xs
xsm
sm
md
lg

“ฟลุค จิระ” หวานน้อยลง ทะเลาะ “แอปเปิ้ล” บ่อยขึ้นเพราะลูก! แต่ไม่เคยลงไม้ลงมือกับเมีย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ฟลุค จิระ” อยากมีลูกชายให้พ่อแม่ แต่ก็สงสาร “แอปเปิ้ล” ภรรยา เลี้ยงลูกสองคนก็เหนื่อยแล้ว ลั่นไม่อยากทำร้ายตัวอ่อนเพราะยังไงก็ถือว่ามีชีวิตแล้ว ยอมรับพักหลังหวานน้อยลง ทะเลาะกับภรรยาบ่อยขึ้น แต่ไม่เคยลงไม้ลงมือกับเมีย 

มีลูกสาวสุดน่ารักสองคนแล้ว แพลนการจะมีลูกชายเพิ่มอีกสักคนของหนุ่ม “ฟลุค จิระ ด่านบวรเกียรติ” กับภรรยาสาว “เปิ้ล แอปเปิ้ล สีสะเหงียน” ก็เลยอาจจะต้องพับไปก่อน เพราะ ฟลุค ยอมรับว่าตอนนี้เริ่มสงสารภรรยา และเพิ่งเริ่มกลับมามีชีวิตของตัวเองได้ไม่นาน

“โปรเจกต์นี้คือพับไปเลย ตอนแรกก็รู้สึกว่ายังไม่พอนะ แต่พอตอนนี้เรามีลูกสาวสองคน ก็อยากมีลูกชายสักคน คนรอบข้างก็บอกว่าต้องมีลูกชายนะ ตอนแรกเราก็บ้าไปกับเขานะ แต่พอเราเลี้ยงลูกมาสองคนถึงจุดนี้ ลูกคนเล็ก 2 ขวบ เริ่มเลี้ยงง่ายมากขึ้น และเราก็มีชีวิตส่วนตัวมากขึ้น ทำงานได้ อาจจะเอาลูกไปที่ทำงานได้

ชีวิตส่วนตัวของเราเริ่มกลับมา โดยเฉพาะภรรยา ย้อนผมเต็มที่ แต่งหน้า ฉีดหน้าแบบไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะก่อนหน้านั้นต้องให้นมก็จะทำอะไรไม่ได้ คนแรกจำได้ว่าปั้มนมเกือบปี คนที่สองปั้มนม 4 เดือนเอง เขาก็ไม่ไหวแล้ว เราก็รู้สึกสงสารคนเป็นแม่เหมือนกันที่ต้องเสียสละให้ลูกเยอะ”

บอกไม่อยากทำร้ายตัวอ่อนที่ทำไว้แล้ว เลยยังไม่ทำหมัน
“เปิ้ลเขาโอเคอยู่แล้ว เขาเป็นคนที่ไม่อยากมี เพราะคนที่สามก็คงไม่ไหวแล้ว แต่ผมครอบครัวคนจีนเนอะ พ่อแม่ผมก็เชียร์ให้มีลูกชายอีกสักคนไหม เราก็เลยยังติดอยู่ในใจว่าอยากมีลูกชายเหมือนกัน แต่กลายเป็นว่าเราอยากมีลูกชายให้พ่อแม่เราเฉยๆ เราต้องดูตัวเราเองด้วยว่าเราเลี้ยงไหวไหม

ยังไม่มีแพลนทำหมันครับ แต่มันก็เป็นเรื่องของในอนาคต อาจจะ 90% ครับที่จะไม่มีแล้ว แล้วเราก็ทำเด็กหลอดแก้วสำเร็จมา ซึ่งก็ยังเหลือตัวอ่อนอีก 3 คน คือตอนแรกเรามีตัวอ่อน 5 คน 2 คนก็คือลูกสาวเราทั้งคู่ก็คือจูนี่กับจูน่า เราก็มานั่งคิดว่าทุกคนมีชีวิตหมดแล้ว แค่เป็นตัวอ่อน เราก็เลยไม่กล้าคิดว่าจะทำร้ายเขา ก็เลยยังเก็บเอาไว้ ฟรีซอยู่ทุกวันนี้ แล้วตัวอ่อนอีก 3 คนเราก็ไม่รู้เพศด้วย เพราะฉะนั้นการที่จะทำคนถัดไปโดยที่ยังไม่รู้เพศก็เสี่ยงอีก ก็เลยคิดว่าเก็บไว้ก่อนดีกว่า” 
รับทะเลาะกับ “แอปเปิ้ล” บ่อยขึ้น สาเหตุจากลูกล้วนๆ
“บอกตรงๆ ว่าก็ใช่ มีส่วน ความหวานมันลดน้อยลง เพราะโฟกัสมันไม่ได้มีแค่เราสองคนแล้ว เรามีลูก และทะเลาะกันมากขึ้นด้วย จะทะเลาะกันเรื่องลูก ปกติเราจะทะเลาะกันก็แค่เรื่องส่วนตัว แต่ตอนนี้มันมีเรื่องลูกมาเพิ่ม มันเลยทำให้เรามีการทะเลาะกันมากขึ้น ไม่หวานเหมือนเดิม อย่างสมมติลูกฉี่ตอนกลางคืน เราไม่ได้เปลี่ยนแพมเพิส เราก็จะโดนด่าแล้ว (หัวเราะ)

