“แพท” ยื้อชีวิตแม่ หลังป่วยโคม่า ใจสลายหมอบอกโอกาสรอด 50:50 เผยแม่ใจสู้เพราะรอลูกชายมานานเพิ่งได้อยู่ด้วยกัน 2 ปี ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว ปลดล็อกความรู้สึกตัวเองที่ออกมาทันได้ดูแลแม่ เตรียมซื้อบ้านให้พ่อ อยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้สมกับที่ครอบครัวเฝ้ารอ
เพิ่งได้รับอิสรภาพกลับมาอยู่กับครอบครัวได้ 2 ปีกว่า แต่แล้วก็มีเหตุการณ์บีบหัวใจนักร้องหนุ่ม “แพท พาวเวอร์แพท” วรยศ บุญทองนุ่ม เมื่อต้องเผชิญวิกฤตชีวิตอีกครั้ง เนื่องจากคุณแม่ป่วยหนักอาการโคม่า คุณหมอบอกให้ทำใจเพราะโอกาสรอด 50:50 ทำเอาเจ้าตัวได้เรียนรู้สัจธรรมชีวิตว่าไม่มีอะไรแน่นอน
แต่ในความเศร้านี้ยังมีมุมดีๆ ให้หนุ่มแพทได้ยิ้มออกอยู่บ้าง เพราะเหมือนได้ปลดล็อกความรู้สึกของตัวเองที่กลัวมาตลอดว่า จะไม่ทันได้ออกมาดูแลพ่อและแม่ในช่วงบั้นปลายชีวิต อย่างน้อยวันนี้ก็ได้มีโอกาสทำหน้าที่ลูกที่ดีแล้ว ครั้งนี้ต้องขอบคุณปาฏิหาริย์และกำลังใจของแม่ที่สู้เพื่ออยากอยู่กับลูกชายอีกนานๆ ให้สมกับที่รอคอยมาเกือบ 17 ปี
“จริงๆ แล้วคุณแม่ท่านมีโรคประจำตัวมาเป็น 10 ปีแล้วครับ แต่ช่วงที่ผ่านมาแกไม่สบายค่อนข้างหนักมากๆ เลย คุณแม่ท่านมีอาการนอนไม่ค่อยหลับครับ เพราะมีอาการจุกข้างใน เจ็บด้านในไปหาหมอช่วงแรกก็ยังไม่ได้เจอสาเหตุที่แท้จริง ท่านก็นอนไม่ค่อยได้ ทานไม่ค่อยได้เป็นเดือนๆ ครับ สุดท้ายแล้วท่านก็รู้สึกว่าทนไม่ไหว
คืนที่อาการหนัก คือคุณแม่ทรมานแล้วก็ไม่ไหว เขาก็บอกว่าช่วยพาไปโรงพยาบาลที เขาไม่ไหวแล้ว เขาบอกเหมือนจะตาย เขาทรมานมาก ถ้าปล่อยเขาไว้ทรมานแบบนี้เขาตายดีกว่า ก็พาเขาไปโรงพยาบาลแถวบ้าน ในคืนที่อาการส่งผลรุนแรงมากๆ คุณหมอได้สอบถามอาการในวันนั้นครับ แล้วก็ทราบว่ามีอาการน้ำท่วมปอด ถือว่าอยู่ในระยะที่วิกฤต พอตรวจสอบแล้วก็เกี่ยวกับเรื่องโรคหัวใจที่ท่านเคยเป็นมา ตอนนี้หัวใจท่านทำงานได้ไม่ปกติ จากคนปกติทำงานได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ท่านทำได้แค่ 30 ไม่เกิน 40 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แล้วก็มีอาการลิ้นหัวใจรั่ว ทำให้น้ำเข้าไปท่วม ลุกลามไปยันปอดด้วย
แล้วทางห้องไอซียูของโรงพยาบาลแรกที่มีสิทธิ์รักษาไม่สามารถรักษาได้ ทางแพทย์ก็เมตตาส่งตัวไปอีกโรงพยาบาลนึง ซึ่งมีเครื่องมือการดูแลโรคหัวใจได้ครบครัน มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการดูแลด้านนี้อย่างตอบโจทย์กับอาการป่วยของคุณแม่ ซึ่งพอไปตรวจจริงๆ ก็ไปเจอก้อนลิ่มเลือดอยู่ในหัวใจด้วย อันนี้ก็อันตรายมาก เพราะทางแพทย์ได้แจ้งมาว่า ลิ่มเลือดนี้อาจจะไปอุดตันตรงไหนก็ได้ ทำให้เกิดอันตรายอย่างฉับพลัน
