xs
xsm
sm
md
lg

“ปราบต์” แฉ! ถูกตบทรัพย์ 10 ล้าน พอไม่จ่ายเจอคดีฟอกเงิน Forex-3D

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ปราบต์ ปราปต์ปฎล” หอบหลักฐานยื่น DSI แฉ ทนาย ฮ. อ้างเป็นที่ปรึกษาเลขารมว. ตบทรัพย์หลัก 10 ล้าน แลกช่วย “จิ๊กกี๋” พ้นคดี Forex-3D อ้างเป็นค่าความยุติธรรม

หลังนักแสดงรุ่นใหญ่ “ปราบต์ ปราปต์ปฎล สุวรรณบาง” ถูกแจ้งข้อหาฟอกเงิน จนสูญเสียรายได้จากงานในวงการบันเทิง ไปเกินกว่า 5 ล้านบาท ล่าสุดวันนี้ (7 มี.ค. 66) เจ้าตัวก็ขอประกาศท้าชน โดยนัดสื่อมวลชน ไปที่สำนักงานดีเอสไอ ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ เพื่อแฉข้อมูลลับว่า มีขบวนการตบทรัพย์ เรียกเก็บเงินค่าความยุติธรรม โดยเผยว่ามีทนาย ฮ. อ้างตัวว่าเป็นที่ปรึกษาของเลขาฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มาเสนอให้จ่ายเงินหลัก 10 ล้านบาท บอกว่าเป็นค่าความยุติธรรม เพื่อแลกกับการช่วยเหลือทางคดีของ “จิ๊กกี๋ ชนกวนันท์ สีลุน” แฟนสาว

ซึ่งหลังจากได้ทราบจำนวนเงิน ก็ถึงกับอึ้ง และไม่ได้ตอบตกลงอะไร เพราะทั้งชีวิตไม่เคยหาเงินได้ขนาดนั้น และถึงมีก็จะไม่จ่ายให้กับการคอรัปชั่นเด็ดขาด แต่หลังจากวันนั้นไม่นาน กลับถูกแจ้งข้อหาฟอกเงิน ทั้งๆ ที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวย้ำกับสื่อตลอด ว่าดารา ป. ไม่เกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงประชาชนในธุรกิจ Forex-3D เลยเกิดเป็นข้อสงสัย ว่าเป็นเพราะไม่ยอมจ่ายค่าความยุติธรรมวันนั้นหรือเปล่า เลยต้องกลายเป็นผู้ต้องหา “คดีฟอกเงิน” และวันนี้ได้นำหลักฐานแชตไลน์ มาให้ดีเอสไอตรวจสอบด้วย ว่ามีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่

“วันนี้ที่ผมมาที่ตึกดีเอสไอ วันนี้มายื่นหนังสือขอทราบความคืบหน้าคดีฐานความผิดร่วมกันฟอกเงิน ที่ทางดีเอสไอ ได้แจ้งข้อกล่าวหาผมไว้ ซึ่งผมได้รับทราบข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ที่ผ่านมา ณ เวลานี้ก็ 5 เดือนกว่าแล้วที่ยังไม่มีความคืบหน้าว่าคดีไปถึงไหน เพราะใน 5 เดือนที่ผ่านมาผมได้รับผลกระทบกับชีวิตอย่างหนัก หน้าที่การงานพังหมด ชีวิตพัง เมื่อมีการกล่าวหาผมเกิดขึ้น ในวันที่ 5 ทางดีเอสไอ ได้บอกให้ผมทำหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหาแล้วนำส่งดีเอาไอภายใน 15 วัน ผมก็ดำเนินไปตามนั้นเรียบร้อย”

