“หมอเจี๊ยบ” เล่าความทรมานของการเป็นแพนิค ใจสั่น หายใจไม่ออก ขึ้นเครื่องบินไม่ได้ เอาชนะความกลัวมาได้เพราะไปดำน้ำ แต่ทุกวันนี้ยังต้องใช้ยา ถ้าพักผ่อนไม่พอเมื่อไหร่ก็เป็นอีก เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตให้เลิกทำงานหนัก กลับมาดูแลตัวเอง ให้ความสำคัญกับตัวเองและครอบครัวเป็นอันดับแรก
เรียกว่าทำงานหนักจนร่างกายมันฟ้อง สำหรับ “หมอเจี๊ยบ” หรือ “แพทย์หญิง ลลนา ก้องธรนินทร์” ที่ออกมาเล่าจุดเปลี่ยนของชีวิต ว่าจากนี้ขอทำอะไรตามความต้องการของตัวเองและกลับมาดูแลตัวเองมากขึ้น เหตุเพราะทำงานหนักจนมีอาการแพนิค โดยเจ้าตัวได้เผยในงาน “เปิดตัวคอลเลคชั่น 23SS UNIQLO UV Protection” ว่าเป็นหนักถึงขั้นควบคุมตัวเองไม่ได้ ถึงทุกวันนี้จะดีขึ้นแล้ว แต่ยังต้องใช้ยาช่วยอยู่ เลยอยากจะขอเบางานในวงการลง ให้ครอบครัวและตัวเองมาเป็นอันดับแรกก่อน
“คือปีก่อนๆ เจี๊ยบทำงานหนักมาก ทั้งเป็นหมอ ทั้งทำงานในวงการ แล้วก็ไม่ได้ดูแลตัวเองกับครอบครัวเท่าที่ควร แล้วเราก็เริ่มรู้สึกว่าอายุเรามากขึ้นแล้ว ปีนี้เป้าหมายของเจี๊ยบคือเราต้องทุ่มเทในการที่เราจะต้องใช้ชีวิตในแบบที่เราต้องการมากขึ้น คือสมัยก่อนอาจจะงานมาก่อนทุกอย่างเสมอ แต่ทุกวันนี้เจี๊ยบจะแบ่งเวลาไว้ให้ที่บ้านเลย รวมถึงกิจกรรมที่เจี๊ยบชอบทำ คนจะชอบคิดว่าเดี๋ยวรอเกษียณก่อน รอ 60 ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยทำสิ่งที่เราชอบ แต่ปีนี้เจี๊ยบจะไม่รอคำนั้นแล้ว”
อยากใช้เวลาอยู่กับคนที่รัก ในยังที่มีกันอยู่
“คือที่ผ่านมาคุณพ่อเจี๊ยบป่วยด้วย แล้วเจี๊ยบก็รู้สึกว่าดีจัง ที่เราได้ดูแลเขา สมัยก่อนตอนที่เราเรียนอยู่ คนที่บ้านป่วยเรายังไม่รู้เลย เขามาบอกเราหลังจากที่เราผ่าตัดไปเสร็จแล้ว มันเหมือนเป็นปมในใจของเรา พอตอนนี้เรามีเวลาที่จะดูแลเขามากขึ้น เราให้เวลากลับบ้านไปกินข้าวกับเขามากขึ้น เอาเขามาเป็นลำดับสำคัญแรก เพราะงานเจี๊ยบอยู่กับฉุกเฉิน เจี๊ยบเห็นคนที่เสียชีวิตทุกวัน มันเป็นสัจธรรมมนุษย์ วันหนึ่งเจี๊ยบก็ต้องตาย คนที่เจี๊ยบรักก็ต้องตาย เพราะฉะนั้นวันนี้ที่เรายังมีกันอยู่ เราก็ควรใช่เวลาที่มีอยู่ด้วยกันให้ดีที่สุด อย่าไปคิดว่าเดี๋ยวรอทำงานนี้เสร็จก่อน รอเงินให้ได้เท่านี้เท่านั้นก่อนที่จะไปหาคนที่เรารัก บางทีเราประมาทไม่ได้”
คุณพ่อป่วยเป็นเส้นเลือดโป่งพองที่เส้นเลือดหัวใจ แต่ตอนนี้หายปกติแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์
“คุณพ่อเจี๊ยบมีเส้นเลือดโป่งพองที่เส้นเลือดหัวใจ แต่ก็ได้อาจารย์ที่โรงพยาบาลรามาฯ ช่วยดูแลเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็แข็งแรงปกติแล้ว ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไปออกกำลังกายได้แล้ว แต่ช่วงนั้นก็คือเป็นห่วงแหละ เจี๊ยบเชื่อว่าพวกโรคภัยไข้เจ็บ มันไม่มีครั้งเดียวไง อีกหน่อยมันก็เป็นเรื่องประจำที่ต้องเข้ามาอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขายังแข็งแรงอยู่ เราก็อยากใช้เวลาที่มีคุณภาพชีวิตด้วยกัน”
