“โขม ก้องเกียรติ” ช็อกและเสียใจ ถูกลดรอบหนัง ลั่นทำหนังกว่า 20 เรื่องไม่เคยถูกดึงออกจากโรงตั้งแต่อาทิตย์แรก น้อยใจก็เลยบ่น แต่ไม่ได้มีปัญหาระหว่างหนังกับหนัง หรือหนังกับโรงหนัง พร้อมโต้ครหาสร้างกระแสดรามาพีอาร์หนังขุนพันธ์ 3 ออกตัวไม่ใช่วิธีฉลาด
กรณีภาพยนตร์ “ขุนพันธ์ 3” มีกระแสดรามาถูกตัดโอกาสฉาย หลังจากที่โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ มีการลดราคาตั๋วหนังเรื่อง “ทิดน้อย” ทั้งยังจัดรอบและจำนวนโรงฉายเยอะกว่า ทั้งที่ทิดน้อยเข้าฉายตั้งแต่ 25 ม.ค. 66 ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำเอาสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ได้ส่งจดหมายเปิดผนึก ในเรื่องความไม่เป็นธรรมของการฉายหนังไทยดังกล่าว
ขณะที่ “โขม ก้องเกียรติ โขมศิริ” ในฐานะผู้กำกับขุนพันธ์ 3 ก็โพสต์ซัดแรงว่าเกมนี้มันห่วยและเสล่อ อย่าอ้างเกมธุรกิจ ล่าสุดผู้สื่อข่าวมีโอกาสเจอตัวโขม ก้องเกียรติ ในงานบวงสรวงรีส์วาย “The Promise สัญญาไม่ลืม” ณ ลานพระพิฆเนศ หน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เจ้าตัวเผยที่โพสต์ไปเป็นความรู้สึกน้อยใจ เหมือนบ่นๆ เท่านั้น ไม่ได้มีปัญหาระหว่างหนังกับหนัง หรือหนังกับโรง แต่ตอนที่ถูกดึงออกจากโรงก็ช็อกจริง
“จริงๆ ก็ไม่มีอะไรใหม่ไปกว่า 3-4 วันนี้ที่ให้สัมภาษณ์ไปนะครับ มันก็คือความรู้สึกน้อยใจ ผมก็แค่รู้สึกว่าคนเราเสียใจก็มีสิทธิร้องไห้ มีสิทธิบ่นอะไรบางอย่าง แล้วก็ไม่ได้จะมาเรียกร้องความสนใจหรือทำมาเป็นดรามา เพราะว่างานของเรามันเสร็จไปแล้ว ต่อให้ขายได้หรือขายไม่ได้ มันก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย แต่เราทำมันมาเราก็อยากให้มันมีพื้นที่แค่นั้นแหละ จริงๆ แล้วระหว่าง 3 วันมานี้เราก็คุยกันอยู่กับสื่อ ก็อยากให้สื่อไปคุยกับคนที่เขารับผิดชอบเรื่องนี้จริงๆ เพราะคุยกับผมมันก็ปลายทาง ในฐานะคนทำมันก็ได้เท่านี้แหละ ก็กลัวว่าเดี๋ยวจะเข้าใจกันไปผิดๆ ว่าอยากจะทำให้มันเป็นดรามาระหว่างหนังกับหนังหรือเปล่า หรือว่าผมกับโรงมีปัญหากันเหรอ มันไม่ใช่ จริงๆ ก็แค่ใครอยู่ตรงนี้ก็ทำ ก็จะบ่นแบบนี้แหละ แต่คนก็อาจจะตีความผิดไปเรื่อยๆ
เรื่องขั้นตอนการเอาหนังเข้าโรงภาพยนตร์ มีเงื่อนไขยังไงบ้าง อันนี้ผมไม่ทราบเลย ในแง่ของผู้กำกับผมถึงอยากให้นักข่าวไปคุยกับโรง ไปคุยกับคนที่เขาทราบจริงๆ อันนี้ผมตอบไม่ได้ เพราะผู้กำกับไม่ได้มีสัดส่วนในเรื่องการเอาไปขายโรงกี่วันๆ ไม่รู้เรื่องเลยครับ ถามว่าอยากให้เขาทำยังไง คือมันเป็นเรื่องใหญ่แล้วนะ มันเป็นเรื่องใหญ่เกินตัวเราแล้ว สิ่งที่เราทำ หรือความรู้สึกของเราก็ทำไปแล้ว หลังจากนี้ก็คงให้ผู้ใหญ่ได้คุยกัน หารือกัน ทางโรงหนังกับทางสตูดิโอ ทางสหมงคลฯ ได้คุยกันว่าจะหาทางออกยังไงที่มันจะไม่เกิดกรณีแบบนี้ขึ้นอีก”