“สื่อมวลชนคงจะได้ทราบกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นท่านเลขารัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม แล้วก็ทางอธิบดีดีเอสไอกล่าวย้ำกับผู้สื่อข่าวหลายรอบว่า ดารา ป. ไม่เกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงประชาชนในธุรกิจ Forex-3D เขายืนยันว่าผมไม่เกี่ยวข้อง แต่ผมได้รับการดำเนินคดีแจ้งข้อกล่าวหาคดีฟอกเงิน อันนี้ผมก็งงในเมื่อผมไม่เกี่ยวข้องกับคดีการฉ้อโกงใดๆ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทีนี้ทางเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเขาแจ้งผมว่า เนื่องจากผมได้ทำการเคลื่อนทรัพย์ หรือย้ายรถ ขับรถจากอีกจุดไปอีกจุด เลยทำให้เขาเชื่อว่านั่นคือการนำทรัพย์ไปปกปิดซ่อนเร้น”

“ซึ่งที่มาที่ไปผมก็ได้ชี้แจงแล้ว ว่าการเคลื่อนย้ายมันมีเหตุ ซึ่งการเคลื่อนย้ายทรัพย์ตอนนั้นเป็นทรัพย์ของแฟนผม ตอนนั้นเขายังไม่โดนกล่าวหา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีใดๆ ทั้งสิ้น แต่ปัจจุบันอยู่เรือนจำมา 6 เดือนแล้ว คือรถคันนั้นเป็นเพียงรถที่เขาใช้ในชีวิตประจำวันส่วนตัวของเขา ไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ กับเขา และรถคันนี้ไม่ได้เป็นทรัพย์ที่ถูกตามยึด แต่ที่ผมไปเคลื่อนย้าย เป็นเพราะว่ามีคดีที่สน. สุทธิสาร ก็คือน้องเขาถูกเพื่อนกะเทยคนหนึ่งงัดห้อง นำทรัพย์สินในห้องไป โดยน้องกะเทยนำไปแล้วแจ้งกับแฟนผมไว้ว่า ทรัพย์สินที่เป็นของน้อง ตัวเขาเองถูกอภิรักษ์ฉ้อโกง เพราะฉะนั้นทรัพย์สินที่เป็นของน้อง ควรจะเป็นของเขา ซึ่งผมมองว่าการกระทำแบบนั้นมันไม่ถูกต้อง พอน้องออกจากโรงพยาบาล ผมก็พาน้องไปแจ้งความตามกฎหมาย ทีนี้พอไปแจ้งความ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทำการสอบสวนกะเทยท่านนั้น เขาได้ซัดทอดไปยังเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ”

“วันนั้นผมเองถึงรู้ว่ากระบวนการที่เข้าไปงัดห้อง มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอร่วมด้วยหนึ่งท่าน ก็คือ ผอ. เค พงษธร ที่ผมไปแจ้งความ คือน้องถูกงัดห้องแล้วลักทรัพย์ พอเรารู้จากตำรวจก็เซอร์ไพรส์ เมื่อติดต่อเจ้าหน้าที่นิติ เขาก็บอกว่าผอ. ท่านนี้ได้เข้าไปที่นั้นในแบบปกติ ไม่ได้ไปในหน้าที่หรือแสดงตัว แล้วก็ไม่ได้มีหมายใดๆ เพียงแต่ติดต่อที่นิติแล้วขอขึ้นตึก ในฐานะของเพื่อนกะเทยคนนั้น มันเลยเป็นการนำพาไปสู่การแจ้งคดี 157 เนื่องจากมันตกบันไดพลอยโจร เพราะทุกอย่างเป็นหลักฐานที่กะเทยคนนั้นให้การที่สน.”

