เข้าวงการบันเทิงมาตั้งแต่อายุ 17 ปี แต่จู่ๆ นักร้องสาวมาดติสท์ "นท พนายางกูร" ก็หายไปจากหน้าจอ และไม่ได้เห็นผลงานเพลงของเธอนานมาก ล่าสุด นท ได้เปิดใจในรายการ WOODY FM หลังห่างหายจากเส้นทางดนตรี เพื่อไปทำงานด้านการอนุรักษ์ พร้อมเล่าสาเหตุที่ออกจากวงการ เพราะไม่มีความสุข ไม่เป็นตัวเอง จนขาดความมั่นใจถึงขนาดไม่กล้าร้องเพลง และกลัวเสียงร้องของตัวเอง
ในวันนี้ “นท พนายางกูร”เป็นตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์?
“ใช่ค่ะ”
เข้าวงการมาตอนอายุเท่าไร?
“ตอนนั้นอายุ 17 ค่ะ เข้าเดอะสตาร์ ชีวิตตอนนั้นก็ท้าทาย แล้วก็รู้สึกว่ามันสอนให้เราเป็นคนที่เราเป็นในปัจจุบันนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือว่าการอยู่กับคน ทำให้เราเห็นทุกมิติการทำงานของมนุษย์ และทำให้เข้าใจการที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรา”
มีเรื่องที่หนักในชีวิตไหม ความกดดัน หรือการเผชิญกับปัญหาใหญ่?
“หลักๆ ก็คือไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง 100 % แต่คือนทเองก็สุดโต่งเหมือนกัน นทมาจากคนที่ไม่ได้ติดตามวงการบันเทิงเลย ไม่มีทีวีในห้องนอน ไม่ดูทีวีในชีวิตประจำวัน ทำให้เราไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง”
แล้วทำไมถึงตัดสินใจไปประกวด?
“เพราะว่าชอบร้องเพลง”
แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยๆ เฟดออกไป ความรู้สึกช่วงที่ออกจากวงการบันเทิง?
“รู้สึกโล่งนะ เราอยากหาบาลานซ์ที่ดีกับการใช้ชีวิตในวงการนี้ ในการทำงานในวงการนี้ต่อไป เพราะรู้สึกว่าที่ผ่านมามันอาจจะไม่มีความสมดุลในการใช้ชีวิต อย่างเปิดเผยอะไรที่มันเป็นส่วนตัวเยอะเกินไป ซึ่งเราอาจจะไม่สบายใจ ก็เลยถอยกลับมาหาบาลานซ์ให้กันและกัน รู้สึกว่ามันแฮปปี้กว่า พอมีบาลานซ์ที่ดี พอเราอยู่ในวงการบางทีเราก็หลงระเริงไปกับอะไรหลายอย่างที่มันเกิดขึ้น เพราะชีวิตมันเร็วมาก ทุกวันทำงาน ทุกวันเจอคนเยอะมาก มีอะไรเข้ามาเต็มไปหมดเลย ทำให้บางทีเราไม่สามารถกลับมาเข้าใจว่าจริงๆ แล้วเราเป็นใคร ต้องการทำอะไร และเรามีเป้าหมายอะไรในชีวิตนี้”
เริ่มตั้งคำถามตอนไหน?
“เริ่มตอนที่เรารู้สึกว่ามันไม่มีความสุข ทำงานทุกวันแต่รู้สึกว่าไม่รู้ทำไปเพื่ออะไร ทำไปเพื่อใคร แล้วทำให้อะไรดีขึ้นหรือเปล่า ใช่เราร้องเพลงทำให้คนมีความสุข ได้ทำโน่นนี่ที่เป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์ทำให้คนมีความสุข แต่ว่านอกเหนือจากนั้นล่ะ อะไรที่มันลึกซึ้งกว่านั้น การที่เราได้ร้องเพลง การที่เราได้เล่นละครมันทำให้โลกดีขึ้นรึเปล่า เราสร้างอิมแพคอะไรที่ใหญ่กว่าคำว่าความสุขหรือเปล่า ในเมื่อเราโชคดีที่เราได้มาอยู่ตรงนี้ เรามีแพลตฟอร์มที่มีคนรู้จัก มีคนติดตาม เราควรใช้มันตรงนี้ให้มันได้มากกว่าความสุข เราควรให้ความรู้ ให้ความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิ่งที่มันสำคัญไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรู้จักตัวเอง การเข้าใจตัวเองเหมือนที่เราผ่านมา หรือว่าเรื่องของสิ่งแวดล้อม”
เคยมีไหมที่ไม่ชอบแล้วถูกบังคับให้ทำหรือให้เลือก?
