“ริว” เปิดใจหลังกลับมามีชีวิตใหม่ ยอมรับกังวลกับการกลับมาดัง ตอนนี้ตัดทิ้งทุกอย่าง ทั้งชื่อเสียงเงินทอง ชีวิตสวยหรู เคยใช้เงินวันละล้าน จนถึงขั้นไม่มีเงินกินข้าวต้องไปขอจากคนอื่นก็ผ่านมาหมดแล้ว หวังเดินสายบุญ งานที่ได้เงินจะแบ่งไปทำบุญ ห่วงแฟนไม่อยากเปิดตัว พร้อมเผยสงสัยเด็กคนนึงอาจเป็นลูกของตนกับแฟนเก่า
หลังจากที่ได้หวนกลับเข้ามาในวงการบันเทิงอีกครั้ง จากกระแสข่าวต่างๆ ทำให้หนุ่มสุดฮอตในยุค 90 อย่าง “อาทิตย์ ริว” เปิดใจบอกว่าแอบมีความกังวลเหมือนกัน เพราะจะพูดอะไรก็ต้องคิดมากขึ้น ไม่อยากให้ไปกระทบกับใคร เพราะตนเห็นมาเยอะแล้ว เวลาคนมีดังกระแสคนก็จะขุดคุ้ยเรื่องต่างๆ นานา เข้าใจต่างคนก็ต่างความคิด แต่ตนผ่านมาหมดแล้ว ทั้งชื่อเสียง เงินทองที่เคยมี ตอนนี้ไม่ได้ยึดติดกับอะไรอีกแล้ว
“จริงๆ ถ้าจะให้พูดตรงๆ ว่าการที่ผมมีสื่อมาสัมภาษณ์ เราก็บอกตามตรงว่าเราทำอะไรอยู่ แต่เราก็ไม่ได้พูดทุกอย่าง การออกสื่อเราไม่จำเป็นต้องนำเสนอชีวิตตัวเองทุกด้าน เพราะผมก็ออกจากวงการบันเทิงมานานแล้ว ทีนี้พอผมเปิดแค่บางส่วน ก็มีกำลังใจส่งมา แต่แค่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมีภาพที่อยู่ในความลำบาก หรือนอนข้างถนนบ้าง คือมันมีเรื่องราวที่คนที่เขาไม่เคยเจอเรา หรือนานแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้ากัน พอเขาเห็นภาพเหล่านั้นก็ตกใจเพราะเราทิ้งมันไปแล้ว
เราไม่ได้ยึดติดกับชื่อเสียง อยู่เหมือนคนธรรมดา อยู่กับธรรมชาติ มีความสุขกับการสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ เข้าวัด ทำบุญตอนนี้สำหรับตัวเองต้องระวังมาก เพราะคำว่านานาจิตตัง ร้อยพ่อพันแม่เขาจะคิดยังไงกับการสัมภาษณ์ เพราะคำพูดของผมมันมีผลกระทบจริงๆ
อย่างดาราศิลปินดังๆ การจะสัมภาษณ์แต่ละที ต้องรู้เลยว่าคำถามมีอะไร ต้องส่งมาก่อน เพราะเขาจะต้องวิเคราะห์คำตอบ ว่าคำตอบนี้จะไปกระทบใครบ้าง แต่ผมด้วยความที่เคยเป็นมืออาชีพมาก่อนก็จะรู้ว่าคำพูดเรามันจะไปกระทบใคร และเราจะพูดได้แค่ไหน เรื่องพวกนี้มันสำคัญ ยิ่งกระแสไวรัลหรือสื่อ แม้แต่ยอดคนติดตามอะไรก็ตามแต่ ทำให้ผมก็หนักใจนิดนึงว่าต่อไปนี้ผมก็ต้องเปลี่ยนแปลงความอิสระของผม มันเท่ากับผมหยั่งขาเข้าไปในการควบคุมของคนในสังคมว่าผมทำอะไร ผมเป็นตัวอย่างแบบไหน ผมเป็นนักแสดงแบบไหน
