แทบไม่เคยออกมาเปิดใจเล่าเรื่องตัวเองกับรายการไหนเลย แต่อยู่ๆ “ไอซ์ ปรีชญา พงษ์ธนานิกร” ก็ตัดสินใจมาเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองในรายการ กินอยู่กับปากอยากอยู่กับคิ้ม ถึงเรื่องราวชีวิตของตนที่เรียกได้ว่า ไอซ์ เองก็เป็นอีกคนที่เป็นแมวเก้าชีวิต ที่ผ่านมรสุมมาแล้วหลากหลายรูปแบบแต่ก็รอดปลอดภัยมาได้จนถึงทุกวันนี้
โดย ไอซ์ เล่าชีวิตตัวเองตอนเด็กๆ นั้นถือว่าเป็นลูกเทวดาคนหนึ่งเลย
“ครอบครัวไอซ์เป็นครอบครัวที่ค่อนข้างจะเพอร์เฟกต์ทั้งคุณพ่อคุณแม่ พ่อจบจากเมืองนอก แล้วมาแต่งงานกับแม่ที่เมืองไทย ตอนเด็กๆ ไอซ์เรียนโรงเรียนอินเตอร์ฯ ตอนนั้นที่บ้านอู้ฟู่มาก ทำธุรกิจหลายอย่าง แต่เกิดวิกฤตขึ้นในปี 2540 คุณพ่อล้มละลาย ซึ่งตอนเด็กๆ จะเลือกรถมารับส่ง จะเลือกว่าจะนั่งยี่ห้ออะไร ถ้าไม่ใช่เบนซ์จะไม่นั่ง อะไรหยดใส่เสื้อนิดนึงก็คือต้องมีเสื้อสำรองให้เปลี่ยนตลอด ต้องใหม่ ลูกเทวดาใช่เลย (หัวเราะ)
พอคุณพ่อล้มละลาย ไอซ์ต้องย้ายไปอยู่เพชรบูรณ์ ชื่อโรงเรียนกับชื่อหลักกิโล คือชื่อเดียวกัน ไปถึงครั้งแรกก็งงๆ จากเด็กอินเตอร์ไปต่างจังหวัดที่อยู่นอกเมือง ย้ายไปเรียนแถวนั้น ที่ผ่านมาจะไม่พูดภาษาไทยกับที่บ้าน ที่โรงเรียนอินเตอร์ก็ไม่ได้สอนภาษาไทยเท่าไหร่ พอย้ายโรงเรียนก็ต้องเรียนซ้ำชั้น และอยู่ที่นั่นประมาณ 3 ปี อยากเข้ากับเพื่อนๆ ได้ เล่นกับเพื่อน เพื่อนชวนกระโดดจากต้นไม้ จนขาหัก”
เล่าถึงจุดเริ่มต้นการศัลยกรรมมาจากชีวิตพลิกผันอีกครั้ง เป็นนางเอก 100 ล้านอยู่ดีๆ วันนึงเกิดอุบัติเหตุจนเสียโฉม
“เมื่อตอนเป็นนักแสดง ตอนนั้นเป็นนางเอกร้อยล้านแล้ว จำได้ว่ากำลังจะไปถ่ายซิตคอม ขับรถไปเอง หลับในชนกับรถ 6 ล้อ ไอซ์สลบ คิดว่าไม่รอดแล้ว สลบไป 10 นาที แล้วตื่นมาเจอกู้ภัยที่มาช่วย ตอนนั้นเลือดเต็มหน้า ในใจก็ยังคิดว่าจะไปถ่ายงานยังไง ไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย รู้ตัวก็เอาโทรศัพท์มาเซลฟี่หน้าตัวเองก่อนเลย เห็นแต่เลือด
ตอนนั้นอาการไหปลาร้าหัก ข้อมือหัก กระดูกซี่โครงข้างขวาหักไปทิ่มปอด ปอดรั่ว หน้าต้องเย็บ 3 ชั้น เสียโฉมไปเลย ต้องใช้หมอ 5 คนรักษา ศัลยกรรมพลาสติก , หมอปอด , หมอตา , หมอสมอง แล้วก็หมอกระดูก
