xs
xsm
sm
md
lg

หัวร้อนจนบรรลัย! BEEF เรื่องตลกร้ายที่วายป่วงสุดๆ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อภินันท์



จะพูดว่าเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนหัวร้อนก็น่าจะได้ แต่มันยังมีอะไรที่มากกว่านั้น สำหรับซีรีส์เรื่องนี้บน Netflix ที่หลังจากออนแอร์ ก็มีเสียงชื่นชมจากคนดูทั่วโลกจำนวนมาก นับเป็นอีกหนึ่งผลงานคุณภาพคับแก้วจากค่าย A24

ในเบื้องต้น ต้องยอมรับครับว่า ค่ายหนังอิสระที่ก่อตั้งมาสิบกว่าปีนิด ๆ ได้พิสูจน์ความเจ๋งและฝีไม้ลายมือในการสร้างสรรค์ผลงานจนเป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ หลายคนถึงกับว่า ถ้าเป็น A24 ไม่มีผลงานชิ้นไหนที่ทำให้ผิดหวังเลย และผลงานบางเรื่องก็กวาดรางวัลใหญ่ ๆ มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Moonlight ปี 2017 ที่ได้รับรางวัล BEST PICTURE บนเวทีออสการ์

ขณะที่ล่าสุด สด ๆ ร้อน ๆ กับเรื่อง Everything Everywhere All at Once ก็เพิ่งพิชิตรางวัลตุ๊กตาทองของออสการ์มาชนิดที่กวาดเรียบทุกรางวัลใหญ่ ทั้งหนังยอดเยี่ยม บทดั้งเดิมยอดเยี่ยม และผู้กำกับยอดเยี่ยม รวมถึงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมที่ส่งให้ “มิเชล โหย่ว” เป็นนักแสดงหญิงชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้บนเวทีออสการ์ นั่นยังไม่ต้องพูดถึง “เบรนแดน เฟรเซอร์” ที่ได้รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเรื่อง Whale ซึ่งก็เป็นผลงานจากค่ายนี้เช่นกัน


และเชื่อได้เลยว่า สำหรับใครก็ตามที่ได้ดูเรื่อง X และ Pearl ของค่ายนี้ที่ออกฉายไล่ ๆ กันในปี 2022 ก็คงต้องใจจดใจจ่อรอคอยเรื่อง MaXXXine ที่จะเป็นการปิดไตรภาคของหนังชุดนี้ นี่ยังไม่นับรวมอีกหลาย ๆ ผลงานคุณภาพ อย่างเช่น Midsommar ที่สร้างความสยองขวัญชวนขนลุกได้แม้ในช่วงกลางวันแสก ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นคำตอบได้อย่างดีถึงความมีคุณภาพของค่าย A24 และซีรีส์ที่ออกฉายทาง Netflix ในเวลานี้อย่าง BEEF ก็เช่นกัน
BEEF เป็นมินิซีรีส์ 10 ตอน แต่ละตอนมีความยาวไม่มากนัก ประมาณ 30 กว่า – 40 กว่านาที เรียกว่ากำลังดี ไม่สั้นไม่ยาวมาก ดูแป๊บเดียวก็จบ และที่สำคัญคือ เรื่องราวของแต่ละตอนที่ตรึงเราได้อยู่หมัด และชวนให้ติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ จนแทบอยากจะมีเวลาว่าง ๆ อีกสักหน่อยเพื่อดูให้จบ 10 ตอนในรวดเดียว

**Spoil Alert!**


ต้องบอกว่า เสน่ห์ของ BEEF นั้นอยู่ที่เรื่องราวโดยแท้จริง เพราะแค่เปิดเรื่องมา 2-3 นาที ก็เรียกความสนใจได้แล้ว และชวนให้ติดตามว่าสถานการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยจุดเริ่มต้นมาจากคนสองคน หนึ่งคือ “แดนนี่” หนุ่มรับเหมาชาวเกาหลีที่ชีวิตตกอับและกำลังหาทางฆ่าตัวตาย อีกหนึ่งคือ “เอมี่” นักธุรกิจหญิงดาวรุ่งที่มีสามีเป็นทายาทศิลปินชื่อดัง ทั้งสองคนมาเจอกันบนลานจอดรถและเกิดการปะทะกันด้วยเรื่องการขับรถที่กระตุ้นความโกรธให้คุกรุ่น