“สิ่งที่ผมมาร้องเรียกวันนี้ คือมีเหตุการณ์ที่สอดคล้องไปถึงวันที่น้องถูกดำเนินคดี ต้องเข้าไปอยู่เรือนจำวันที่ 18 ส.ค. คือน้องมีเพื่อนเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เขาบอกว่าสนิทกัน ซึ่งผมไม่รู้จักคนนี้มาก่อน ก็ติดต่อผมมา ว่าเขารู้จักกับที่ปรึกษาของเลขาธิการรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ว่าเขาต้องการจะมาคุยกับผม เพื่อให้ความช่วยเหลือในคดีน้อง ซึ่งตอนนั้นน้องอยู่ในเรือนจำแล้ว ผมพยายามประกันตัวแล้ว แต่ไม่ได้ เขาติดต่อมาประมาณวันที่ 20-21 ส.ค. แล้วนัดเจอกัน แต่ผมย้ำว่าคนที่ติดต่อผม มาคุยกับผม เรื่องการเรียกทรัพย์ครั้งนี้เพื่อช่วยเหลือน้อง เป็นที่ปรึกษาของเลขาท่านนี้ ผมไม่ได้บอกว่าเลขามาเรียกตบทรัพย์ผม หรือมีความเกี่ยวข้องกับรัฐมนตรี ผมเพียงจะบอกว่าคนที่มาเรียกตบทรัพย์ผม เป็นที่ปรึกษาของเลขาท่านนี้ ส่วนท่านเลขาเองหรือรัฐมนตรีจะรู้เห็นหรือรับทราบเรื่องหรือไม่ ผมไม่ทราบ แต่คนที่มาเรียกตบทรัพย์ผม ผมมีหลักฐานว่าเป็นที่ปรึกษาคนนี้ เป็นทนาย ฮ. ซึ่งเราก็เห็นข่าวว่าเขาติดตามเลขา ธ. ไปตลอดอยู่แล้ว”

“แต่สิ่งที่ประจวบเหมาะกันหลายๆ อย่าง ก็คือหลังจากวันที่เรียกตบทรัพย์ ผมอึ้งไป เพราะเป็นยอดเงินที่ผมไม่มีปัญญา ผมทำงานมา 30 ปี อยู่ในวงการบันเทิงมาผมยังไม่มีเงินเก็บขนาดนั้น ทำงานใช้ไปแค่นั้น ผมไม่มีเงินจ่าย ผมก็เลยเงียบไป แต่พอเงียบไปไม่ทันถึงเดือนดี ผมก็ได้รับข้อหาฟอกเงิน นั่นทำให้ผมรู้สึกว่า ทำไมทุกอย่างประจวบเหมาะ ประดังเข้ามาในชีวิตผม ทีนี้เมื่อตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งๆ ที่เรานิ่งเฉยมาตลอด เพราะผมเกรงใจท่านรัฐมนตรี เกรงใจผู้ใหญ่ ว่าจะทำให้เขาเสียหายหรือไม่ เพราะคนติดต่อมาก เราไม่รู้หรอก ว่าท่านรู้หรือไม่รู้ ถ้าเราออกมาปกป้องตัวเอง มันจะไปกระทบท่านหรือไม่ ผมกลัวเลยนิ่ง”

“จนสุดท้ายไม่ไหวจริงๆ มันหลังชนฝา มันเลือดเข้าตาแล้ว ผมโดนขนาดนี้ ผมรู้สึกว่าชีวิตผมพัง หน้าที่การงานพัง ผมไม่มีงานเลย มีแต่งานเก่าๆ งานที่เคยถ่ายละครอาทิตย์หนึ่ง 6-7 เรื่อง ผมมีรายได้เลี้ยงครอบครัวผ่อนบ้าน 2 หลัง รถ 1 คัน ทุกอย่างผมอยู่ในบัญชีของการผ่อนกับไฟแนนซ์กับแบงค์ทั้งนั้น ตรวจสอบได้ทุกอย่าง การปกป้องตัวเองของผมในที่นี้ ผมยังรู้สึกว่าขนาดผมมีปาก มีเสียงดังกว่าชาวบ้าน ผมยังโดนขนาดนี้เลย ผมก็เอาแบบที่ท่านรัฐมนตรีเคยพูด ว่าเมื่อถูกกล่าวหาใดๆ การเงียบเท่ากับการยอมรับ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่ก็ออกมาชี้แจง ผมเลยทำ ตอนนี้ผมออกมาชี้แจง หวังว่าผู้ใหญ่จะเข้าใจว่าทำไมผมต้องออกมา เพราะผมโดนขนาดนี้แล้ว และผมอยากเป็นตัวแทน ให้พี่น้องประชาชนที่ไม่มีทางสู้ด้วย”