และอุบัติเหตุครั้งนั้นคือจุดเริ่มต้นของการทำศัลยกรรม เพราะซีกขวาไปหมดเลยทั้งตัวและหน้า ตอนนั้นต้องไปหาหมอสัปดาห์ละครั้ง ไม่ส่องกระจกเลย 3 เดือน เอาผมมาบังหน้า ยอมรับว่าตอนนั้นสภาพจิตใจแย่มาก เหมือนว่าเราหยุดงานด้วย แต่เราก็มีเวลาคิดเยอะขึ้น ก็พยายามหาหมอรักษาหน้าให้ดีขึ้น กว่าจะกลับมาเหมือนเดิมก็ใช้เวลา 2 ปี”
เสพติดศัลยกรรม ทำจนปากเบี้ยว ตีเป็นมูลค่าตอนนี้น่าจะเกิน 10 ล้านแล้ว
“พอเริ่มทำไปแล้ว ก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้แย่ แต่ก็เคยพลาด จะมีช่วงที่ทำแล้วพลาด มีช่วงนึงที่ฉีดโบท็อกซ์ไม่เท่ากัน 2 ข้าง เลยดูปากเบี้ยว กินน้ำก็ไหลออกจากปาก จนกระทั่งมีคนทักว่ายิ้มแล้วปากเบี้ยว ก็เลยต้องฝึกมัดกล้ามเนื้อให้บาลานซ์กัน การทำศัลยกรรมก็เริ่มจากอะไรที่เล็กๆ ก่อน ก็มีช่วงที่รู้สึกว่าทำเยอะไปควรจะหยุด ก็หยุดทำไปช่วงนึง ต้องรอให้หน้าเข้าที่ก่อนแล้วค่อยกลับไปหาหมอใหม่ ช่วงที่ทำจมูกแรกๆ ก็ไม่ชินหน้าตัวเอง กว่าจะลงตัวที่หน้าปัจจุบันทำจมูกไป 2 ครั้ง ถ้าถามมูลค่าทำหน้าก็คิดว่ามากกว่าค่าตัว ทำทุกอย่างทั้งหมดน่าจะเกิน 10 ล้านบาทได้แล้ว”
เผยมุมอ่อนแอเป็นโรคซึมเศร้ามา 8 ปีแล้ว
“วันนึงนั่งอยู่ในรถกับคุณพ่อ แล้วคุยกันว่ารู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติ เปิดประตูรถเพื่อที่จะกระโดดลงไป แต่พ่อดึงกลับมาถามว่าเป็นอะไร เราก็บอกว่าเราไม่ปกติ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ตอนนั้นน่าจะดาวน์สุดๆ ร้องไห้ไม่หยุด ต้องไปพบคุณหมอ ก็เป็นซึมเศร้ามา 8 ปีแล้ว สิ่งที่ฮีลใจครอบครัวสำคัญที่สุด เพื่อน เพื่อนร่วมงาน แฟนก็สำคัญ”
นอกจากนั้น ไอซ์ ปรีชญา ยังได้พาแฟนหนุ่ม “สเตฟาน อีสเลอร์” มาเปิดตัว โดยสเตฟานเล่าว่าตนเกิดและเติบโตที่สวิตเซอร์แลนด์ ทำงานด้านอิเล็กทรอนิกส์ แต่ชอบดนตรีมากกว่าเลยตัดสินใจทิ้งทุกอย่างที่นั่นแล้วมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เมืองไทยได้ 4 ปีแล้ว ซึ่ง ไอซ์ ปรีชญา ได้ย้อนจุดเริ่มต้นความรักที่เจอกันเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เจอกันที่สถานที่หนึ่งต่างคนต่างพาน้องหมาไปเดินเล่น เราก็ชอบหมาเขา ถามชื่อเขาบอกไม่รู้ เพราะเป็นหมาของแฟนเขา (หัวเราะ)”
