“กบ ปภัสรา” ดึง “น้องเหนือ” ลูกสาวเตรียมให้รับช่วงต่องานผู้จัด บอกช่วงนี้ให้เข้ามาทดลองงาน แต่ถ้ามีงานเบื้องหน้าหรือผู้จัดท่านไหนสนใจก็ติดต่อมาได้ ด้านลูกสาวยอมรับกดดันและกังวล ไม่รู้จะสุู้ที่แม่ทำไว้ได้ไหม เพราะแม่ทำไว้ดีมาก แต่ก็คงไม่ทิ้งความเป็นแม่ คงจะมีความผสมผสานระหว่างสองยุคสมัยด้วย
วันนี้ได้ฤกษ์บวงสรวงละครเรื่องใหม่ของผู้จัดดีกรีอดีตมิสไทยแลนด์เวิลด์ปี 1988 อย่าง “กบ ปภัสรา เตชะไพบูลย์” กับละครเรื่อง หงส์ในกรงกา ณ ลานพระพิฆเนศวร ช่อง 7HD แต่ที่สำคัญงานนี้ได้พาลูกสาวคนสวย “เหนือ ดิสรยา เตชะไพบูลย์” มาเปิดตัวอย่างเป็นทางการด้วย ซึ่งกบเผยว่าพามาให้เริ่มเรียนรู้งานผู้จัด เพราะตั้งแต่เรื่องหน้าเป็นต้นไป น้องเหนือ ต้องมารับช่วงงานต่อจากตนอย่างเต็มตัวแล้ว
กบ : “คือเรื่องนี้พาเขามาเปิดตัว เพราะว่าเรื่องต่อไปเขาจะต้องมาร่วมทำงานกับกบแล้วค่ะ อันนี้ก็เหมือนมาให้เรียนรู้งาน แต่จริงๆ เขาก็มากองบ่อยสมัยก่อน แต่ตอนนั้นยังเด็กอยู่ แต่เม.ย.นี้เขาจะเรียนจบแล้ว ก็ต้องให้ทำงานแล้วค่ะ เขาก็เลยบอกว่างั้นเดี๋ยวมาทำงานกับแม่ก็ได้ (หัวเราะ) วันนี้ก็เลยให้มาเปิดตัว และจะได้เรียนรู้งานว่าเวลาเราทำละครเรื่องนึง เราก็จะเริ่มด้วยการบวงสรวงละคร และจะเริ่มถ่ายทำไปกี่คิวๆ ในแต่ละวัน ที่เหลือก็คือจะเข้าไปกองค่ะตอนนี้ก็ให้ทำทุกอย่างเลยค่ะ (หัวเราะ)”
เหนือ : “เริ่มตั้งแต่เริ่มต้นค่อยๆ ไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ ตามที่คุณแม่บอกค่ะ ถ้าถามว่าส่วนตัวชอบงานในวงการอยู่แล้วไหม ตอนเด็กๆ ไม่ชอบนะคะ แค่อยากลอง แต่ตอนนี้รู้สึกว่ามันเป็นประสบการณ์ อยากลองทำงาน เห็นแม่ทำงานเหนื่อย กลับบ้านดึก ออกกองแต่เช้า ไปต่างจังหวัด เราก็อยากเรียนรู้ให้เป็นประสบการณ์ เพราะตอนนี้เราทำร้านเสื้อผ้าด้วยกันด้วยค่ะ ก็รู้สึกว่าพอทำงานกับแม่แล้วมันคลิกกัน ก็เลยอยากลองทำงานบริษัทแม่ ลองดูว่ามันจะเป็นยังไง
ที่มาลองงานเบื้องหลังก่อนงานเบื้องหน้า เพราะหนูคิดว่าก็ต้องเริ่มจากเบื้องหลังก่อน แล้วค่อยไปเบื้องหน้า ต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เหมือนอย่างที่คุณแม่พูดว่าอยู่ดีๆ เราจะไปเบื้องหน้าเลย แต่ยังไม่รู้ว่าเบื้องหลังเป็นยังไง ว่าทีมงานทำยังไง งานทำยังไง อยู่ดีๆ จะมาเบื้องหน้ามันก็ไม่ได้ เราต้องรู้ก่อนว่าสเต็ป 1 2 3 เป็นยังไง แต่ถามว่าอยากลองงานแสดงไหม ก็ถ้ามันมีโอกาส ช่วงเวลา หรือมีบทคาแรกเตอร์ที่มันเข้ากับหนูก็น่าสนใจ ก็เป็นโอกาสที่ดีที่หนูจะได้ลอง ก็อยู่ที่คุณแม่ด้วยว่าคุณแม่จะยังไง”
ยอมรับกังวลถ้าต้องร่วมงานกับแม่