มันเป็นเรื่องเล็กน้อย คือเราก็อยากให้เขานอน ถ้าเกิดว่าเราไม่ตื่นตอนลูกร้อง เราก็อาจจะโดนได้ บางทีการเลี้ยงลูกก็ไม่เหมือนกัน บางเรื่องผมดุ แม่เขาก็ไม่อยากให้ดุ บางเรื่องแม่ดุ ผมก็บอกว่าดุทำไม มันก็เป็นการทะเลาะที่เกิดขึ้นจากลูก ความรุนแรงก็แค่มีปากเสียงครับ คงเหมือนกับทุกครอบครัว แต่ตอนนี้เราไม่มีปากเสียงเรื่องส่วนตัวเลย มีแต่เรื่องลูกอย่างเดียว”

เผยวิธีเลี่ยงการทะเลาะคือพูดให้น้อย และเลี่ยงหนีไปก่อน
“เราก็ต้องหัดที่จะไม่พูดบ้าง (หัวเราะ) บางอย่างคนอาจจะมองว่าพูดด้วยเหตุผลสิ แต่บางทีผู้หญิงก็มีอารมณ์มากกว่าเหตุผล หรือบางจังหวะเขาก็มีเหตุผลมากกว่าอารมณ์ก็มี หน้าที่ของเราก็คือต้องรู้ว่าแฟนเราเป็นยังไง ก็เป็นการจัดการความสัมพันธ์นั่นแหละ เคยทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นด่าทอกันก็มี ซึ่งหลักการของผมก็คือพอเราทะเลาะกันเสร็จ เราก็ต้องแยกกันแป๊บนึง แล้วก็ทำตัวเหมือนเดิม ไม่เอาปัญหามาข้ามวัน

อย่างวันรุ่งขึ้นผมเคยบีบยาสีฟันให้เขา ผมก็ยังทำเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าโกรธแล้วจะไม่ทำ มันจะไม่จบแน่นอน แต่เรื่องลงไม้ลงมือไม่มีแน่นอน อันนั้นมันข้ามกรอบบางอย่างสำหรับผมนะ ยิ่งเป็นผู้ชายถ้ามีการลงมือกับผู้หญิง มันเป็นกรอบที่เลยไปแล้ว ถามว่าเรามีอารมณ์ที่โกรธมากๆ ไหม ก็มี แต่หน้าที่ของเราก็คือต้องมีความอดทนมากพอ หรือรู้ว่าเราจะถึงจุดนั้นแล้วก็ต้องแยกออกมา ไม่ต้องไปทะเลาะต่อ มันจะง่ายกว่า

ไม่ใช่ว่ากลัวเมียนะ อย่าเข้าใจผิดนะ (หัวเราะ) ผมจะบอกว่าค่านิยมของคนบางคนจะคิดว่าทำไมไม่คุยด้วยเหตุผลล่ะ ทำไมกลัว แต่ผมว่ามันไม่ใช่ความกลัว แต่มันคือการจัดการกับความสัมพันธ์มากกว่า”

บอกตอนนี้ไม่มีคนมาบูลลี่ลูกแล้วตั้งแต่บอกว่าจะฟ้อง
“ตอนนี้ไม่มีแล้วครับ พอผมออกมาพูดและมีการแชร์ข่าวนั้นออกไป หลังจากนั้นไม่มีเลยครับ อย่างเมื่อก่อนเวลาเราลงรูปก็จะมีทั้งแฟนๆ ฝั่งไทยและแฟนๆ ฝั่งลาวคอมเมนต์กัน ซึ่งผมก็อ่านออกนะ บางทีฝั่งลาวเขาก็มาบูลลี่ลูกเรา ฝั่งไทยก็มี แต่ตอนหลังไม่มีเลย มีแค่คอมเมนต์ที่เป็นข้อเท็จจริงบางอย่างที่เราไม่ค่อยชอบ เช่น เปรียบเทียบลูกเราทั้งสองคน คนนั้นสวยกว่าคนนี้อะไรประมาณนี้ แต่ความเป็นจริงเป็นยังไงไม่รู้ แต่นั่นคือสิ่งที่เขาคิด

แต่พอมาพูดเราเห็นก็รู้สึกไม่สบายใจ ถ้าโตขึ้นลูกเราอ่านหนังสือออก เขาจะคิดว่าสวยน้อยกว่าพี่เหรอ หรือพี่สวยมากกว่าเราเหรอ หรือคนนี้ดูอ้วนกว่าคนนั้นเหรอ นี่มันเป็นรูปลักษณ์นอก ซึ่งเมื่อก่อนอาจจะไม่เป็นอะไร แต่ยุคนี้มันค่อนข้างละเอียดอ่อน ซึ่งผมค่อนข้างเห็นด้วยกับคนทุกวันนี้นะ ที่เราจะไม่พูดกันเรื่องรูปลักษณ์กันอีกแล้ว จริงๆ คอมเมนต์เชิงสร้างสรรค์ได้หมด ช่วงนี้ก็จะเป็นอย่างนั้นนะ

เราก็เลยกล้าที่จะแชร์รูปลูกได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องแคร์ว่าคนอื่นจะคอมเมนต์ว่ายังไง ผมว่ามันก็ขึ้นอยู่กับเราด้วย บางคนอาจจะไม่อยากเปิดหน้าลูกเลยก็ได้ เพราะไม่อยากเจออะไรแบบนี้ แต่ถ้าเราเปิดแล้วหน้าที่ของเราคือต้องยอมรับผลที่จะตามมา เพราะความคิดคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องยอมรับให้ได้”









กำลังโหลดความคิดเห็น