คุณแม่ก็ไปนอนห้องไอซียูอยู่พักใหญ่เลยทีเดียวในช่วงที่ทำการรักษา คุณหมอก็ให้ยาละลายลิ่มเลือด แล้วก็ระบายน้ำออกจากปอดครับ แล้วความดันท่านก็ต่ำมากๆ เรียกว่าอยู่ในภาวะวิกฤตินะครับ 50:50 เลยตอนนั้น โคม่าครับ”
ใจสลาย คุณหมอบอกอาการแม่โคม่า โอกาสรอด 50:50 ทำใจว่าแม่อาจจะจากไปได้ตลอดเวลา
“คิดอยู่เสมอเลยตอนนั้น ว่าท่านอาจจะไปจากเราได้ตลอดเวลา เพราะคุณหมอก็สอบถามเรื่องการยินยอมในการปั๊มหัวใจ การให้ยาต่างๆ ที่มันจะส่งผลต่อร่างกายท่าน เพื่อยื้อชีวิต เพราะทางแพทย์จำเป็นต้องสอบถามทายาทล่วงหน้า เพราะว่าอาการของท่านมันโคม่า และสามารถเกิดวิกฤตได้ตลอดเวลา ถึงเวลาทางแพทย์จะได้ลงมือช่วยเหลือได้ทันถ่วงที
เรารู้สึกว่าท่านก็อายุมากแล้ว บวกกับโรคประจำตัวที่เป็นต่อเนื่องมายาวนาน ก็ค่อนข้างใจหายเหมือนกันครับ แล้วก็สงสารท่านถึงความทรมานที่ได้เจอ แต่ตอนนั้นเราก็ทำใจแล้วเหมือนกัน ดูจากอาการที่เกิดขึ้น ความเจ็บปวด ความทรมาน รวมถึงอาการต่างๆ ที่แพทย์ชี้แจง เพราะมีอาการเกิดขึ้นหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ ลิ้นหัวใจรั่ว ลิ่มเลือดที่เจอในจุดที่ไม่ควรจะเกิด น้ำท่วมปอด ความดันต่ำ และมีความเสี่ยงเกี่ยวกับเรื่องไตด้วย แล้วโรคประจำตัวท่านก็มีหลายอย่าง ทั้งโรคเลือด เบาหวาน ก็เรียกว่ารุมเร้าเหมือนกัน ตอนนั้นเราคิดว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แต่ ณ วันนี้เราก็ทำให้ดีที่สุด ก็เชื่อใจในทีมแพทย์และพยาบาลที่ดูแลด้วยครับ”
แพทเข้มแข็งมาก เมื่อถามว่า รู้สึกว่ามันเร็วไปไหมเพราะเพิ่งได้ออกมาใช้ชีวิตกับคุณแม่แค่ 2 ปี เจ้าตัวก็บอกว่า...
“จริงๆ ผมไม่ได้คิดแบบนั้น เราศึกษาเรื่องธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนอยู่แล้ว เรื่องความตาย ความเจ็บปวด ความเจ็บป่วย มันไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้ ณ วันที่เราได้กลับออกมา ได้ใช้ชีวิตอยู่กับท่านตลอด 2 ปีกว่า เรามีความสุขกันมาก ถ้า ณ วันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะจบลง ณ วันนี้ ถ้ามันจะต้องเกิด เราก็พร้อมยอมรับ
แต่สุดท้ายผมก็คิดว่าคนเราไม่ได้ตายกันง่ายๆ การที่คนหนึ่งจะถึงจุดจบ จะต้องถึงฆาตจริงๆ ถ้าท่านถึงที่ เราก็ขอให้ไปอย่างมีความสุข แต่ก็ภาวนาว่าอย่าให้เกิดเหตุการณ์เศร้าเสียใจขึ้นในครอบครัวเลยครับ พยายามปลง เข้าใจสัจธรรมทุกอย่างที่จะต้องเกิดขึ้น แต่เราก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในการช่วยเหลือคุณแม่ด้วย
แต่ในอีกมุมนึง เป็นความโชคดีที่แพทมีโอกาสได้ออกมาดูแลคุณพ่อคุณแม่ เพราะตลอดเวลา 16 ปี 8 เดือนที่รับโทษ แพทพูดเสมอว่า กลัวท่านจะจากไปก่อนที่เราจะได้ออกมาตอบแทนบุญคุณ?
