“โอ๊ต วรวุฒิ” ยุติสถานะสามี-ภรรยา กับ “จีน่า” เพราะอายุ-เป้าหมายชีวิตที่สวนทางกัน ยังอยู่บ้านเดียวกัน ทำหน้าที่พ่อแม่ปกติ ร้องไห้ช็อตลูกจับมือพ่อแม่อยากให้นอนด้วยกัน ลูก 10 ขวบ ค่อยบอกความจริง ลั่นไม่ได้จดทะเบียนตั้งแต่แรก แย้มอดีตภรรยามีคนคุยแล้ว แต่ไร้ปัญหา
หลังจากมีข่าวออกมาว่านักแสดงรุ่นใหญ่ “โอ๊ต วรวุฒิ นิยมทรัพย์” ได้ยุติความสัมพันธ์กับ “จีน่า อันนา”ในฐานะสามีภรรยากันแล้ว โดยแม้จะเลิกกันแต่ยังอยู่บ้านเดียวกัน แต่อยู่คนละห้อง และยังทำหน้าที่พ่อแม่อยู่ โดยทั้งคู่ยังโพสต์ภาพคู่ และอัดคลิปติ๊กต๊อกด้วยกันใช้ชีวิตปกติ ซึ่ง โอ๊ต วรวุฒิ ได้เปิดใจครั้งแรกกับรายการคุยแซ่บshow ช่องOne31 ถึงสถานะความสัมพันธ์กับ จีน่า เหลือเพียงหน้าที่พ่อ และแม่ของลูกเท่านั้น
ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าพี่โอ๊ตและภรรยาได้ยุติความสัมพันธ์ในฐานะ สามี-ภรรยา แล้ว ณ ตอนนี้สถานะคืออะไร?
“เป็นพ่อและแม่ของลูก”
เห็นข่าวมาสักพักแล้ว แต่ก็ยังถ่ายรูปด้วยกันลงไอจี เต้นติ๊กต๊อกเป็นครอบครัวอยู่ ก็คิดว่ามันคงเป็นข่าวเฉยๆ แต่มันคือเรื่องจริง?
“ต้องยอมรับว่ามันคือเรื่องจริงครับ จริงๆ ข่าวออกพฤษภาคม แต่เราเริ่มที่จะคุยกันจริงจังมากขึ้น แล้วสรุปของเราตั้งแต่เดือนมีนาคม ปีที่แล้ว ก็ 1 ปีแล้วครับ”
วันที่เราทั้งคู่ตัดสินใจจะให้อิสระกันและกัน วันนั้นอารมณ์มันเป็นยังไง ทะเลาะไหม?
“ผมออกตัวนิดนึง การที่คุยวันนี้มันอาจจะมีผลกระทบถึงบุคคลอื่นที่ไม่ได้มานั่งคุยกับเราในวันนี้ อันนี้เป็นเหตุผลในทางของผมฝ่ายเดียว ซึ่งผมคุยกับทางคุณจีน่าแล้วว่า โอเควันนี้เรามาออกรายการ เราจะคุยประมาณนี้ ได้แค่ไหนผมตอบแค่นั้นจะตอบเท่าที่จะตอบได้ บรรยากาศในการคุยวันนั้นเป็นการคุยปกติธรรมดา ใช้สติในการคุยกัน คุยแบบเป็นเพื่อนกันไม่ได้ทะเลาะกัน ในการยุติความสัมพันธ์คิดว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราเองและตัวลูกด้วย”
เหตุผลหลักในการคืนอิสระให้กับอีกฝ่ายคืออะไร?
“จริงๆ มันไม่ได้มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูกในการที่เราจะมองเป้าหมายในชีวิตของเรา ต่างคนต่างมีทางของตัวเองเราคิดว่าตรงนี้เป้าของเรายังต่างกันอยู่ เขาก็ยังมีเวย์ของเขาอยู่ เราก็มีเวย์ของเรา เวย์ของเราอาจไม่ได้หวือหวาเหมือนกับที่เขาตั้งเป้าในทางเดินของเขาไว้ มันก็เลยสวนทางกันในการดำเนินชีวิต เลิกกันแบบนี้ก็เลยง่ายกว่า”
มันเป็นเรื่องความห่างของอายุด้วยไหม?