มีหลักฐานระบุตัวตนของคนที่มาตบทรัพย์ เป็นแชตไลน์ที่คุยกัน
“มีครับ แต่ผมต้องใช้ในทางคดี ถ้ามันเกิดคดีขึ้น แต่ถ้าสื่ออยากเห็นมาดูกับผมส่วนได้ ผมพร้อมให้ดู เป็นการคุยโดยตรงครับ โดยที่มีเพื่อนของน้องกี๋ พร้อมกับแฟนของเขา สองคนนี้ผมให้อยู่ด้วย เพื่อเป็นพยานในการคุยตรงนั้น ซึ่งผมก็ไม่ปรักปรำต้องคนนี้นะครับ ว่าเป็นนกต่อ ผมว่าเขาก็หวังดีกับเพื่อน เขาคิดว่าเขาได้รู้จัก สามารถที่จะช่วยเพื่อนได้ เลยพาไปรู้จักกับทนายฮ. คนนี้ ผมก็คิดว่าเขาสองคนควรจะนั่งฟังด้วย ว่าทนายฮ. เจรจาอะไรกับผมบ้างในการช่วยเพื่อนเขา เพราะฉะนั้นข้อความทุกอย่างที่ผมมีหลักฐานมา มันได้มาจากเขาสองคนคุยกันนั่นแหละครับ ถามว่าหลักฐานเป็นรูปแบบไหน เป็นแชตไลน์ครับ”

อีกฝ่ายเสนอช่วย “จิ๊กกี๋” โดยการทำสำนวนให้อ่อนลง จนพ้นคดี
“ตอนนั้นที่เขาพูดมาคือ เอาง่ายๆ จะทำสำนวนให้มันอ่อนลง ให้สามารถพ้นคดีได้ ซึ่งผมบอกว่าผมไม่ได้ห่วงเรื่องคดีเลย ผมไม่ได้ห่วงว่าน้องจะต่อสู้ไม่ได้ ผมแค่อยากให้น้องออกมาต่อสู้ ให้มีโอกาสได้ประกันตัวออกมา จะแก้ข้อกล่าวหาได้ก็ต้องออกมาหาหลักฐานไปสู้คดี เอาเขาไปกักขังไว้ในเรือนจำ เขาจะทำยังไงเพื่อจะหาหลักฐาน นั่นคือสิ่งที่ผมเป็นห่วงมากกว่า แต่บางคนที่เขาได้รับการประกันตัวมาแล้วในคดีนี้ ผมก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ควรได้รับการประกันตัว ทุกคนควรได้รับการประกันตัว แต่ทำไมถึงเลือกให้ประกันตัวเป็นบางคน ผมมีความรู้สึกว่า เขาจะให้ประกันตัวมาสู้คดี เขาจะได้มาหาหลักฐาน แบบนี้มันเหมือนจำกัดขีดความสามารถในการรวบรวมพยานหลักฐานของเขา”

โดนเรียกเงินหลักสิบล้าน บอกเป็นราคาของความยุติธรรม
“เป็นยอดที่ผมไม่มีทางหาได้ในชีวิตนี้ ก็หลักสิบล้านครับ เอาง่ายๆ ว่าในการเจรจาครั้งนั้น เขาบอกว่าน้องซวยที่ไปแต่งงานกับผู้ชายคนนั้น ไปเป็นเมียผู้ชายคนนั้น เขาคิดว่าน้องไม่เกี่ยวหรอก แต่ไม่ว่าจะเกี่ยวหรือไม่ จะผิดหรือถูก มันมีราคาของความยุติธรรมอยู่ คำนั้นทำให้ผมแทบร้องไห้ ว่าเราอยู่บนโลกใบนี้ ความยุติธรรมมันต้องใช้เงินเหรอ ทำไมไม่ใช้ความถูกต้อง ไม่ใช้ข้อเท็จจริง เป็นคนดีมันอยู่บนโลกใบนี้ไม่ได้เหรอ นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันโหดร้ายเกินไป”