“มันก็ต้องมีคิดอยู่แล้ว เพราะช่วงที่เราใช้ชีวิตอยู่ข้างในเราก็กังวลมาตลอด ว่าท่านจะเป็นอะไรก่อนที่เราจะออกไป ณ วันนี้เราออกไปแล้วท่านยังแข็งแรง ยังดูมีความสุขดีอยู่ 2 ปีที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มีค่า และเป็นช่วงเวลาที่เรารอคอย ถ้ามันจะหมดไป ณ วันนี้เราก็ต้องยอมรับมันครับ”
โชคดีที่คุณแม่เป็นคนสุขภาพจิตดีและใจสู้ ทุกครั้งที่แพทไปเยี่ยม นอกจากให้กำลังใจแล้ว ก็จะบิวท์แม่ว่าให้รีบหายจะได้กลับบ้านไปดูละครเพราะแม่ติดละครมาก
“ในช่วงวันแรกๆ ก็จะบอกท่านเสมอ ว่าเดี๋ยวจะคุยและปรึกษากับทางแพทย์ ให้ช่วยกันรักษาให้หายไวๆ ให้ดีที่สุด ไม่ต้องห่วง เพราะทางนี้จะดูแลเรื่องการรักษาให้ดีขึ้น แล้วก็อย่าคิดมาก เวลาไปเยี่ยมในช่วงแรกเขาก็ยังพูดไม่ได้ ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ก็จะไปจับตัวบ้าง หาเรื่องคุยให้เขาหัวเราะหรือยิ้มบ้าง แล้วก็สอบถามอาการว่าวันนี้เป็นยังไง เหนื่อยไหม ได้ทานอะไรไหม
เขาชอบดูละครมาก เป็นแฟนรายการหลายช่องอยู่เหมือนกัน รวมถึงเกมโชว์และรายการร้องเพลงครับ ก็แหย่เขาว่าให้รีบหายจะได้กลับไปดูละคร”
แม่ใจสู้เพราะได้ยินคำพูดของหลานชาย ที่ฟังแล้วทั้งซึ้งและกำลังใจมาเต็ม อีกทั้งอยากอยู่กับแพทนานๆ ให้สมกับที่นับวันเฝ้ารอคอย
“แต่ที่แม่มีความสุขมากที่สุดน่าจะเพราะได้เห็นหน้าหลานมากกว่า เวลามาเยี่ยม เขารักหลานมากครับ น้องเรนก็ขู่ว่าทำแบบนี้ได้ยังไง น้าแพทเพิ่งจะออกมาได้แค่ 2 ปีเอง น้าแพทอุตส่าห์รอยายตั้งนาน เขาก็จะสไตล์นี้ครับ เป็นผู้ชายห้าวๆ หน่อย เขาจะคุยกันแบบนี้ตลอด (หลานเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้แม่กลับมาแข็งแรงเร็วขึ้น?) ใช่ครับ (ส่วนหนึ่งเพราะคุณแม่ก็อยากอยู่กับแพทอีกนานๆ?) ใช่ครับ เขาก็คงสู้ด้วยครับ เขารอวันนี้มานาน ก็คิดว่าอย่างนั้นครับ
แต่ก็ต้องยอมรับในความใจสู้ ใจแข็งของคุณแม่นะครับ ถ้าใครได้เห็นอาการแรกเริ่มตอนที่เข้าห้องฉุกเฉิน ก็เรียกว่าความหวังริบหรี่ครับ เพราะอาการหนักมากจริงๆ แล้วน้ำหนักที่ลดไปหลายกิโลฯมาก เรียกว่าใจสู้ บวกกับทางทีมแพทย์เก่งด้วย แต่สุดท้ายที่สุดเลยก็คือเรื่องของใจที่เขาสู้ สุดท้ายก็ค่อยๆ กลับมาได้ครับ แต่อยู่โรงพยาบาลพักใหญ่เลย น่าจะ 17-18 วันได้ครับ”