อาจจะอยากมีคนช่วยผมด้วยการเอาผมกลับไปเล่นละคร อยากให้ผมเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า บางคนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมที่ผ่านมาปฎิเสธเงินก้อนใหญ่ อย่างเช่นไปเล่นคอนเสิร์ต ค่าตัวอาจจะเป็นแสน เป็นล้าน แต่ผมปฎิเสธมาตลอด เพราะผมเบื่อหน่ายความมีชื่อเสียง เงินทอง เพราะฉะนั้นที่ผมบอกว่าผมพอใจกับการที่ผมมีเงินหลักร้อย บางคนก็บอกว่าผมบ้าหรือเปล่าทำไมปฏิเสธเงินแสน เงินล้าน เพราะผมเคยใช้มาแล้ว เคยทำตัวแบบนั้นมาแล้ว เคยหลงกับชื่อเสียงเงินทอง แต่ผมไม่ได้ลืมตัวนะ
มีปมในใจว่าช่วงชีวิตที่รุ่งเรือง ไม่เคยช่วยเหลือสังคมเลย
“แต่ในจังหวะที่ผมใช้ชีวิตแบบนั้น ผมคิดว่าทำไมในตอนนั้นผมไม่ได้ตอบแทนสังคมเลย มันก็เป็นปมนึงที่พอผ่านมันมาได้ผมก็มานั่งคิดว่าตอนนั้นถ้าเรามีเงินเท่านี้ ทำไมเราไม่ช่วยตรงนั้น ทำไมไม่เอาเงินที่เรามาเสพสุขให้ตัวเอง เปลี่ยนรถเปลี่ยนอะไร ทำไมเราไม่เอาเงินไปใช้ในทางที่มันเข้าท่ากว่านี้ มันควรจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นที่เขาชื่นชอบเรา ติดตามเรา เราควรจะตอบแทนเขายังไง คือตอนนั้นเรายังไม่ได้คิด
ตอนนั้นเราคิดแต่ว่าเราจะใช้เงินชดเชยความสุขของเรายังไง เราตอบสนองตัวเองตลอด เรามีทุกข์ก็แก้ไขปัญหาของเราเอง แต่ตอนนี้เมื่อเราเข้าใจมันแล้ว และเราไม่ได้ทุกข์แล้ว เรามีความสุขกับชีวิต เรื่องเงินคุยกับเรายากแล้ว เราไม่เคยลุ่มหลง แต่เราใช้เงินเพื่อตอบสนองความสุขส่วนตัว ทีนี้ความสุขส่วนตัวนั้นมันได้คนเดียว แต่ตอนนั้นเราเศร้ากับการที่เราไม่ได้ใช้ชีวิต เราอยู่ในมุมเล็กๆ เงียบๆ ในสังคมเพื่อนฝูงแคบๆ”
ในตอนนี้ไม่ได้ยึดติดกับชื่อเสียงแล้ว
“ในยุคนั้นทำให้เราใช้ชีวิตยากครับ ยากจริงๆ ยิ่งความคาดหวังของแฟนคลับด้วย พี่ริวจะมีแฟนไม่ได้ เขาก็รักก็หวงของเขา ในยุคนั้นเป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อก่อนไปเดินห้าง แค่ก้าวเข้าห้างไปซื้อน้ำแตงโมปั่น ก็คิดว่าจะเดินชิลล์ในห้าง สักพักออกจากห้างไม่ได้โดยที่เรายังไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนวิ่งตามเราเยอะไปหมด คือน้องๆ เขาดูละครและเขาชอบเราขนาดนั้น