“จะบอกว่าไม่สำคัญเลยไม่ได้นะ มันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะว่าในช่วงที่เราอายุวัยเดียวกับเขา เราก็คิดเหมือนกับเขานี่แหละ เราอยากไปให้สุดในเส้นทางของเรา มันห้ามไม่ได้ พอมันมาถึงอายุที่มากขึ้น 50 กว่า มันรู้สึกว่าทางเรามันลงเขาแล้ว มันเริ่มหาจุดสงบแล้ว มีความสุขแบบนิ่งๆ มันก็เลยสวนทางกัน ทางขึ้น กับทางลง แต่ว่าสิ่งนี้ไม่มีใครผิด ใครถูก ปีนี้ผม 52 ถ้าเขาอายุน้อยกว่า 21 ปี”
วันนั้นของเดือนมีนาคมปีที่แล้ว บทสรุปคือ?
“เราลดสถานะของการเป็นสามี ภรรยา แล้วมาเป็นพ่อกับแม่ของลูก แต่เราก็ยังอยู่บ้านเดียวกัน เราแยกห้องนอนกัน คือต้องบอกว่าเราแยกห้องนอนกันมานานแล้วด้วย พอนอนด้วยกันเขาไม่สบายตัว ที่นอนมันพอดีเกินไปก็แยกไปอยู่อีกห้องก่อนหน้านั้นนานแล้ว แล้วที่มาคุยกันก็คือเรื่องการแยกห้องนอนในสถานะที่มันเปลี่ยนไปเราไม่ได้จดทะเบียนสมรสตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว แค่จัดงานเฉยๆ ที่เราไม่ได้จดทะเบียนสมรส เพราะด้วยเราทำธุรกิจ กลัวผลกระทบที่จะตามมาในอนาคต ซึ่งคนที่ทำธุรกิจมีความไม่แน่ ไม่นอน ก็กลัวมีผลในภายหลังก็เลยไม่เลือกที่จะจดทะเบียนสมรสกัน”
อยู่บ้านเดียวกัน ต้องปรับตัวยังไง เพราะว่ามันต้องเจอกันทุกวัน ตลอด 5 ปีที่แต่งงานมาเขาคือภรรยา แต่พอวันที่แยกกันแล้ว?
“เขาคือเพื่อน แล้วเป็นแม่ของลูก ยังมีความเอื้ออาทร มีความห่วงใยกันในฐานะเพื่อนแล้วก็แม่ของลูกด้วย ฉะนั้นเวลาทำอะไรไปไม่ได้แค่เฉพาะความรู้สึกของเราคนเดียว ต้องแคร์ความรู้สึกของลูกด้วยอีก 2 คนนั่งมองอยู่ เราใช้พื้นที่ส่วนกลางร่วมกัน พื้นที่ส่วนตัวก็แยกห้องนอน ยังไปไหน ทำกิจกรรมทุกอย่างปกติเหมือนเดิม ลูกสองคนนอนกับพ่อทุกคืน พ่อติดลูกด้วย ติดกล่อมลูก ติดนอน เขาจะนอนตรงแขนพ่อ”
พอเราอยู่ด้วยกันเข้าใจแหละว่าแยกห้อง พอเราทำอะไรด้วยกันลูกเขารู้ไหม?