ลั่นไม่มีความคืบหน้า ก็อยู่ในจุดที่แล้วแต่แล้วกัน
“ไม่มีครับ โรงก็เหมือนเดิมครับ แต่เราก็อยู่ในจุดที่แล้วแต่แล้วกัน เราก็ทำเต็มที่แล้ว เรารู้สึกว่าหนังมันก็ทำงานของมันเต็มที่แล้ว วันนี้มันก็ 50 ล้านเท่าที่โรงมันมี ผมว่าขุนพันธุ์ 3 ก็สู้แล้วแหละ เราก็ทำงานแล้ว ในฐานะคนทำงานคนนึงเราก็ไม่อาย ส่วนคนดูจะชอบไม่ชอบอันนี้มันรสนิยมส่วนตัวอยู่แล้ว
เชื่อว่าถ้ารอบหนังมากกว่านี้ หนังน่าจะไปได้ไกลกว่านี้ มันก็เป็นปกติ ถ้ามีรอบฉายมากขึ้นมันก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะได้โชว์ จริงๆ ความรู้สึกผมหนังก็เหมือนลูกสาวผม แล้วไปคุยกับโรงเรียน โรงเรียนบอกว่าจะมีโชว์ เราก็ซ้อมกันมาปีนึง ลูกสาวผมก็ตื่นเต้น แต่พอขึ้นโชว์จริงๆ ให้โชว์ 2 นาทีอย่างนี้ มันก็แค่ความรู้สึกเหมือนพ่อคนนึงที่รักลูก ก็ได้แต่นั่งบ่น แต่ผมก็ไม่รู้จะไปบ่นใคร บ่นผอ.เหรอ บ่นโรงเรียนเหรอ บ่นค่าไฟ ค่าน้ำเหรอ อันนี้ไม่รู้”
สมาคมฯ ยื่นหนังสือทักท้วงไปแล้ว
“ก็คุยกันผ่านสมาคมฯ ครับ ทางสมาคมฯ เขายื่นหนังสือไป คือเรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับใครมันก็ไม่ดี ไม่น่าจะมีใครแฮปปี้ ส่วนใหญ่คุยกันก็ให้กำลังใจกัน สู้ๆ นะ”
เสียใจแต่ไม่บั่นทอน
“มันก็เสียใจนะ แต่ไม่ได้บั่นทอนนะ ผมทำหนังมา 20 กว่าเรื่องแล้ว เรื่องแบบนี้เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เราก็ยังทำต่อไป อย่าง The promiss วันนี้ก็เป็นงานของบริษัท ก้องเกียรติ โปรดักชั่น ก็ยังผลิตงานอีกเยอะ คือหน้าที่คนทำก็ทำให้ดีที่สุดแหละครับ ทำให้คนดูรักเราที่สุด ทีนี้ส่วนธุรกิจก็เป็นเรื่องของธุรกิจให้เขาคุยกัน
ก็คุยกับนักแสดง กับทีมงานอยู่เรื่อยๆ อยู่แล้ว ส่วนใหญ่ก็ให้กำลังใจกัน พร้อมจะลุยกัน ยังคิดถึงกัน เพราะหนังเรื่องนี้มันมีเมมโมรี่ ความรู้สึกดีๆ ของคนทำงาน เพราะมันเหนื่อยกันมา แล้วพอทุกคนเจอสถานการณ์อย่างนี้ ก็รู้แหละว่าข้างในเขารู้สึกยังไง แต่ก็ได้ท้อนะ ไม่มีใครท้อแล้ว เลิกแล้ว เรื่องนี้ไม่น่าห่วงหรอก น่าห่วงรุ่นเด็กๆ ที่จบฟิล์มอะไรกันมาใหม่ๆ ถ้ามาเจอสถานการณ์แบบนี้ อย่างที่บอกว่าถ้าบางทีรัฐบาลหรือคนที่เกี่ยวข้องก็อยากให้เขามาคุยกัน”
ลั่นทำหนัง 20 เรื่องไม่เคยถูกดึงออกจากโรงตั้งแต่อาทิตย์แรก