ถ้าวันนี้ก็เห็นแล้วว่าอาทิตย์ ริวในยุค 90 มันเคยมีความสำคัญในเรื่องชื่อเสียง พอโผล่มารอบนี้ก็อย่างที่เห็น ผมไม่ได้ภูมิใจในความดังเลย ในตอนนี้นะ ผมเฉยๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าพอออกสื่อแล้วมันจะเป็นยังไง น้องๆ หลายคนก็เป็นห่วง เพราะผมเป็นคนที่คุมยาก ใครจะมาสั่งไม่ได้ คือไม่ค่อยจะให้ใครมาคุมบังเหียน ผมเป็นตัวของตัวเอง แต่ดีอย่างนึงที่ผมเป็นคนที่มีจิตใต้สำนึกที่ดี ก็คือมีการห่วงใยกัน แคร์กัน ว่าถ้าออกสื่อไปแล้วจะไปกระทบใครก็ยิ่งต้องระวัง คำพูดเรามันชี้นำสังคมได้ มันเป็นตัวอย่างแก่เยาวชนด้วย เป็นตัวอย่างแก่คนที่ใช้ชีวิตด้วย ผมเลยเลือกที่จะอยู่เงียบๆ”
เคยใช้เงินวันละล้าน แต่ตอนนี้เป็นคนใหม่แล้ว ขออย่าทำลายกันอีกเลย
“เมื่อก่อนผมใช้เงินวันนึง อย่าตกใจนะครับ (ยิ้ม) ผมเป็นคนที่ใช้เงินเล็กๆ ไม่เป็น 1 ล้านสำหรับผมเท่ากับ 1 บาท เคยใช้เงินวันละล้านมาแล้ว นั่นคือความคิดผมเวลาผมทำงาน ผมจะคิดว่าทำยังไงให้ผมได้เงินก้อนใหญ่และอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องทำงาน คือผมเป็นคนขี้เกียจ คิดแบบคนขี้เกียจ
ทุกเรื่องนะ ผมอาจจะพูดในมุมของคนมีชื่อเสียง ว่าอย่ามาทำลายกันเลย กำลังใจดีเกิดขึ้นแล้ว อย่าเอาความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ มาทำให้รู้สึกเสียบรรยากาศในการใช้ชีวิตใหม่ของผมเลย เพราะผมคิดว่ามันไม่ได้สำคัญ ชีวิตเราต้องเดินหน้า เราต้องไปเรื่องอื่น มีอะไรที่เราต้องช่วยกันอีกเยอะ เราต้องซ่อมสังคมเลยแหละ แต่การที่ผมมาพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้อวดอ้างว่าผมเก่งหรืออะไร ผมคิดว่าผมรู้อะไรดี ผมมีความคิดดี ผมก็แค่อยากถ่ายทอดเรื่องราวที่น่าจะเป็นประโยชน์กับคนฟังเท่านั้นเอง
ต้องยอมรับครับ ตั้งแต่คดีลุงพล ตั้งแต่คดีแตงโม เพราะผมก็เห็นมาเยอะแล้ว จากหลายๆ ข่าว ต้องดูบทบาทการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนว่าเดี๋ยวนี้การนำเสนอมันกลายเป็นซีรีส์ไปแล้ว มันไม่จบ ล่ากันจนฝั่งนั้นฝั่งนี้ กลายเป็นละครทางช่องข่าวแล้ว ก็โอเคตัวสื่อได้เงิน แต่มันได้อะไรกับคนดู คุณมีแต่ได้เงินค่าโฆษณา คุณสนุก คุณมีคนติดตามเยอะ มันได้อะไร เหมือนลุงพลน่ะ มันไม่ได้อะไร”
รับช่วงที่ไม่มีเงินก็เคยขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ บ้าง