กบ : “ถามว่าทำไมกบถึงไม่เอาลูกมาลองแสดงในละครตัวเองก่อน คือจริงๆ แล้วต้องเอาเขาเป็นหลักก่อน สมัยก่อนเราก็อยากให้เขาเข้า แต่เขาไม่ยอม แต่เหตุผลของเขาก็คือเขาเรียน เขาก็เลยมีความรู้สึกว่าไม่อยากทำอะไรที่มันซ้อนกัน เขาก็ขอเรียนให้เต็มที่ แต่เราก็คุยกันอยู่ตลอดว่าสนใจไหม อยากเล่นไหม เขาก็เหมือนยัง 50:50
แต่พอวันนี้เขาก็เริ่มที่จะสนใจ ก็เลยบอกว่างั้นลองมาอยู่กองกับแม่ก่อน แล้วถ้าเกิดมีผู้จัดคนไหนเห็นว่าเขาเล่นได้ มีแววที่จะเอาไปเล่น ก็ให้ไปกับคนอื่นก่อนก็ได้ เพราะกลัวเดี๋ยวทำงานกับแม่แล้วไม่สนุก (หัวเราะ) คือบางคนแม่ลูกทำงานด้วยกันไม่ได้นะ แต่เราทำได้ แต่นั่นคือเราทำร้านเสื้อผ้า แต่ถ้าเป็นละครมันจะเป็นอีกฟีลนึง กบกังวลนะ แต่ไม่รู้ว่าลูกยังไง ต้องถามเขาว่าอยากทำงานกับเราหรือเปล่า”
เหนือ : “ความจริงก็กังวลเหมือนกันนะ เพราะตอนเด็กๆ ก็เคยเล่น แต่ตอนนั้นเด็กมาก ตอนนั้นก็ทำการบ้านกับแม่ เราก็จะง๊องแง๊งกัน ก็รู้สึกไม่สนุก ไม่อยากเล่น”
กบ : “เหมือนเราสอน แล้วเขาก็จะบอกว่าหนูอยากทำอย่างนี้ หนูอยากเป็นอย่างนี้ มันก็เลยขัดกัน เราก็เลยค่อนข้างจะกังวล แต่ถ้าเกิดเขาอยากมาเล่นกับเรา ก็ต้องดูในความเหมาะสมว่าผู้ใหญ่เขาเห็นด้วยไหม และสุดท้ายก็ต้องอยู่ที่เขาเป็นคนตัดสินใจอยู่ดีว่าอยากเล่นหรือเปล่า”
เหนือ : “หนูว่าอาจจะเขินด้วยมั้งเวลาคุณแม่มาสอน คือพอเป็นแม่ลูกเราก็จะชอบไม่ฟัง แล้วก็จะง๊องแง๊ง”
กบ : “มันไม่เหมือนผู้กำกับไง ถ้าผู้กำกับสั่งก็จะทำทุกอย่าง แต่แม่สั่งก็จะเมินๆ หน่อย (หัวเราะ) แต่ก็มีผู้จัดหลายท่านติดต่อทาบทามมาสักพักแล้วค่ะ แต่ตอนนั้นเขายังเรียนอยู่ เขาก็จะครึ่งๆ กลางๆ ก็จะมาถามว่าแม่คิดยังไง แม่เอายังไง เราก็บอกว่าถ้ามันเป็นโอกาสลูกจะอยากลองก็ได้ เพราะไม่ใช่ว่าใครจะมีโอกาสแบบนี้ง่ายๆ นะที่อยู่ๆ ก็จะติดต่อให้เราไปเล่นละคร โห บางคนกว่าจะไต่เต้าขึ้นมา บางทีเขาก็บอกว่าเดี๋ยวก่อน เราก็จะบอกว่าแล้วแต่ แม่ไม่บังคับ จนเรียนจบนี่แหละ ก็มีติดต่อมาเรื่อยๆ ค่ะ มีหนัง Netflix ก็มีติดต่อมาตลอด ตอนนี้พวกโฆษณาก็เริ่มมี”
เชื่อว่าลูกสาวทำได้ เรื่องหน้าจะให้มาทำเต็มตัวแล้ว
กบ : “ถ้ามีโอกาสก็อยากให้ลองทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังไปพร้อมกันเลยค่ะ เพราะยังไงเขาก็ต้องมาทำตรงนี้แทนเราอยู่แล้ว ถ้าจะอยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังกบว่ามันก็ดี เพราะเขาไม่ต้องมาติดค้างเรื่องการเรียนแล้ว มันก็ไปคู่กันได้เลย แล้วเราก็ค่อยๆ สอนเขาไป เขาก็จะได้เรียนรู้และแน่นขึ้นๆ ในโลกของเขาในวันข้างหน้า กับโลกของเราที่ต่อสู้มามันก็ต่างกัน เขาเป็นเด็กสมัยใหม่ ก็จะมีวิสัยทัศน์ มีอีคิว ไอคิวของเขาอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งอาจจะไม่ได้ตรงกับทางเรา