คำว่า BEEF ที่เป็นชื่อเรื่อง ไม่ได้แปลว่าเนื้อวัวตามความหมายตรงตัว แต่เป็นคำแสลงที่แปลว่าการมีปัญหากับคนอื่นหรือเกิดความบาดหมางระหว่างกัน อย่างที่เกิดขึ้นระหว่างแดนนี่กับเอมี่ โดย “อี ซอง จิน” คนที่สร้างสรรค์ซีรีส์เรื่องนี้ขึ้นมา บอกว่า ไอเดียของซีรีส์มีที่มาจากเหตุการณ์ที่เขาถูกตะโกนด่าขณะขับรถบนถนนจนอยากจะตามไปแก้เผ็ดคนด่าให้สาแก่ใจ แต่เขาไม่ได้ทำแบบนั้น แต่นำเอาเหตุการณ์นั้นมาแต่งปรุงเป็นเรื่องราวในซีรีส์ โดยให้แดนนี่กับเอมี่ไม่ยอมจบแค่การปะทะกันบนท้องถนนเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ให้ความโกรธของพวกเขาปะทุคุร้อน นำไปสู่มหากาพย์การแก้แค้นและเอาคืน จนเรื่องราวบานปลายแบบที่พูดได้ว่า เละบรรลัยไปทั้งสองข้าง
กล่าวโดยภาพรวม BEEF นับเป็นซีรีส์ตลกร้ายที่ไม่รู้ว่าจะหัวร่อหรือร่ำไห้กับมันดี หรืออาจจะทั้งหัวร่อและร่ำไห้ไปด้วยพร้อมกัน เพราะสถานการณ์เรื่องราวมันมีแต่จะวายป่วงไปเรื่อย ๆ ... “คนหัวร้อน” ที่ค่อย ๆ พังชีวิตของตัวเองและคนอื่น ๆ ไปทีละจุดสองจุด ทั้งที่ใจไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น แบบที่ว่า ยิ่งไปต่อ ก็ยิ่งพัง สไตล์คนดวงตก ที่ดูเหมือนว่าโลกจะไม่เป็นใจอะไรเลยสักอย่าง ตัดสินใจทำอะไรก็ดูจะมีแต่เรื่องแย่ ๆ และหนักหน่วงซ้ำเติมเข้ามาไม่จบไม่สิ้น ทั้งที่เกิดจากตนเองและจากคนอื่น


อย่างไรก็ดี ถึงแม้ซีรีส์จะเปิดเรื่องด้วย “คนหัวร้อน” ที่ดูจะใช้อารมณ์เป็นหลัก แต่หลังจากนั้นก็เริ่มอธิบายอย่างมีเหตุมีผลถึงตัวตนที่มาและพื้นฐานตลอดจนสถานการณ์ของตัวละครที่นำไปสู่การกระทำต่าง ๆ อย่างที่เห็น คำพูดของแดนนี่ที่ว่า “ทำไมต้องบีบให้กูทำแบบนี้ด้วยวะ” ดูจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนของตัวละครแทบทุกตัวที่ถูกสถานการณ์ลากพาจนยากจะหวนกลับไปแก้ไขหรือทำให้เป็นดังเดิม

นอกจากนี้ จุดเด่นอีกอย่างของซีรีส์ คือการสอดแทรกเนื้อหาสาระแง่มุมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์ในครอบครัว และภาระรับผิดชอบในครอบครัว ที่บีบรัดจนดูไม่เป็นตัวของตัวเอง อย่างในกรณีของแดนนี่ เขาคือแบบฉบับพี่ชายคนโตของครอบครัวชาวเอเชียที่ต้องเป็นเสาหลักของครอบครัว และเขาก็พยายามทำอย่างเต็มที่จนพูดได้ว่าแทบไม่มีเวลาได้ใช้ชีวิตของตัวเอง ซึ่งแน่นอน เขาต้อง “ดูเข้มแข็งและมั่นคง” ตลอดเวลา ดังที่เราจะเห็นตั้งแต่ช่วงสิบนาทีแรกว่า ถึงแม้เขากำลังอยู่ในภาวะหัวเสียกับเรื่องที่เพิ่งเจอมาบนถนน ซ้ำยังเกรี้ยวกราดใส่น้องชายที่เอาแต่หมกตัวอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์เทรดคริปโต แต่เมื่อแม่โทรมา เขาก็ปั้นหน้ายิ้มคุยโทรศัพท์กับแม่ราวกับว่าวันนี้เป็นวันที่แสนดี

ภาพลักษณ์ของแดนนี่ ที่ต้องดูเข้มแข็ง อ่อนแอไม่ได้ แต่ลึก ๆ แล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาอ่อนแอและอ่อนไหว ไม่มีใครให้ปรับทุกข์ หรือรับฟังอย่างจริงใจ เขาถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายตั้งแต่ต้นเรื่อง แต่มันน่าโมโหตรงที่..แม้อยากจะตายแทบตาย ก็ตายไม่สำเร็จ แถมไปเจอคนอย่างเอมี่เข้าให้อีก...