“มีบ้างกลุ่มที่สนิทกัน บางครั้งก็บอกว่าพี่ช่วยตรงนี้หน่อย ขาดเท่านี้จริงๆ ขาดค่าข้าว บางทีก็โอนมาช่วย 100-200 บาท หรือ 500-600 บาท หรือ 1,000 บาท พอดีไม่มี บางทีแค่ไปหาหมอเงินแค่ประมาณ 800-900 บาท ก็ยังไม่มี แต่ถามว่ามีเพื่อนดีๆ มั้ยก็มีที่เขาช่วยนะ แต่เราก็จะจำว่าอันนี้เพื่อนช่วยนะ อันนี้พี่ช่วยนะ ผมจำได้แหละว่าใครช่วย บางคนโอนเงินมาค่าอาหารหมา เราก็ไปช่วยกันตรงนั้น เราเป็นสายบุญไง
แต่ตอนนี้เรียกว่าเราตัดแล้ว เราตัดขาด หมายถึงว่าเรื่องชื่อเสียงเงินทองเราสละได้เอง เราไม่ยึดติดกับอะไรแล้ว เรานอนตรงไหนก็ได้ ถ้าเรามองตามธรรมชาตินะ ถ้าคุณเหนื่อยคุณนั่งพักใต้ต้นไม้ก็ได้ คุณร้อนคุณก็อยู่ใต้ร่มไม้ เราก็อยู่กับธรรมชาติ บางคนมองว่ามึงลำบาก ไร้บ้าน ทำไมไปอยู่ตรงนั้น อ้าว...ธรรมชาติคุณทำได้ ผมก็ทำได้
คือตอนนั้นผมไม่ได้เป็นดาราผมก็ทำได้สิ ไม่ได้ยึดติดกับการที่เราเคยเป็นดาราดังเลย เมื่อก่อนผมก็เคยขอตังค์คน ขอหน่อย 60 บาท ช่วยหน่อยไม่ได้เหรอ ก็ไม่มีตังค์ ถ้าไปเจอคนไร้บ้าน สงสารผมยังให้เขาเลย แต่ในจังหวะเราไม่มีตังค์ เราก็ขอบ้าง คือเราเป็นคนชอบให้คนอื่น แล้วทำไมเวลาเราลำบากเราจะขอบ้างไม่ได้เหรอ ขอนะ ไม่ได้เป็นพระที่ต้องมาถวายแล้ว ไม่ได้เคยคิดถึงตอนชีวิตรุ่งเรืองแล้ว”
ความรักกับแฟนคนปัจจุบันสุดแฮปปี้
“แต่ในความสัมพันธ์แฮปปี้ดี มันจะยิ่งทวีคูณความรักมากขึ้นตรงที่ว่าเราโดนกระแสบางอย่าง มันมีความห่วงหาอาทร ห่วงใย เขาเป็นห่วงมาก เพราะสื่อก็นำเสนอหลายด้าน บางคนจับประเด็นนั้นประเด็นนี้ ทีนี้คนอยู่ใกล้เราสิ แล้วเขาเป็นคนธรรมดาเนอะ เขาก็บอกว่าเขาเป็นห่วง ทีนี้เรากลับเป็นห่วงเขาแล้ว เพราะเรารู้ว่าเนื้องานในบทบาทของสื่อเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน มันตามกัน เพราะชื่อเสียงมันขายได้ เข้าใจครับ
ก็คนนี้เรารอมาทั้งชีวิต คือเมื่อเราเจอคนที่เขารักเรา เราต้องทำกับเขาดีๆ เราต้องดูแล เราต้องคอยปกป้อง ไม่ใช่เที่ยวเอาไปคุยว่าเมียกูอย่างนั้นอย่างนี้ เราควรให้เกียรติเขานะ เพศแม่เป็นสิ่งที่ควรละไว้เลยว่าเป็นผู้ชายต้องปกป้อง ไม่ใช่ว่าเมียสวย เมียรวยแล้วอยากได้ของคนนี้คนนั้น อย่าไปทำอย่างนั้น เราเป็นคนถือศีล แค่ศีล 5 ไม่ไปเป็นชู้กับใคร ใครมีเมียก็อย่าไปยุ่ง
ผมก็ยังต้องระวัง เพราะแฟนคลับผมก็มีผัว มีลูกกันหมดแล้ว (หัวเราะ) ต้องระวังครับ เพราะผัวเขาก็หึงเป็นเหมือนกันถูกมั้ย ผมต้องระวังหลายเรื่อง แต่ไว้ใจผมได้เลย ผมไม่เคยไปแย่งเมียใคร ไม่เคยต้องการ และไม่เคยผิดศีลอย่างนั้น เดี๋ยวนี้คิดที่จะละเรื่องกิเลสตัณหา เราจะอยู่เฉพาะคนที่เรารักและเขารักเรา เราก็ปรารถนาดีกับเขา แค่นั้นเอง คือถ้าไม่ผิดศีล ไม่ไปยุ่งกับของคนอื่นที่เขารักเขาหวงก็แค่นั้นก็จบแล้ว”