แต่เราก็บอกว่ายังไงมันก็ผสมผสานกัน ยุคเก่ามันจะหายไปเลยไม่ได้ อย่างสมัยเรามีแค่คู่พระนางคู่เดียว แต่เดี๋ยวนี้มีคู่หนึ่ง คู่สอง มีตัวประกบ และเราก็ไม่รู้ว่าในอนาคตยุคของเขามันจะเป็นยังไง แต่ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเอารุ่นเราไปใส่ทั้ง 50 อาจจะใส่สัก 20 รุ่นคุณ 80 แต่ยังไงมันก็ต้องไปด้วยกัน
เรื่องหน้าเขาก็ต้องมาเบื้องหลังเต็ม 100 ค่ะ ก็คือมาคู่กับเราเลยค่ะ แม่ก็จะ 100 แบบนั่งดู ช่วงนี้เราก็ถ่ายทอดวิชาให้เขา แต่จริงๆ เราสอนเขามาเรื่อยๆ อยู่แล้ว เคยให้เข้าไปดูตอนที่ประชุมงาน เวลาตัวละครมา บทมาเป็นยังไง เมื่อก่อนเราจะสอนกันในโต๊ะประชุมมากกว่า แต่ตอนนี้เขาต้องออกมาลงสนามแล้ว”
ยอมรับกังวล เพราะแม่ทำไว้ดีมาก
เหนือ : “กังวลทุกอย่างเลยค่ะ ไม่รู้จะสู้ยังไงดี สู้แม่ไม่ได้เลย อาจจะเพราะว่าคุณแม่ทำไว้ดีมากด้วย เราก็ไม่รู้ว่าเราจะทำได้ถึงหรือเปล่า ก็ต้องดูกันต่อไปในอนาคตค่ะว่าหนูจะทำได้ดีขนาดไหน”
กบ : “เราก็บอกเขาค่ะว่าต้องใจเย็น ต้องอดทน เราอยู่ในกองที่มีคน 60-70 คน ทุกคนต่างที่มา และยิ่งถ้าเราเป็นหลัก เรายิ่งต้องมีความอดทนสูงมาก และต้องใจเย็นมาก ต้องมีสติ และถ้ามีบางอย่างต้องตัดสินใจต้องคิดให้รอบคอบ ต้องมี 1 2 3 แต่ถ้าเราไม่มีสติแล้วโช๊ะเดียวเลยมันจะลำบาก เพราะเราคุมคนเยอะ เราถึงต้องใจเย็น แต่ก็ต้องสอนเขาไปเรื่อยๆ อย่างเราอยู่มานานแล้ว ตั้งแต่อายุ 19 อยู่ตั้งแต่เป็นนักแสดง จนมาอยู่เบื้องหลัง เราก็จะรู้ว่านักแสดงแต่ละคนเป็นยังไง ไปกองเราจะเจอปัญหาอะไร
แต่เราต่อสู้ด้วยความจริง จะมีปัญหาอะไรก็แล้วแต่เอาความจริงมาพูดกัน นี่คือตัวกบนะ ถ้าเราใช้ความจริงคุยกันทุกอย่างมันจะง่าย แต่อย่างที่เขาบอกว่าไม่รู้เขาจะสู้ได้หรือเปล่า เขาสู้ได้ในวัยของเขา ในความคิดความอ่านของเขา ถ้าเขาอยู่ในกลุ่มของเขา เขาก็เป็นผู้นำได้ เพียงแต่ตอนนี้เขาก็แค่มีความรู้สึกเกร็งว่าแม่ทำมาขนาดนี้ เขาเพิ่งเริ่มต้น เขายังรู้สึกว่าจะไหวไหม จะสู้ได้ไหม แต่กบเชื่อว่าเขาทำได้ แต่ก็ต้องใช้เวลา”
เหนือ : “ถามว่าเราจะทำแตกต่างจากที่แม่ทำเลยไหม เอาจริงๆ หนูไม่ใช่สายละครขนาดนั้น แต่คุณแม่สายละคร เราก็ต้องค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ เรียนรู้ว่าบทมันเป็นยังไง วิธีการแสดง และคงต้องผสมผสานความเป็นตัวเองเข้าไป ก็คงจะต้องแตกต่างจากแม่แหละ เพราะแม่ก็คือแม่ หนูก็คือหนู แต่ยังไงเราก็ได้แม่มา มันก็ต้องมีความเป็นแม่อยู่ด้วย”