ชีวิตต้องเผชิญวิกฤตอีกครั้ง เพราะช่วงที่แม่ป่วยโคม่า เป็นช่วงที่แพทงานเยอะ นอนน้อย และต้องเทียวไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล เป็นช่วงที่ยากลำบากที่ผ่านมาได้
“ช่วงที่คุณแม่ป่วย เราก็งานเยอะด้วย วันหนึ่งก็นอนน้อยมากๆ คืนที่แม่อาการหนักที่ต้องพาไปโรงพยาบาลแถวบ้าน ตั้งแต่ 4-5 ทุ่ม คุณหมอก็ตรวจเบื้องต้น เช็กอาการต่างๆ แล้วก็เรื่องของการวินิจฉัย ก็น่าจะตี 3 ตี 4 กว่าจะเริ่มรู้เรื่อง เราก็ยุ่งและเหนื่อยมาก แล้วอีกวันต้องทำเรื่องการส่งตัวย้ายโรงพยาบาล กว่าจะเสร็จก็น่าจะตี 1 ตี 2 มั้งครับ แล้วผมต้องไปทำงานต่อ เป็นงานวิ่งซึ่งต้องไปถึงงานตี 5 วันนั้นได้นอน 2-3 ชั่วโมงเองมั้ง
ก็เทียวไปเทียวมาที่โรงพยาบาล เราก็พักผ่อนน้อย แต่ก็ต้องทำหน้าที่ตรงนี้ด้วย จนอาการแม่ค่อยๆ ดีขึ้น ทำงานเราก็ต้องรับผิดชอบ แล้วก็ต้องไปมอบความสุขให้กับทุกๆ คนเหมือนเดิม โดยที่เราก็ต้องกองไว้ก่อน ในส่วนของความกังวล แล้วก็ความเหน็ดเหนื่อยที่เราได้รับ ต้องทำหน้าที่มอบความสุขให้กับทุกคนอย่างเต็มที่ อันนี้เป็นอีกหน้าที่หนึ่งของศิลปินครับ ที่ถึงหน้างานแล้วมันก็ต้องไปต่อให้ได้ เพราะทุกคนเขาก็รอเจอเรา อยากเห็นผลงานที่ได้คุณภาพของเรา เราก็ต้องทำให้เขาไม่ผิดหวังด้วย
ในส่วนของเรื่องคุณแม่ก็มีกังวลเล็กน้อยครับ แต่ด้วยความรับผิดชอบและความเข้าใจชีวิตในระดับหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งก็มั่นใจในฝีมือของทีมแพทย์และพยาบาลด้วย พอถึงมือหมอก็คงไม่มีอะไรน่ากังวลครับ ก็เชื่อมั่นตรงนี้ด้วย ก็ต้องขอบคุณทีมแพทย์นะครับ ที่เขาช่วยรักษาคุณแม่ ได้เจอกับผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถ เราก็ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด แล้วคุณแม่ก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ”
แม่ป่วยหนักครั้งนี้ทำให้แพทได้เรียนรู้ว่า เวลาของแต่ละคนมีจำกัด ในวันที่ยังมีโอกาสอยู่ด้วยกันควรพูดสิ่งดีๆ ทำสิ่งดีๆ ให้กันดีกว่า
“เราก็ได้เรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วเวลาของแต่ละคนมีจำกัด ณ วันที่เรายังได้อยู่ด้วยกัน ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ได้คุยกัน ควรที่จะเห็นคุณค่าของกันและกัน ให้เวลากับเขา แล้วก็พูดและทำในสิ่งดีๆ ให้กัน เพราะวันหนึ่งมันอาจจะเป็นวันพรุ่งนี้ หรือในอนาคตเราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วก็ได้ ถ้าวันนั้นเราอยากจะทำอะไรดีๆ ก็คงไม่มีโอกาสแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เราได้คิดด้วยนะครับ เรื่องของคุณพ่อก็เช่นกัน เวลาของท่านน้อยลงเรื่อยๆ ต้องยอมรับว่าอายุท่านก็มากขึ้น ถ้ามีโอกาสที่เราจะใช้เวลาอยู่ร่วมกันมากขึ้น ได้ดูแลใกล้ชิดกันมากขึ้น ก็เป็นเรื่องที่ดีครับ”