“ช่วงที่เข้าวงการใหม่ๆ ค่ะ ตอนที่อยู่ภายใต้สัญญา แต่ว่าทั้งหมดทั้งมวล นทก็รู้สึกว่ามันก็สอนให้เราเข้าใจว่าการที่เราทำงานตรงนี้ไม่สามารถที่จะบอกว่าฉันต้องการอย่างนี้แล้วฉันต้องได้ 100% เราต้องฟังคนอื่น ฟังทีมงาน ฟังคนที่เขาเป็นผู้ลงทุนกับตัวเรา ซึ่งตอนนั้นมันยากนะ แล้วก็มีการฝ่าฟันหลายอย่างมาก เคยมีช่วงหนึ่งที่เรามีแต่การพูดลบๆ เกี่ยวกับสิ่งนี้ เรารู้สึกว่ามันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น มีแต่การปล่อยพลังงานลบ ไม่ได้ทำให้เราดีขึ้น มีแต่ปัญหาที่เกิดขึ้น”
เรื่องที่เศร้าที่สุดในชีวิต?
“การที่นทเข้าวงการใหม่ๆ นทต้องร้องเพลง หรือว่าต้อง Perform อะไรที่มันไม่ได้เป็นตัวเอง เวลาที่เราร้องบางทีเราก็ต้องร้องตามที่เขาเทรนนิ่ง ตามที่เขาบอก มันทำให้เวลาที่เราร้องเพลง เราใช้กล้ามเนื้อในคอใช่ไหม พอเราร้องไปเรื่อยๆ กล้ามเนื้อมันจำ มันเป็น Muscle Memory ทำให้เสียงเราเวลาร้องเพลงมันเปลี่ยน จากตั้งแต่เด็กเราชอบร้องเพลงมาก ชอบฟังเสียงตัวเอง อาบน้ำก็ร้องเพลง ขับรถก็ร้องเพลง กลายเป็นว่าไม่กล้าร้องเพลงไปเลย กลัวเสียงตัวเอง เป็นเหมือนแผลในใจเรื่องการเปล่งเสียงออกมา เพราะว่าเรากลัวเสียงร้องตัวเองไปเลย เป็นอยู่นานเพิ่งแก้ไขได้ไม่กี่ปีนี้ ประมาณเกือบ 10 ปีได้”
ทุกครั้งที่จะต้องร้องขึ้นมามันรู้สึก?
“ไม่มั่นใจ รู้สึกว่าตัวเองร้องเพลงไม่เพราะ นทว่าก็ต้องรักตัวเองเยอะๆ แล้วก็ยกโทษให้ตัวเอง ไม่ใช่แค่ยกโทษให้คนอื่น แต่ยกโทษให้ตัวเองที่ทำให้เสียงตัวเองเปลี่ยน หลายๆ คนอาจจะไม่ค่อยชินกับการยกโทษให้ตัวเองใช่ไหม นทว่าอันนี้เป็นอะไรที่มันสำคัญมาก เพราะถ้าเราสามารถยกโทษให้ตัวเองได้ สามารถที่จะบอกรักตัวเอง แล้วก็สามารถที่จะแชร์สิ่งนี้ให้กับคนอื่น เพราะถ้าเราไม่สามารถทำอย่างงี้กับตัวเองก็ไม่สามารถทำกับคนอื่นได้”
แล้วสุดท้ายก็สามารถร้องได้แล้วตอนนี้?