ไม่รู้เรียกเงินไปให้ใคร บอกแค่ว่าต้องไปคุยกับผู้ใหญ่ ยันไม่ได้ปรักปรำท่านเลขาหรือท่านรัฐมนตรี
“ผมไม่ได้พูดคำว่า 10 ล้านนะ เดี๋ยวจะให้ผู้หญิงคนนั้นเขามาตอบ คือสมมติว่าเป็นจำนวนนั้นนะครับ เขาบอกว่าต้องไปคุยผู้ใหญ่ ไปจัดการกับผู้ใหญ่ เขาพูดแค่นี้ ผมก็ไม่ทราบ (เขาเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ?) ที่ปรึกษาในที่นี้ ที่ผมบอกว่าน้องเขารู้จักเนี่ย คือน้องเขาสามารถไปกินข้าวห้องรัฐมนตรี ผมก็ไม่รู้ว่าที่ปรึกษาของเลขารัฐมนตรีคนนี้กับน้อง เขามีภาพของการไปกินข้าวกับเลขารัฐมนตรีกับรัฐมนตรีในห้องทานข้าวส่วนตัวที่กระทรวงได้ยังไง ผมถึงบอกว่ามันอาจจะเป็นภาพการแอบอ้าง ว่าสนิทสนมกับรัฐมนตรีหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้ แต่สุดท้ายแล้วคือผมไม่ได้บอกว่าท่านรัฐมนตรีหรือท่านเลขา จะรู้เห็นเป็นใจนะครับ เพราะคนที่มาเรียกเก็บเงินผม คือที่ปรึกษาของเลขารัฐมนตรี ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจว่าผมไม่ได้กล่าวหาหรือปรักปรำท่านเลขาหรือท่านรัฐมนตรี”

มีการนัดคุยกันที่โรงแรมครั้งนั้นครั้งเดียว
“ตอนที่นัดเจรจาผมยังไม่ได้โดนแจ้งคดีใดๆ เขาไม่ได้ขู่อะไรทั้งสิ้นนะ เขาบอกว่าให้ทำตามเขาก็พอ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ตอนนั้นนัดเจอกันที่โรงแรม SC Park เจอกันครั้งนั้นครั้งเดียว พอโดนเรียกจำนวนเงิน ผมไม่กล้าไม่เจอแล้ว เพราะผมไม่มีตังค์ คือหลักฐานที่เป็นแชตไลน์ ก็เกิดขึ้นในวันนั้นหลังคุยกันเสร็จ แต่ไม่ได้มีการถ่ายรูปหรืออัดเสียง”

คนเรียกเงินคือทนาย ฮ. ที่บอกว่าเป็นที่ปรึกษาเลขารัฐมนตรี
“ทนายครับ เพราะผมขอว่าขอตัวเลขผมชัดๆ เถอะ ตอนนั้นในความรู้สึกผมนะ คำว่าจะช่วยน่าจะเป็นค่าทนาย ถ้า 5 หมื่นค่าทนาย ผมโอเค เพราะมันราคาประมาณนี้ก็แสดงว่าเขาอยากมาช่วยกันจริง พอบอกตัวเลขมามันไม่ใช่ 5 หมื่นไงครับ ผมถึงหงายท้องเลย ช็อก ชีวิตไม่เคยหาเงินได้ขนาดนั้น มีการพูดเรื่องเงินนี้ 2 รอบ คือพูดปากเปล่าแล้วก็พูดในแชต ผมไม่ได้ต่อรองเรื่องเงินเลย เพราะว่าพื้นฐานผม หนึ่งคือถ้าเป็นค่าทนายผมพร้อมจ่าย แต่ถ้าเรียกเก็บเงินแบบคอรัปชั่น อย่างว่าแต่ผมไม่มีจ่ายเลยครับ ต่อให้มีจ่ายผมก็ไม่ทำ ชีวิตผมไม่เคยทำ ผมไม่เคยเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ ผมบริสุทธิ์ สะอาด มา 30 กว่าปีที่มีชีวิตอยู่ในวงการ อะไรที่เป็นเรื่องที่ผิดแบบนี้ผมไม่สนับสนุน ผมไม่เห็นด้วยครับ”

