“บูม สุภาพร” เปิดใจแค่แจ้งความถูกมิจฉาชีพแอบอ้างนำรูปใช้โฆษณายาลดน้ำหนัก ไม่ฟ้องเพราะเหนื่อยขึ้นศาล ลั่นทุกอย่างจบแล้ว แต่ยกเป็นบทเรียน ชี้อีกฝ่ายคงไม่กล้านำรูปไปใช้อีกแล้วเพราะตอนนี้มีน้ำมีนวล
หลังจากที่ถูกมิจฉาชีพนำภาพไปใช้ในการแอบอ้างโฆษณาขายผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก โดยบรรยายว่าผอมจนซี่โครงเตะตา ทำเอานางเอกสาว “บูม สุภาพร วงษ์ถ้วยทอง” เดือด ออกมาโพสต์เตือนภัยว่าไม่ช่เรื่องจริง วอนแฟนคลับอย่าหลงเชื่อ ขู่เตรียมฟ้องคนเอารูปไปแอบอ้าง ล่าสุดบูม สุภาพร อัปเดตเรื่องคดีว่า ไม่ได้ฟ้อง แค่แจ้งความลงบันทึกประจำวันเอาไว้ ทำให้อีกฝ่ายไม่ได้ชดใช้อะไร ขอแค่อย่ากระทบมาถึงตนก็พอใจแล้ว
“คดีก็จบไปเรียบร้อยแล้ว พี่ที่กองปราบปรามคุ้มครองผู้บริโภคก็ได้จัดการให้เรียบร้อย เขาไปตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้ จริงๆ มันไม่ได้มีการจดทะเบียนที่ถูกต้อง ก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ต้องขอบคุณมากเลยค่ะ ใช้เวลาแป๊บเดียวเอง เขามีทีม ดูพวกลิงก์รูปภาพโฆษณาว่ามาจากที่ไหน แล้วก็มีสายสืบที่ล่อซื้อ ก็ต้องขอบคุณพี่ๆ เขามากๆ เพราะจริงๆ อาจจะไม่ใช่แค่ตัวบูมที่ได้รับผลกระทบ แต่ตัวผู้บริโภคเวลาเห็นโฆษณา เขาซื้อมาจริงๆ แล้วไปตรวจสอบ เลขจดแจ้งไม่ตรง อย.ไม่ตรง บางทีคนที่เกิดอันตรายคือผู้บริโภค ก็รู้สึกดีมาก ไม่อยากให้ใครเจอเหตุการณ์ที่กินไปแล้วเจออันตราย แล้วยิ่งใช้ภาพบูมด้วย รู้สึกว่าอย่าทำแบบนี้เลย แต่ก็ขอบคุณนะคะทุกอย่างจบด้วยดี จับได้ทุกอย่าง
เขาก็ไม่ได้ชดใช้ คือไม่ได้ฟ้องร้องค่าเสียหายอะไร บูมแค่ไปแจ้งความไว้เฉยๆ ว่าบูมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในตรงนี้ ถ้าสมมุติว่าเกิดอะไรขึ้น บูมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ได้เป็นผู้ผลิต ไม่ได้โฆษณา ประชาสัมพันธ์ ไม่ได้เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ใดๆ ก็ไปแจ้งเขาไว้ เขาก็จัดการให้ว่าไม่เกี่ยวข้อง ไม่มีคุยกับเจ้าของแบรนด์เลยค่ะ แต่ว่าทางพี่ที่ช่วยจัดการให้ เขาก็ส่งมาให้ผู้จัดการดู ว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างจบแล้ว”
ไม่ฟ้องเพราะการขึ้นศาลเหนื่อยกับชีวิต
“มันเหนื่อยนะ บางทีเราต้องทำอะไรเยอะ แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ในประเทศ หรืออยู่ต่างประเทศ การเอาผิด หรือการขึ้นศาล รู้สึกว่ามันเหนื่อยกับชีวิต เรายังมีอะไรให้ต้องทำอีกเยอะแยะมากมาย แค่ว่าเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องตรงนี้ เราไม่ยุ่ง แค่นี้ก็พอแล้ว เชื่อว่าถ้าของมันไม่ดีจริงๆ แล้วมันไม่ได้มากระทบกับเราถึงขั้นที่ต้องฟ้องร้องขึ้นศาล เรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเลย ก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร ตรงนี้ก็โอเคแล้ว แค่ไม่เอาไปทำต่อกับใคร แล้วก็ไม่ไปหลอกลวงผู้บริโภค แต่นี้ก็แฮปปี้แล้ว
ตอนนี้ก็ยังใช้ชีวิตทุกอย่างปกติ ไม่ได้สกรีนมากยิ่งขึ้น แต่ก็เป็นบทเรียน อย่างเคสนี้ถ้าเราจะปล่อยผ่าน ไม่สนใจเลยก็ได้ แต่เราไม่ได้ปล่อยผ่าน เราไปเช็กไปศึกษาจริงๆ ปรากฏว่าสินค้านี้ก็ไม่ได้มีคุณสมบัติแบบนั้นจริงๆ รับรองใดๆ ก็ไม่มีจริงๆ บางทีเราก็ต้องใส่ใจ ปล่อยผ่านทุกๆ อย่างไม่ได้ (แสดงว่าเราหุ่นดี เขาเลยเอารูปไปใช้?) เขาคงไม่กล้าเอาไปใช้แล้ว เพราะตอนนี้เริ่มมีน้ำมีนวลขึ้น คือถ้าอยากเอารูปเราไปใช้ จริงๆ ก็ติดต่อผู้จัดการได้นะคะ”