“ใช่ ตอนนี้ก็แฮปปี้ แล้วอย่างหนึ่งที่ช่วยมากคือการร้องคาราโอเกะกับเพื่อนๆ (หัวเราะ)”
หลังจากหมดสัญญาไปทำอะไรบ้าง?
“หมดสัญญานทก็ไปทำวงอิเล็กทรอนิกส์ชื่อว่า X0809 ได้ทำในหลายๆ อย่างที่เราเคยฝันว่าอยากทำในแง่ดนตรี พอไม่มีค่ายเราต้องทำทุกอย่างเอง แล้วมันถึงจุดหนึ่งที่เวลาเราเดินทางไปต่างประเทศต้องทำทุกอย่างเอง แล้วมันเกิดภาวะหมดไฟ เพราะว่ามันเหนื่อยเกินไป หลังจากนั้นก็กลับมาทำงานศิลปะอีกรอบหนึ่ง ก็พูดถึงเรื่องพลังงาน เรื่องการรักษา เรื่องการหายใจ พอทำตรงนี้ไปถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกว่าเราเริ่มเต็ม แล้วรู้สึกว่าเราฮีลตัวเองในการฮิลคนอื่นๆ ไปด้วยในระดับหนึ่ง ก็เลยรู้สึกว่าเราอยากจะสื่อสารเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย เพราะพอเราทำไปถึงจุดหนึ่งแล้วรู้สึกว่าจริงๆแล้วมันเกี่ยวข้องกันหมดเลย ทั้งเรื่องจิตวิญญา ตัวเราเอง สมาธิ แล้วก็เรื่องสิ่งแวดล้อมของเรา ทุกวันนี้จะมี 2 โปรเจกต์หลักที่ทำจะมีแพลตฟอร์มชื่อว่า HIGH ON YOUR OWN SUPPLY ไม่แสวงหาผลกำไร เป้าหมายของเราก็คือเชื่อมโยงคนกับตัวเอง และเชื่อมโยงคนกับธรรมชาติ”
ถ้าคนที่อยากจะหันมาช่วยดูแลโลกใบนี้ต้องเริ่มจากอะไร?
“คนๆ นึงจะหันมาอนุรักษ์ธรรมชาติ เข้าใจถึงความยั้งยืนได้ ในตอนนี้ต้องเริ่มต้นจากการหยุดใช้พลาสติกก่อนก็ได้ เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดเลย เราใช้ชีวิตอยู่กับพลาสติกเยอะมากนะ มันมีงานวิจัยออกมาแล้วนะว่า คนเราบริโภคพลาสติกเข้าไปในร่างกายเรา ในเลือดเรา เท่ากับ 1 บัตรเครดิตการ์ดต่ออาทิตย์ มันมีแล้วนะ มันมาแล้ว ซึ่งยังไม่มีการวิจัยต่อว่ามันมีเอฟเฟกต์ยังไงบ้าง โรคภัยต่างๆ ที่จะตามมา เราเริ่มจากการหยุดใช้มัน เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ ตอนนี้นทก็พกกระติกน้ำไปทุกที่
การเปลี่ยนแปลงมันเป็นเรื่องสำคัญมากเลยค่ะ อย่างทุกวันนี้มีแคมแปญรณรงค์รักษ์โลกต่างๆ มันคือการเซฟมนุษยชาติมากกว่า เพราะเราเห็นวงจรนี้มานานมากแล้วในเรื่องของวงจรการสูญพันธ์ แต่ไม่ว่าโลกจะผ่านวงจรการสูญพันธ์ุมากี่ครั้งโลกมันก็ยังอยู่ ธรรมชาติมันก็กลับคืนมา แต่คนหรือสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนนั้นต่างหากที่มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ฉะนั้นถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาทำอะไร เราเองนี่แหละที่จะไม่อยู่แล้ว ที่จะบ๊ายบาย แต่โลกมันก็จะยังอยู่ของมันนี่แหละ เพราะการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเองไม่ได้ แต่จะเกิดได้จากก้าวของทุกคน”