“จริงๆ แล้วถ้ามันสัก 2 อาทิตย์แล้วออกจากโรงมันก็โอเค ผมทำหนังมา 20 กว่าเรื่องไม่เคยถูกดึงออกตั้งแต่อาทิตย์แรกนะ นี่กลางอาทิตย์ด้วย คือมันลดโรงลงไปแบบตกใจ ก็อย่างที่เราเห็นตามข่าวแหละครับ เราไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน แต่เคยเห็นหนังบางเรื่องโดน มันก็เกิดการเอาไปเปรียบเทียบกัน แต่มันต่างกรรมต่างวาระ หนังเรื่องนี้มันมีทีท่าว่ากระแสดีไง แต่ทำไมมันถูกลด ก็ลองคำนวณค่าเงินดูสิ ถ้าตั๋วใบละ 150 แล้วโรงครึ่งนึง เจ้าของครึ่งนึง แล้วคนดูขนาดนี้ มันก็ยังได้ตังค์นะ แต่ทำไมถึงลด ในแง่ธุรกิจก็คงต้องไปคุยกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงลด ส่วนเรื่องลดราคามันก็เป็นสิทธิของเขาแหละ แต่พอมันมาชนกัน เศรษฐกิจแบบนี้คนก็ต้องเลือกของถูก คนดูก็ไม่ผิด แต่แค่พื้นที่ของเรามันถูกลดลงไปก็น่าเสียดาย”
คาดไม่ถึงจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ โต้คำครหาพีอาร์หนัง ยันไม่คุ้มกันที่จะทำแบบนี้ ไม่ใช่วิธีพีอาร์ที่ฉลาด
“ใช่ คาดไม่ถึงเลยครับ ก็ต้องไปหาว่าต้นตอมันมาจากไหนกันแน่ ที่โปรโมตว่าจะฉายบางภาค แล้วอยู่ดีๆ ก็ไม่ฉาย วันนั้นรู้ข่าวก็เลยค่อนข้างช็อก ก็เสียใจแหละ เราก็ระบายในพื้นที่เราแค่นั้นเอง จริงๆ ไม่ได้มีปัญหากับหนัง แต่ฟีดแบ็กก็เข้ามาถล่มประมาณว่าเรามาเรียกร้องความสนใจ ก็พยายามจะอธิบายไปว่ามันไม่ใช่ ไม่ได้มาเรียกร้องความสนใจ ไม่ได้มาขายหนัง ไม่ได้มาพีอาร์ แค่น้อยใจ ไม่ต้องสนใจก็ได้ ไม่เป็นไร เขาว่าผมออกมาพีอาร์หนัง คือมันคนละเรื่องกันเลยครับ คนละความรู้สึกกันเลย ไม่คุ้มเลย ให้พีอาร์เขาทำงานไป ผมไม่ต้องออกมานั่งทำแบบนี้หรอก มันไม่คุ้มด้วย มันไม่ใช่วิธีพีอาร์ที่ฉลาดสำหรับผมนะ เราแค่ออกมาบ่นๆ แค่นั้น คือเรารักมันน่ะ เราก็แค่รู้สึก”
ขอจัดเรตติ้งหนังให้เหมาะสม บอกคนทำหนังเหนื่อย
“ก็ต้องอยู่ที่ความเหมาะสมครับ คือเรตติ้งเนี่ยมันมีอยู่แล้วแหละ แต่มันเกินว่าเหตุไหม อันนี้ก็ยื่นเรื่องไปว่ามันอยู่ในจุดที่เกินกว่าเหตุไหม ให้หนังมันพิสูจน์แล้วกัน แต่เชื่อเถอะว่าสถานการณ์หนังไทยตอนนี้มันแย่แล้วล่ะ สมมติเราหวังจะไปพึ่งผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เอกชนก็แบบนึง ผู้ใหญ่ที่เป็นรัฐบาลก็เป็นอีกแบบ จริงๆ มองง่ายๆ ไม่ต้องลึกซึ้งอะไรเราก็ประเมินได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น คนทำหนังก็เหนื่อย
อย่างเรื่องหุ่นพยนต์ คือทุกคนที่ไปดูหนังก็พูดกันหมดว่ามันไม่ได้รุนแรงอะไรขนาดนั้น แต่อันนี้ก็เหมือนกัน ต้องไปคุยกับผู้ใหญ่ ว่าทำไมคณะกรรมการเขาถึงคิดอย่างนั้น ต้องไปเอาคำตอบจากเขา เวลาเขาจัดเรตมันก็มีอยู่แล้วแหละกับหนัง ถ้าโดน 20+ โดยที่ทาร์เก็ตเป็นวัยรุ่น วัยรุ่นก็เข้าดูไม่ได้ หรือดูแล้วต้องตรวจบัตร มันก็น่าจะมีเอฟเฟกต์”