วางแพลนในอนาคตอยากจะมีลูก
“ผมเป็นคนชอบเด็กอยู่แล้ว ยิ่งการมีลูกผมก็คิดว่า ทุกวันนี้ด้วยการที่ไม่ได้อยู่กับลูกมั้ง ก็เลยไปลงกับอย่างอื่น อย่างเช่นเวลาเจอเด็กๆ ก็ให้เงินเขาไปหยอดกระปุก 5 บาทอะไรแบบนี้บ้าง ด้วยความที่เราคิดถึงลูกด้วย เด็กเขาก็ดีใจนะที่ได้เงินไปซื้อขนม 5 บาท 10 บาท เด็กเขาก็ขอบคุณค่ะ เขาก็จะจำเราในสิ่งที่ดีๆ
ถามว่าอยากมีมั้ย อยากมีสิ (ยิ้ม) อยากมีลูก แต่ก่อนจะมีก็ต้องคุยและวางแผน จะมาคิดว่าไม่มีตังค์แล้วอยู่ได้ เปล่า ความเป็นจริงเงินก็ต้องใช้ ไม่ใช่อยากมีแล้วก็เลย เมื่อก่อนเป็นอย่างนั้น เพราะคิดแบบนั้นมันเลยเป็นอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้ถ้าเกิดจะทำอะไรที่เป็นครอบครัว ต้องวางแผนดีๆ วางแผนครอบครัว วางแผนชีวิต วางแผนอนาคต เส้นทางว่าเขาจะเติบโตยังไง ไม่ใช่ว่าเจอคนนี้สวย คืนนี้เสร็จกูแน่ แล้วพอเกิดอะไรขึ้นมาก็ทิ้งกันให้ท้องไม่มีพ่อ ก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองดี”
ยังปักใจเชื่อว่ามีลูกอีกคนหนึ่ง แต่ฝ่ายแม่เด็กไม่ยอมรับ
“ตอนนี้ก็ยังสงสัยอยู่หนึ่งคนว่าเป็นลูกของเรา ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่ผมปักใจเชื่อแล้วกันว่าลูกผมแน่ แต่เขาก็ปฎิเสธนะว่าไม่ใช่ลูกผม เพราะตอนนั้นผมก็บวชอยู่ ผมก็ทักไปขออโหสิกรรมเขา บอกว่าอาตมาบวชให้โยมแม่อยู่นะ อาตมาก็ขอโยมอย่างนึงว่าที่ผ่านมาก็ขออโหสิกรรมให้พระนะ
เขาก็บอกว่าอโหสิกรรมให้ แต่เขาบอกว่าเขาสิต้องขออโหสิกรรมกับผม เขาพูดแบบนี้ แล้วผมก็บอกว่าไม่ใช่สิ ผมต้องขอโหสิกรรมที่ทำให้เขาอะไรอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เขาก็ปฏิเสธมาตลอดว่าไม่ใช่ลูกผม เขาก็คงไม่อยากให้เราอยู่ในผ้าเหลืองที่เปราะเปื้อน หรืออยากให้สบายใจในการถือศีลภาวนา ไม่ต้องมีห่วง บวชไปเลย ไม่ต้องห่วงทางนี้ ทางนี้ไม่ใช่โลกของเธอ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ถือศีลไป ขออนุโมทนาสาธุด้วยนะเจ้าคะ เขาพูดแบบนี้