“โอเลิฟมีพูดได้บ้าง แบบอยากให้แม่นอนตรงนี้ ให้พ่อนอนตรงนี้ แล้วลาฟกับเลิฟก็นอนตรงนี้ อันนี้มันเป็นคำที่บางทีก็สะเทือนใจเรา บางทีเลิฟจับมือพ่อกับแม่มาแล้วบอกว่า เลิฟอยากเห็นพ่อกับแม่รักกัน แล้วเลิฟจะมีความสุข เราก็น้ำตาไหล มองหน้ากันกับคุณจีน่า ซึ่งมันก็สะเทือนใจ เราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ข้างใน แต่ว่าในหน้าที่ของการเป็นพ่อเป็นแม่ เราพยายามทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เมื่อถึงวันนึงที่มันสมควร หรือดูวุฒิภาวะที่มันไม่กระทบกับเขามากเราจะพูดความจริงกับเขา เราจะค่อยๆ บอก ตอนนี้เรากำลังดูเขาอยู่ว่ามันเหมาะสมแค่ไหน ก็มองไว้สัก 10 ขวบถึงค่อยบอก แต่ว่าตอนนี้เราพยายามสร้างบรรยากาศในครอบครัวให้มันดูปกติที่สุด”
ไปไหนก็ยังไปด้วยกันอยู่ ล่าสุดยังไปงานแต่งงานด้วยกัน?
“ใช่ ยังไปด้วยกัน ก็ปกติเราเป็นเพื่อนกัน ความสัมพันธ์ทุกอย่างก็ปกติก็ยังดูแลกันในครอบครัว มันแค่แยกสถานะของความเป็นส่วนตัวออกไปแล้วลดสถานะของความเป็นสามี ภรรยา มันสบายใจกว่า หมายถึงว่าเราไม่ต้องคาดหวังในเรื่องส่วนตัวของเขา ในบางสิ่ง บางอย่างที่เราคาดหวังแล้วไม่เป็นอย่างที่เราคิด เรื่องพวกนี้ตัดทิ้งไปได้เลย เพราะว่าเขาก็สามารถใช้ชีวิตเขาได้เต็มที่ในส่วนของเขา เราก็สามารถใช้ชีวิตในส่วนของเราได้ แล้วมีหน้าที่ร่วมกันคือรับผิดชอบในเรื่องของลูก”
มีบางวันที่อยากจะรู้ไหมว่าเขาคุยกับใครไหม คบกับใครไหม หรือไม่เลย?
“เฉยๆ เราปล่อยชีวิตให้เขาอิสระเลย ก็มีพอรู้อยู่บ้างแหละ เขาไม่ได้ปิด แต่ไม่ได้มีผลกระทบต่อลูกไง โฟกัสของผมตอนนี้หลักๆ เลย คือความรู้สึกของลูก แต่ก่อนยังมีความรู้สึกของตัวเองบ้างนะ อยากมีโน่น อยากไปนี่ อยากอะไรต่ออะไร แต่ตอนนี้ไม่มีเลย ความรู้สึกของตัวเองคือลูกอย่างเดียวเป็นที่ตั้งเลย”
แบ่งเวลาในการดูแลลูกๆ ยังไง?
“ตอนนี้เวลางานประจำของผม คือ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี อาจจะมีเลยไปวันศุกร์บ้าง แต่ไม่ประจำ เวลานี้เขาก็จะช่วยดูแลลูก ตอนเช้าไปโรงเรียน แต่ว่าเราจะมีแม่บ้านด้วยมาคอยซัปพอร์ตอีกทีนึง พอ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ก็จะเป็นของเราฟลูไทม์เต็มที่เลย ออกต่างจังหวัดไปหาคุณย่าบ้าง ไปทำกิจกรรมบ้าง ลุยจักรยานอยู่ท้ายรถเรียบร้อย ปั่นเขาชอบอะไรลุยๆ”
ไปส่งลูกๆ ที่โรงเรียนทำไมเราต้องร้องไห้?
