการควบคุมของเราไปอีก ถึงเราจะควบคุมได้ แต่มันก็ยังสามารถเกิดเหตุการณ์ที่เกินควบคุมได้ ก็เลยจะกลัว จะคิดภาพไว้ก่อน แต่เวลาแข่งจริงๆ มันก็จะมีไฟให้เราสู้

แต่ถ้าอุบัติเหตุที่เสี่ยงที่สุดที่ผมเคยเจอมา คือขับอยู่ในความเร็วเกือบ 180 แล้วเบรกหายไปเลย คือเบรกมันหายไปเลยครับ ผ้าเบรกหมด แล้วผ้าเบรกมันร้อนจนไม่มีน้ำมัน เบรกก็เลยไม่สามารถใช้งานได้ ตอนนั้นก็คิดอย่างเดียวว่ากำแพงกับหมุน เราก็เลยตัดสินใจหมุนดีกว่า ก็บังคับให้รถเลี้ยวไปตามแผง เพราะเรามาด้วยความเร็ว เราก็ต้องยอมแลกดีกว่าชนเข้ากำแพง ปรากฎว่าก็รอดได้ พอหลุดโค้งนั้นมาเราก็ค่อยๆ ขับ”

เผยตั้งเป้าปีนี้อยากคว้าแชมป์ให้ได้สัก 1 รายการ
“ตั้งแต่ผมมาแข่งรถทุกคนยินดีกับผมหมดเลย ในที่นี้คือมันถึงสิ่งที่ผมตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่เด็ก สิ่งที่ผมชอบ คือทุกคนเป็นห่วงผมอยู่แล้วแหละ แต่อีกความรู้สึกนึงทุกคนก็ยินดีกับผมที่ได้ทำตามความฝันที่เราชอบ วันนี้พอเข้ามาเราก็พยายามทำมันอย่างเต็มที่

ถามว่าตอนนี้ถือว่าเป็นอาชีพหรือยัง ผมว่าตอนนี้ยังไม่ถึงนะ เรายังถือว่าเป็นงานอดิเรกอยู่ ก็พิสูจน์ตัวเองไปเรื่อยๆ ก่อน วันนึงอาจจะได้เป็นมืออาชีพก็ได้ครับ ตั้งเป้าไว้ว่าอยากเป็นมืออาชีพครับ ปีนี้ก็ตั้งเป้าเลยว่าอยากได้แชมป์ เพราะปีที่แล้วก็เริ่มขึ้นมา เราก็คิดว่าปีนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องตั้งใจและพิสูจน์ตัวเองมากขึ้น









กำลังโหลดความคิดเห็น