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เลยอยากจะใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ โชคดีที่อยู่ในจุดเลือกในสิ่งที่อยากทำได้
“คือช่วงก่อนนี้ที่เป็นโควิด 3 ปี เจี๊ยบรู้สึกว่าเหมือนอยู่ดีๆ เวลาเราหายวาร์ปไปเลย แต่ตอนนั้นเจี๊ยบไม่ได้รู้สึกเดือนร้อนนะ คือตอนนั้นชีวิตมีแต่โรงพยาบาลแล้วก็กลับบ้าน จนไม่ได้คิดอยากจะเที่ยวเลย แล้วพอดีช่วงประมาณปีก่อน เจี๊ยบไปดำน้ำ แล้วมันเปิดโลกเจี๊ยบ ว่ามันยังมีสิ่งที่น่าสนใจกว่างานกับบ้านของเรานะ ยังมีกิจกรรมมากมายที่เราอยากจะทำ เลยรู้สึกว่ามันถึงเวลาเราจะต้องเริ่มใช้ชีวิตที่เราอยากจะใช้แล้ว กับคนที่เรารักมากขึ้น
เจี๊ยบก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะวันไหน บางคนรอจะเที่ยวตอน 50-60 แต่วันนั้นเราอาจจะไม่มีแรงแบบกระเป๋าเดินอย่างมีความสุขแล้ว เอาง่ายๆ ตอนนี้ 35 ปี เจี๊ยบก็เชื่อว่าไม่เหมือนตอนเด็กๆ แล้ว สมมติเราจะต้องเที่ยวแบบฉันจะต้องไปทุกที่ ทุกวันนี้ไป 2 ที่ก็เหนื่อยแล้ว ยังคุยกับเพื่อนกับแฟนที่ไปด้วยกันเลย ว่าเราเที่ยวไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ เพราะฉะนั้นวันนี้โชคดีที่เรายังคิดได้ ว่าเราจะใช้ชีวิตในแบบที่เราต้องการ และโชคดีที่เราอยู่ในจุดที่เราสามารถที่จะเลือกในสิ่งที่เราอยากทำได้ ก็ต้องขอบคุณทุกคน”
งานในวงการยังรับอยู่ เพราะเงินก็คือหนึ่งปัจจัย แต่ต้องเลือกที่ไม่เบียดเบียนเวลาครอบครัวและตัวเอง
“รับๆ เพราะเราก็ต้องใช้ เงินก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่เราจะดำรงชีวิตได้อยู่ในไลฟ์สไตล์ที่เราต้องการ แต่ว่าเราก็อาจจะต้องดูมากขึ้น ว่าอันนี้โอเค อันนี้มีเวลาพอหรือเปล่า หรืออันนี้เบียดเวลาครอบครัว หรือเวลาที่เราจะไปทริปตรงไหนหรือเปล่า เราจะเลือกเวลาของเราเป็นสำคัญก่อน ให้ความสำคัญกับเวลามาก เพราะเงินเราหาได้ แต่เวลาเราหาไม่ได้นะ มันไปแล้วไปเลย เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ก็คือรับงานนะทุกคน ไม่ใช่ไม่รับงาน แต่อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ให้เรามีเวลาทำในสิ่งที่เราทำ เช่นช่วงก่อนเจี๊ยบไม่เคยมีเวลาได้ออกกำลังกายจริงจัง แต่ทุกวันนี้สามารถเซ็ตเวลาให้ตัวเองได้แล้ว”
เริ่มปรับแล้วตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานี้ เพราะสุขภาพแย่จนเห็นได้ชัด เป็นแพนิคจนขึ้นเครื่องบินไม่ได้