ตั้งมั่นว่าชีวิตที่เหลือจากนี้จะดูแลคุณพ่อคุณแม่ให้ดีที่สุด
“จริงๆ เป็นความตั้งใจของเราแต่แรกอยู่แล้ว แต่พอผ่านเหตุการณ์นี้ เราก็อยากจะทำให้ดียิ่งขึ้น แล้วก็พยายามสร้างรอยยิ้ม สร้างเสียงหัวเราะให้ท่านมีความสุขมากขึ้น ตรงนี้ก็ยิ่งตอกย้ำความคิดตรงนี้ให้มากขึ้นครับ”
ในที่สุดเรื่องร้ายๆ ก็ผ่านไป ตอนนี้คุณแม่ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านแล้ว แถมแซวแม่ว่าทำตัวเหมือนไม่เคยป่วยมาก่อน
“คุณแม่ตอนนี้เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ปกติเหมือนเดิม (ยิ้ม) แต่ชีวิตเขาก็ไม่เหมือนเดิมนะ เพราะว่าเรื่องของอาหาร เรื่องการใช้ชีวิต ก็ให้ท่านลงมานอนข้างล่าง ไม่ต้องขึ้นบันได แล้วก็เรื่องของยาที่ต้องกินไปตลอดชีวิต กินยาเยอะ คุมอาหาร กินอาหารรสจัดไม่ได้ ผักบางชนิดก็ไม่สามารถรับประทานได้ แต่ก็ยังมีความสุขเหมือนเดิม ตอนนี้ยิ้มแย้ม แล้วก็เริ่มทำงานเบาๆ ได้ กวาดใบไม้ ล้างอะไรเล็กๆ น้อยๆ ดูละคร ดูรายการเพลง หัวเราะเฮฮาได้ตามปกติ แล้วก็หน้าตาสดชื่นแล้ว สุขภาพจิตดี เขาไม่ค่อยคิดอะไรมากครับ เขาอยู่ได้
สิ่งหนึ่งที่ติดค้างแกไว้ ก็คือวันเกิด แกเกิดช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงที่ป่วยพอดี ช่วงที่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ แล้วก็ยังติดค้างเรื่องการพาไปเลี้ยงวันเกิดด้วย พอกลับมาอยู่บ้าน ก็เลยถามว่าอยากกินอะไร เขาบอกอยากกินสุกี้ยี่ห้อหนึ่ง ก็เลยพาท่านไปกิน แล้วก็ไปรับคุณพ่อด้วย ก็มีความสุข แล้วก็ได้ไปกินในสิ่งที่ท่านอยากกิน ก็เป็นของขวัญให้แม่
เขาเองก็ไม่ต้องการอะไรมาก อะไรที่ตามใจแกได้อย่างเรื่องกิน อีกอย่างหนึ่งก็คงจะตามใจลำบาก เพราะเขาชอบทองมาก (หัวเราะ) มันแพงไป แล้วเวลาขับรถผ่านร้านทองชอบมอง บางวันก็บอกว่าดูข่าวราคาทองขึ้นใหญ่เลย ทองแกมีเยอะแล้ว เราก็บอกว่าจะมีทำไมเยอะแยะ อันตราย”
สบายใจขึ้นที่คุณแม่หายป่วย