“คิดถึง แต่ก่อนเราเป็นผู้ชายใจแข็งไม่ค่อยร้องไห้นะกับสถานการณ์ต่างๆ แต่พอมาเจอเรื่องลูกมันเซนซิทีฟ แค่อ่านข่าวเด็กคนอื่นแล้วคิดถึงลูกก็ร้องไห้ (ดูรักลูกมาก แต่ทำไมมีลูกช้าสุดในกลุ่ม?) นั่นนะสิ คือไม่เคยคิดจะมีลูก หมายถึงว่าคนที่เป็นครอบครัวเราแต่ก่อน เราเคยคิดจะมีลูกด้วยกัน แต่พอมันอายุเยอะ ความต้องการมันหายไป เราเคยคิดจะมีลูกตั้งแต่อายุ 20 ปลายๆ พอมันผ่าน 30 กว่า 40 กว่า มันไม่อยากมีแล้ว แต่พอมาเจอคนที่เขาก็อยากมี มันก็เลยจุดประกาย ก็เอาสิ เผื่อได้ ทีแรกคิดว่าจะเอาแค่ผู้หญิงคนเดียวพอ พอผู้ชายมาก็จะเอาเด็กผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้ ตอนนี้แฮปปี้มากครับ แต่ก่อนไม่มีความคิดเลย เวลามีลูกมันเหนื่อยก็จริงนะแต่มันจะมีความสุขขนาดนี้”
วันที่ต้องบอกลูก เตรียมประโยคไว้ไหม?
“ตอนนี้เตรียมโรงเรียนไว้ให้ลูกในอนาคตว่าสักวันนึงเราจะส่งลูกไปเรียนโรงเรียนที่ไหน แล้วเราจะคุยกับลูกยังไง แล้วเราจะคุยกับลูกเรื่องของสถานะพ่อกับแม่ได้ตอนไหน แค่ไหน ก็มีเตรียมๆ ไว้ แต่ไม่ได้วางแผนอะไรมากมาย แค่ดูความแข็งแรงของเขาก่อนว่าเราสามารถคุยกับเขาได้แค่ไหน”
สิ่งที่ดีกว่านั้นคือเราอยู่ด้วยกันแล้วเขาเห็นว่าเรารักกัน หมายถึง พ่อ แม่ รักกัน ไม่ได้ทะเลาะกัน บางบ้านไม่ได้เลิกกันแต่ทะเลาะกันทุกวัน อันนั้นรู้สึกแย่กว่า?
“บรรยากาศของการอยู่ร่วมกัน บรรยากาศที่เขาอยู่กับเราด้วยมันสำคัญมาก”
ณ วันนี้โสด พ่อลูก2 ?
“ครับผม”
ยังมองหาความรักอยู่ไหม?
“จริงๆ ไม่เคยเข็ดนะ ไม่เคยเข็ดเรื่องความรักเลยนะ อยากมีความรักตลอดเวลา ความรักมันเป็นสิ่งที่ดี สวยงามอยากมีความรักแบบชีวิตคู่ ลุง ป้า มีความรักแบบคนที่เป็นเพื่อนกัน อยากมีมาก แต่มีไม่ได้ ติดเรื่องลูกยังเล็กอยู่ อย่าคิดว่ามีแฟนเลยนะ ตอนนี้คนคุยยังไม่มีเลย เราคิดว่าเรายังไม่พร้อม หน้าตาไม่เกี่ยวแล้ว ขอคนที่คุยด้วยแล้วสบายใจ อยู่ในทิศทางเดียวกัน อายุเยอะหน่อยก็ดี มันมั่นคงมากกว่า สัก 35 ขึ้น”
คิดว่าจะให้เวลาในความเป็นโสดของตัวเองเท่าไหร่?
“อีกสัก 5 ปี แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรนะ ถ้าไม่มีคนที่อยู่ด้วยกันแล้วมันมีความสุขจริงๆ หรือไม่ได้อยู่ในความคิดความต้องการใกล้เคียงกันก็ไม่เอานะ เพราะไม่อยากเป็นทุกข์”
อีก 5 ปีน้องเขาโตขึ้นแล้ว มันมีโอกาสที่จะกลับมารีเทิร์นไหม?
“ในอนาคตพูดไม่ได้เลย แต่ในปัจจุบันเราคิดว่าเราอยู่แบบนี้เราสบายใจกว่า”