“ต้นปีนี้เป็นศักราชใหม่ ที่เจี๊ยบเริ่มปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต ไม่งั้นทุกคนจะเจอเจี๊ยบแบบง่วงตลอดเวลา ซึ่งตอนนั้นสุขภาพเรามันก็แย่ลงอย่างเห็นได้ชัดค่ะ ทำงานจนร่างกายมันฟ้อง ก็เป็นโรคที่ไม่คิดว่าวันหนึ่งเราจะต้องมาเจอ เพราะเจี๊ยบเป็นหมอฉุกเฉิน เจี๊ยบก็คิดว่ามันจะเป็นโรคที่ธรรมดา เวลาเราเจอคนไข้เป็นแพนิค วันหนึ่งเรามาเป็นเอง แล้วก็วินิจฉัยตัวเองว่าเป็นแพนิค แต่เราไม่สามารถจะควบคุมตัวเองได้ในจุดนั้น ก็คือรู้ว่าไม่ตาย แต่มันเป็นภาวะที่ทำให้เจี๊ยบไม่กล้าขึ้นเครื่องบินไปสักพักเลย แต่ว่าการดำน้ำมันทำให้เจี๊ยบเอาชนะความกลัวตรงนั้นได้ มันก็เลยเป็นจุดเปลี่ยน ที่เราจะต้องกลับมาดูแลตัวเองแล้วแหละ”
เป็นมาสักพักตั้งแต่ช่วงเรียนแพทย์เฉพาะทางใกล้จบ
“สักพักแล้วค่ะ เป็นมาตั้งแต่ช่วงที่เจี๊ยบเรียนใกล้จะจบหมอเฉพาะทางแล้วแหละ แล้วก็เป็นมาเรื่อยๆ ไม่หายสักที เพราะว่าสุดท้ายแล้วตัวกระตุ้น มันคือการพักผ่อนไม่เพียงพอ แล้วสุขภาพมันฟ้อง ทุกครั้งที่เจี๊ยบอดนอนจะมีอาการแล้ว ตอนแรกคิดว่าเอาอยู่ แต่ด้วยวัยที่มากขึ้น ก็เราใช้ชีวิตอย่างนี้ จนวันหนึ่งร่างกายมันไม่ไหว แต่ละคนมันฟ้องในหลายแบบ บางคนจะเป็นสุขภาพกาย แต่ของเจี๊ยบเป็นสุขภาพใจ อยู่ดีๆ เรารู้สึกว่าหายใจไม่ออกขึ้นมา แล้วก็รู้ด้วยนะ ว่าไม่เป็นอะไร ไม่ตาย แต่ว่าคนที่เป็นโรคนี้จะรู้ ว่ามันควบคุมอะไรไม่ได้เลย”
ตอนนี้ควบคุมได้ดีกว่าเดิม แต่ถ้าดูแลตัวเองไม่ดีก็มีอาการอีก ยังต้องใช้ยาช่วยอยู่
“เรียกว่าคุมได้ดีกว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่เจี๊ยบพักผ่อนน้อยหรือดูแลตัวเองไม่พอ มันก็จะมีอาการ ตอนนี้ก็ใช้ยาในการช่วย”
จุดที่รู้ตัวว่าควรต้องพัก คือตอนที่มีอาการครั้งแรก ใจเต้นรัว เหงื่อออกมือ เหมือนจะหายใจไม่ออก
“มันเป็นจุดที่เป็นครั้งแรกที่เป็น แล้วก็ทำให้เจี๊ยบกลัวการขึ้นเครื่องบิน แล้วก็จำได้เลยว่าวันหนึ่งเจี๊ยบอยู่เวรดึกๆ แล้วกลับมานอนกลางวัน เราสะดุ้งเฮือกขึ้นมาแล้วก็เหมือนหายใจไม่ออก อยู่ไม่ได้ กระวนกระวายเหมือนจะลงไปดิ้นที่พื้น แต่ใจเราอยู่แล้วไงเราเป็นหมอ รู้ว่ามันคือแพนิคแอทแทค ใจเต้นรัว เหงื่อออกมือ
พอตอนขึ้นเครื่องบินก็จะมีอาการแบบนี้ เราก็กลัวว่าถ้าเรากลัวไปเรื่อยๆ เดี๋ยวอายคนข้างๆ ว่าหมอนี่เป็นอะไร ถ้าประกาศของหมอมาช่วยหมอ มันทำให้เจี๊ยบตระหนักถึง ว่าเวลาเราอยู่ห้องฉุกเฉิน จะเจอคนมาด้วยอาการแพนิคเยอะ ทำให้เรารู้ว่ามันไม่ใช่โรคธรรมดาใครๆ ก็เป็น มันเป็นอะไรที่ถ้าคุณไม่เป็น คุณไม่รู้หรอก ว่าความทรมานของมันตอนที่มีอาการมันเป็นยังไง ก็ทำให้เจี๊ยบเข้าใจคนไข้มากขึ้น ว่าวันหนึ่งเราก็เป็นได้ เป็นโรคที่มันไม่สนุกเลยนะ ก็อยากเป็นกำลังให้กับทุกคนที่เจอภาวะแบบนี้ มันจะดีขึ้นแน่นอน ขอให้คุณหาปัญหาที่มันสร้างให้คุณเกิดอาการ แล้วก็ดูแลร่างกายดีๆ อย่าปล่อยปละละเลยค่ะ”