ในขณะที่แดนนี่ดูก้าวร้าวในภายนอก แต่อ่อนยวบอยู่ภายใน ไร้ความสุข ฝั่งของเอมี่ก็ดูเหมือนชีวิตจะมีแต่ความสุข เธออยู่กับลูกน้อย 1 คน และสามีที่ดูแลเอาใจเป็นอย่างดี แถมเป็นทายาทศิลปินชื่อดัง อีกทั้งแม่สามีก็ดูจะพยายามจัดแจงโน่นนี่ให้ทุกอย่างเพื่อให้เธอและครอบครัวมีแต่สิ่งที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่ไม่ว่าเอมี่จะต้องการอย่างนั้นหรือเปล่า เธอก็ดูเหมือนจะออกปากพูดอะไรแทบไม่ได้ หรือแค่เอ่ยออกไปก็ได้รับการปฏิเสธ คำพูดของเอมี่ ที่ว่า “เราทุกคนก็อยากถูกมองเห็นบ้าง” คือคำที่สะท้อนถึงตัวเธออย่างเด่นชัด ความรู้สึกหรือความต้องการที่แท้จริงของเธอ เหมือนล่องลอยไร้ตัวตนในสายตาคนรอบข้าง

เราเห็นเอมี่แสร้งยิ้มยอมรับอยู่เสมอ ๆ และเก็บกดมันไว้ถึงขั้นที่ต้องพูดว่า “ฉันไม่อยากเสแสร้ง” และ “ไม่อยากให้ใครมาเห็นว่าจริง ๆ แล้วฉันเป็นยังไง” ทั้งนี้ เมื่อเจอสถานการณ์ของแดนนี่เข้ามากระทบ ก็เหมือนพบเจอเหยื่ออารมณ์อันโอชะ เธอใช้แดนนี่เป็นเสมือนที่ระบายความอัดอั้นและระเบิดออกมาเป็นความเกรี้ยวกราดแบบไม่แตะเบรก

ผมชอบชื่อของตอนที่ 3 “ฉันเก็บเสียงร้องไห้ไว้ภายใน” และตอนที่ 5 “สิ่งมีชีวิตที่เก็บความลับไว้ภายใน” เพราะดูเหมือนจะอธิบายภาวะของตัวละครหลักทั้งสองตัวนี้ได้อย่างลึกซึ้ง...คนสองคนที่มีตัวตนก็เหมือนไร้ตัวตน ไม่มีคนมองเห็น ไม่มีใครให้เป็นที่พึ่งทางใจได้ หรือไม่มีใครพร้อมจะรับฟังอย่างจริงจัง และเมื่อทุกอย่างพังถึงขีดสุด เรื่องราวเดินทางไปถึงตอนที่ 10 ซีรีส์ก็อุทิศเวลาให้กับทั้งสองคนอย่างเต็มที่ คนที่แหลกสลายทั้งสองคนได้มาปะทะกันแบบซึ่ง ๆ หน้า มีเวลาทะเลาะกัน ถกเถียงตอบโต้ และคุยกัน แบบปลดปล่อยทุกสิ่งอย่างที่กักเก็บอัดอั้นอยู่ในใจออกมาหมดเปลือก นับเป็นการปิดฉากซีรีส์ที่ตราตรึงอีกเรื่องหนึ่งก็ว่าได้ เพราะบางที..เราก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าคนที่พร้อมจะเปิดใจคุยกัน โต้แย้งกันได้ ทุ่มเถียงกันได้ แต่ก็มีใจที่พร้อมจะรับฟังกันและกัน

สุดท้ายแล้วต้องบอกว่า BEEF เป็นซีรีส์ที่ดีมาก ๆ ครับ มีหลายสิ่งอย่างน่าจดจำและนำมาขบคิดต่อในเชิงแง่คิด ควบคู่ไปกับการเป็นผลงานที่ดูสนุกและน่าติดตาม ขณะที่ดารานักแสดงทุกคนก็เล่นเข้าถึงบท แสดงได้สมบทบาท และมีจุดที่น่าจดจำเป็นของตัวเอง เช่น นักแสดงตัวหลักอย่าง “สตีเว่น ยอน” ที่เล่นเป็นแดนนี่ หรือ “อาลี หว่อง” ที่รับบทเอมี่ ไปจนถึงตัวรองอย่างน้องชายของแดนนี่ที่เล่นโดย “ยัง มาซิโน” นักแสดงหน้าใหม่ที่ได้แจ้งเกิดแน่นอนจากบทนี้ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าชื่นชมของค่าย A24 ที่มักจะแจ้งเกิดให้กับดาราหน้าใหม่ได้เสมอ ๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

หากมีเวลา แนะนำเลยครับ สำหรับ BEEF เชื่อว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน






กำลังโหลดความคิดเห็น