ผมก็ต้องใช้คำว่าเชื่อว่า สงสัยว่าน่าจะเป็นลูกผม ก็เดี๋ยวผมหาเงินสักก้อนนึงเพื่อที่จะให้เขา ก็อยากพบ อยากเจอ อยากกอด แต่ผมก็ไม่รู้ว่าทางบ้านเขาจะว่ายังไง ตอนนี้น้องก็จะ 5 ขวบแล้ว กำลังอยู่ในวัยที่ซนและน่ารัก คาดว่าเป็นเด็กผู้ชายนะ (หัวเราะ) คาดว่าดีกว่า เราอย่าไปพูดประกาศอย่างนั้น แต่คิดว่าน่าจะเป็นลูกเรา บางครั้งคนเราก็ไม่ได้อยากจะมีชีวิตที่วุ่นวายมาก ก็ให้เขาอยู่แบบนั้นก่อน เพราะว่าชีวิตที่ตกเป็นเป้าสนใจของคน มันไม่สนุก มันวุ่นวาย ผมก็พยายามไม่อยากทำอะไรเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ถ้าเป็นตัวอย่างพอที่จะเป็นอะไรที่ดีๆ โดยชื่อเสียงที่มี เงินทองที่ได้มา มันมีประโยชน์กับคนที่เราช่วยได้”
ขอเดินสายบุญ จากนี้เงินที่ได้จากงานจะนำไปทำบุญด้วย
“ผมคิดไว้ใหม่แล้วว่าจากนี้ผมจะเดินสายบุญ ก็ประกาศเลยว่ายังไงก็เป็นประชาชนธรรมดา มีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน อยู่ภายใต้กฎหมาย อยู่ในการปกครองแบบนี้ ประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราอยู่ในนี้ ในบ้านหลังนี้ ก็ช่วยๆ กัน ก็ขอให้ทุกงานหลังจากนี้ ขอให้รู้ไว้เลยว่าเงินที่ได้มาจะเป็นประโยชน์ ไม่ได้ไปฟุ่มเฟือยเหมือนเดิมหรอก คิดว่าเงินก้อนใหญ่ที่จะได้อย่างเช่นพวกละครหรือโฆษณา ก็ขอให้ทุกคนรู้ว่าหรือทุกท่านที่มีเจตนาจะช่วยผม ก็ขอให้รู้ว่าท่านได้ทำบุญแหละ
ท่านได้มอบเงิน อย่างเช่น 1-2 ล้านแล้วแต่ เงินล้านก็ไปช่วยอะไรได้เยอะแยะเลย ไปช่วยเด็กยากไร้ ไปช่วยเด็กกำพร้า ไปซื้อแพมเพิสให้ผู้ป่วยติดเตียง คือผมก็สบายใจที่ผมจะทำ แค่นั้นเอง ไปช่วยช้าง ไปช่วยปลาโลมาที่บ้านผม ไปซื้ออาหารที่ดีๆ ไปทำความสะอาดชายหาด ไปกวาดถนน ผมก็ยินดี ผมอยากช่วยประเทศ
ถามว่าอยากให้คนที่ได้เห็นข่าวเราได้เรียนรู้อะไรจากชีวิตเราบ้าง คือผมไม่อาจเอื้อมที่จะไปบอกว่าผมเป็นตัวอย่างอะไรกับใครหรอก แต่บางอย่างก็ดีต่อกันเถอะ อย่ามาทำร้ายอะไรกันเลย เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นครอบครัวหลังใหญ่แล้วล่ะ แฟนคลับอาทิตย์ริวก็ทั่วประเทศ
ตอนนี้ผมก็กราบขอบพระคุณทุกกำลังใจ (ยกมือไหว้) อย่างน้อยในวงการบันเทิงถ้าเป็นสิ่งที่ให้อภัยเล็กๆ น้อยๆ เขาเรียกว่าหยวนๆ กัน อะไรที่ไม่ดีก็ลืมๆ ไป นี่ปีใหม่แล้วก็ไปเรื่องอื่นเถอะ เอาให้มันเห็นความศิวิไลซ์กันบ้างเถอะ ไม่ใช่ดึงลงๆ อยู่นั่นแหละ จะเป็นมารผจญหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ผมยังมีแนวทางของผมว่าธรรมะชนะอธรรม ผมพูดอะไรผมก็พูดจากใจนะ คำพูดอาจจะมีประโยชน์ก็ได้นะ”