“สบายใจแล้ว คือเป็นเรื่องที่เราไม่คาดคิด สำหรับญาติๆ ทุกคนด้วย เพราะอาการตอนแรกที่เห็นคือหนักมาก แล้วก็ใส่ท่อระโยงระยางเต็มไปหมด มีเครื่องช่วยเยอะมากๆ แล้วก็ดูไม่น่าจะฟื้นกลับมาได้เร็วขนาดนี้ แกกลับมาได้เร็วขนาดนี้ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ บางคนในครอบครัวเขาบอกว่าท่านเป็นแมว 9 ชีวิต
ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรน่ากังวล ก็ต้องควบคุมอาหารให้ดี แล้วก็ต้องวัดความดัน วัดค่าต่างๆ ที่คุณหมอสั่ง ที่บ้านก็จะมีเครื่องวัดความดันด้วย ทุกอย่างดีครับ ดีมากเลยตอนนี้ เสียงแจ๋ว แรงเยอะครับ”
แม่ป่วยครั้งนี้ทำให้แพทเป็นห่วงคุณพ่อมาก ตั้งใจจะซื้อบ้านเพื่อให้พ่อมาอยู่ด้วย จะได้ดูแลอย่างเต็มที่
“อยากให้คุณพ่อมาอยู่ด้วย ก็เป็นความคิดมาตั้งนานแล้ว วันหนึ่งเมื่อพร้อมก็อยากจะทำให้สำเร็จครับ ถ้าเป็นไปได้ถ้าคุณพ่อได้มาอยู่ด้วยกันก็จะดีครับ ก็เป็นช่วงเวลาที่ได้ทำหน้าที่ลูกชายอย่างที่ตั้งใจไว้แล้วครับ (มีความคิดที่จะซื้อบ้าน?) จริงๆ แล้วความคิดนี้ก็มีมาตั้งนานแล้ว เพราะว่าเราก็อายุมากขึ้นแล้ว ก็อยากจะสร้างความมั่นคงให้กับตัวเองด้วย เราก็อยากจะให้ครอบครัว คุณพ่อคุณแม่มาอยู่ด้วย
ตอนนี้คุณพ่ออยู่ที่บ้านเดิม เวลาไปเยี่ยมท่าน หรือรับท่านไปทานอาหารด้วยกัน ก็ต้องใช้เวลาในการเดินทาง บางทีงานเราก็ยุ่ง ทำให้จัดสรรเวลาไปเจอกับท่านได้บ่อยๆ ลำบาก การที่ได้อยู่ใกล้ๆ กัน ก็จะมีเวลาดูแลท่านมากขึ้น เพราะคุณพ่อก็อายุมากขึ้นทุกวัน ในยามที่เจ็บป่วย เราจะได้ดูแลท่านได้สะดวกและทันท่วงที ก็เป็นอีกหนึ่งความเป็นห่วง สำหรับระยะเวลาที่ไกลกัน ถ้าได้มาอยู่ด้วยกันก็จะแก้ปัญหาตรงนี้ได้ แล้วก็น่าจะทำให้ท่านมีความสุขมากขึ้นครับ (ภายในปีนี้ไหม?) ก็ต้องดูจังหวะชีวิตอีกทีนะครับ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้เร็วที่สุดครับ แล้วตอนนี้คุณพ่อยังไม่ทราบครับ ยังไม่ได้แจ้งตรงนี้เลย ท่านน่าจะทราบจากที่เคยให้สัมภาษณ์ไปก่อนหน้านี้ครับ
อีกเหตุผลนึงที่อยากซื้อบ้าน เพราะเราก็มีแผนที่จะทำห้องซ้อม ห้องอัด ห้องทำงาน ทำห้องไลฟ์สตรีมมิ่ง ก็เกี่ยวกับงานที่เราทำในปัจจุบันนี่แหละ ถ้าทุกอย่างรวมอยู่ในที่นี่ที่เดียวก็จะสะดวก ประหยัดเรื่องของเวลาการเดินทาง ครอบครัวได้พร้อมหน้า เพื่อนๆ ได้มาร่วมทำงานในสถานที่ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น มีธรรมชาติ มีสัตว์เลี้ยงให้ชมด้วย ทั้งปลา เต่า นกครับ”