ยังไม่แจ้งความดำเนินคดี ออกมาวันนี้แค่อยากรู้ว่าจะเป็นยังไงต่อ
“ผมไม่ได้บอกว่าตัดสินใจจะแจ้งความ ผมอยากดูว่าทุกอย่างมันจะเป็นยังไง ประเด็นคือผมมาทวงถามเรื่องนี้ ผมไม่ได้กลัวโดนคดีเพิ่ม ผมเชื่อว่าอำนาจอยู่ในมือเขา เราไปการันตีไม่ได้หรอก ว่าเขาจะทำอะไรเรา แต่สิ่งที่เชื่อได้แน่ๆ คือเรามีข้อเท็จจริง เรามีหลักฐานทั้งหมด ผมไม่เชื่อว่าคนดีๆ จะถูกยัดข้อหาได้โดยไม่มีทางสู้ ยังไม่สิ้นหวังครับ กฎหมายไม่ได้มีปัญหา สิ่งที่มีปัญหาคือคนที่มีอำนาจใช้อำนาจในทางที่มันไม่ถูกต้อง นั่นคือประเด็นสำคัญที่ผมจะต่อสู้ ผมต่อสู้ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง บางคนไม่อยากต่อสู้ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ผิด เพราะกลัวจะกระทบงาน อย่างผมนี่ไง งานหายหมดเลย ละครแคนเซิลหมด 3-4 เรื่อง งานหนังก็แคนเซิลหมดเลย ซึ่งความเสียหายตรงนี้เกิน 5 ล้าน ซึ่งดารานักแสดงหลายคนน่าจะกลัวข้อนี้ พอผมโดนแล้วก็สังเวยตัวเอง ขอต่อสู้เพื่อความยุติธรรม”

หากวันนี้ยังไม่สัมฤทธิ์ผล ก็พร้อมสู้ต่อ อยากเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง
“ถ้าวิธีนี้มันยังไม่ได้ผล ผมก็ไม่หยุดครับ จะใช้ข้อเท็จจริงทั้งหมดที่มีอยู่ ยืนยันในการต่อสู้ต่อไป ผมมีคณะการทำงานหลายๆ ฝ่าย เพื่อช่วยกันทำงานด้านนี้ การต่อสู้ครั้งนี้เราต่อสู้กับผู้มีอำนาจในมือ ผมมีช่องทางในการสู้ต่อไป ไม่หยุดแค่นี้ ถ้ามันไม่สัมฤทธิ์ผล ยังถูกรังแกต่อ ก็ต้องเดินหน้าต่อ แล้วมาติดตามว่าจะสู้ต่อยังไง ยังไม่ฟ้อง (ที่เราพูดมาเป็นลักษณะเหมือนเป็นการขู่คนที่จะดำเนินคดีเราหรือแฟนเรา ว่าให้ดำเนินอะไรบางอย่าง เพื่อให้เราสมหวังอะไรบางอย่างหรือเปล่า?) ไม่ครับ ไม่มีทางทำได้ครับ คนที่จะทำได้เป็นเขาต่างหาก ไม่ใช่เขาที่อยู่ในมือพวกเรา แต่ยังไม่มีการฟ้อง ผมยังไม่ทำ ผมทำแค่เรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเอง”











กำลังโหลดความคิดเห็น