สเตฟาน เล่าต่อว่า… “พอโสดก็เลื่อนไอจีเจอเขา ก็เขียนไปหาเลยว่าจำได้ไหม คุณน่ารักนะ ก็จีบแหละ ผมก็พูดอะไรก็แล้วแต่ ที่ต้องให้เขาตอบให้ได้ เล่าว่าเคยเจอที่ไหน เหตุการณ์เป็นยังไง บอกเขาว่าหวังว่าสักวันจะได้เจอกันอีก หลังจากนั้นประมาณ 1 อาทิตย์เขาก็ส่งรูปมาว่าอยู่โรงพยาบาล ตอนนั้นผมอยู่เมืองนอก ก็เลยถามว่าให้ไปหาไหม ตอนนั้นก็เป็นห่วงเขาและก็อยากเจอเขาด้วย ก็บินมาหาเขาเลย”
ด้าน ไอซ์ ปรีชญา ยอมรับว่า… “กลายเป็นตัวเองที่คุยกับเขาเยอะ เขาเป็นคนถามเก่งมาก ซึ่งจริงๆ มีคนดีเอ็มหาไอซ์เยอะมาก ดารา ศิลปิน แต่ไม่เคยตอบใครเลย แต่ตอบเขา เราก็งงตัวเอง เหมือนว่ามีอะไรที่ต้องถามเขาต่อ ตอนที่อยู่โรงพยาลที่ส่งรูปหาเขา เป็นภาวะอ่อนแอ ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องส่งหาเขาเหมือนกัน”
สเตฟาน เล่าต่อทั้งน้ำตาว่า…. “ตอนนี้ก็คบกันมา 9 เดือนแล้ว ยอมรับว่าผมร้องไห้บ่อย แต่ไม่ได้น้อยใจแล้วร้องไห้นะ เพราะไอซ์เป็นซึมเศร้า เวลาเขาทุกข์เราก็ทุกข์ไปด้วย เวลาเขาร้องไห้ เราก็ร้องไห้ตามไปด้วย ผมสงสารเขา เขาตื่นมาเขาไม่มีความสุข ผมงง เพราะเราเองเป็นคนที่มีความสุข ตื่นมามีความสุขได้เลย ผมเป็นคนขี้เล่น ผมมีความสุขทุกวัน แล้วทำไมเขาไม่มีความสุขเหมือนที่ผมเป็น (ร้องไห้)
ผมสงสารเขา เวลาเขาเศร้าผมก็เลยเศร้า ผมจะรู้สึกมากกว่าเขาอีก ผมก็เลยพยายามพาเขาไปในทางที่มันถูกต้อง เพื่อให้เขามีความสุขไปเรื่อยๆ อย่างรอยสักที่เป็นชื่อแฟนเก่า ตอนนี้ก็สักทับไปแล้ว เพราะไอซ์ไม่สบายใจ เราก็เลยให้เขาเป็นคนสักด้วยตัวเอง ที่ผมยอมเพราะเวลาผมรักใครผมรักเลย ผมไม่แบ่งให้คนอื่น ให้แฟนคนเดียว”
ไอซ์ บอกว่าเคยงอนฝ่ายชาย เพราะเห็นรอยสักชื่อแฟนเก่า แต่ไม่มีชื่อตัวเองก็เลยน้อยใจ “จริงๆ มีก็ไม่แปลก แต่ทำไมไม่บอกว่ามีแค่นั้นเอง ตอนนี้ก็เขาก็สักทับไปแล้ว เลือกลายและลงมือสักให้เอง เป็นรูปสายฟ้า(หัวเราะ) จริงๆ แล้ว การเจอกับเขาถือว่าโชคดี เขามาในจังหวะที่พอดีด้วย”