“ฮาย-เชน” วง “เปเปอร์ เพลนส์ (Paper Planes)” เริ่มชินกับชีวิตเปลี่ยนไป ลดงานเบื้องหลังเพื่อมารับงานกลางวันเพื่อเด็กๆ รู้สึกตลกและยิ่งใหญ่ในคราวเดียวกันที่กลายเป็นหัวหน้าแก๊งฟันน้ำนม มีขวดนมเป็นบงของวง วางตัวเองเป็นพี่ชายของเด็กๆ แย้มมีแพลนทำเพลงสูตรคูณ ออมเงิน รับว๊ากจนรุ่งพรีเซ็นเตอร์สินค้าเด็กติดต่อเข้ามาเพียบ แต่กลายเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก
โด่งดังขึ้นเรื่อยๆ สำหรับ “เปเปอร์ เพลนส์ (Paper Planes)” ที่มีสมาชิกอย่าง “ฮาย ธันวา เกตุสุวรรณ” และ “เซน นครินทร์ ขุนภักดี”เจ้าของเพลงฮิต ทรงอย่างแบด ที่ตอนนี้มีงานโชว์ตัวและพรีเซ็นเตอร์รุมมากมาย
ล่าสุดสองหนุ่มก็ได้เปิดตัวในฐานะพรีเซฺ็นเตอร์แลคตาซอยคนใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์ขนาด 125 มิลลิลิตร หลังปรับราคาขึ้นจาก 5 บาท เป็น 6 บาทต่อกล่อง โดยสองหนุ่ม ฮาย-เซน ก็ได้เปิดใจกับสื่อมวลชนถึงเรื่องนี้ว่า….
ฮาย : “รู้สึกเป็นสิ่งใหม่ ตื่นเต้น ดีใจ รู้สึกแปลก เป็นสิ่งใหม่หมดเลยครับ ก็รู้สึกตื่นเต้น ภูมิใจ เราทานมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ววันหนึ่งเราได้มานำเสนอสิ่งนี้ให้กับคนอื่น มันรู้สึกมีคุณค่าครับ”
เซน : “เป็นงานที่เราไม่เคยเจอ บอกไม่ถูกครับ คือเราได้ยินแค่คำว่าแลคตาซอย 5 บาทมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ววันหนึ่งเราได้มาทำงานอันนี้”
มีขวดนมเป็นบงของวง
ฮาย : “เดี๋ยวเราจะทำเพลงใหม่กันด้วย ความสนุกมันอยู่ที่ว่าทุกคนไม่สามารถคาดเดาได้ ว่าแลคตาซอยในปีนี้เราจะนำเสนอแบบไหนในส่วนของเพลง ยังมีความว๊ากแน่นอน แลค (ทำเสียงว๊าก) ว๊ากตอน 6 บาท อันนี้ต้องแอบไปติดตามดูนะครับ เพราะมันน่าจะสนุกดี มือหนึ่งทีไมค์ มือหนึ่งถือขวดนมยักษ์”
เซน : “ถ้าเกาหลีเรียกว่า บง (แท่งไฟที่เป็นอุปกรณ์สำหรับดูคอนเสิร์ต K-POP) บงของวงเราคือขวดนม (หัวเราะ)”
ฮาย : “ดีๆ เขินครับ แล้วก็มีคนเอาพวกขนมมาให้เยอะ”
เริ่มชินกับชีวิตเปลี่ยนไป ลดงานเบื้องหลังเพื่อมารับงานกลางวันเพื่อเด็กๆ
ฮาย : “เริ่มรู้สึกชินกับเด็กๆ แล้ว กลายเป็นว่าทุกที่ที่ผมไปข้างนอก รู้สึกเหมือนบ้าน เพราะว่าเราออกไปข้างนอก เราไปเจอผู้ใหญ่ เราไม่ใช่คนแปลกหน้ากันอีกต่อไปแล้ว เรารู้สึกว่าเขาเป็นคุณลุงเรา เป็นคุณป้าของเรา เราไปเจอน้องก็เหมือนเป็นหลาน เป็นลูกเรา เหมือนเรามีครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น เรารู้สึกว่ามันอบอุ่นขึ้น แล้วเราก็มีความสุขมากขึ้น เริ่มมีงานกลางวันมากขึ้น เดี๋ยวเริ่มเล่นแล้วครับ เข้ามาอยู่ในคิวแล้ว กลายเป็นว่า งานกลางวันเข้ามาแทรก กลางคืนก็คงเล่นอยู่ ตอนนี้ก็ลดงานเบื้องหลัง ปกติจะทำงานเบื้องหลังคู่ไปด้วย เอาเวลาทำงานเบื้องหลังไปนอน”
เซน : “สู้ครับ”
ฮาย : “งานกลางวันคิดว่าเป็นห้างสรรพสินค้า อีเวนต์ในที่โล่ง ที่เด็กๆ สามารถเข้าได้”
รู้สึกตลกกลายเป็นหัวหน้าแก๊งฟันน้ำนม วางตัวเองเป็นพี่ชายของเด็กๆ
ฮาย : “เรารู้สึกตลก รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่มากๆ แต่ในทางเดียวกันเราก็ทรีตตัวเองเป็นพี่ชาย เรารู้สึกว่าเราอาจจะให้สิ่งดีๆ กับเด็กๆ ได้มากๆ แต่เราก็ยังมีสิ่งที่เรายังเป็นมนุษย์อยู่ เราเลยคิดว่าการวางตัวเป็นพี่ชายน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะพี่ชายที่จะมีน้องๆ ผมคิดว่าเขาไม่ได้เพอร์เฟกต์ร้อยเปอร์เซนต์ แต่เมื่อเขามีน้องๆ เขาจะแสดงให้น้องๆ เห็นแบบไหน เขาจะสอนน้องๆ แบบไหน”
เซน : “อยากให้น้องเป็นคนที่ดี”
ฮาย : “การใช้ชีวิตต้องปรับเปลี่ยนนิดหน่อยครับ เพราะจริงๆ เราก็ไม่ใช่สายอบายมุขขนาดนั้นอยู่แล้ว เลยไม่อยากมาก เราไม่ได้ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์อยู่แล้ว มีความกดดันไหมตอนแรกๆ มีคิดบ้างพอเอาเข้าจริงๆ แล้ว ไม่ค่อยเพราะว่ามันไม่ยากเกินไป มันเหมือนเรามีน้องแล้วก็ปรับเปลี่ยนนิดหน่อยเอง
เตรียมทำเพลงท่องสูตรคูณ
ฮาย : “จริงๆ มีคิดไว้แล้วนะครับ ก็มีปรึกษาพี่ที่ค่ายว่าเราจะปล่อยออกมาในรูปแบบไหน เพราะมันมีแพลนอัลบั้มของพวกเราอยู่ น่าจะโฟกัสไปที่อัลบั้มก่อน แต่ถ้ามีอีเวนต์สำคัญๆ ก็เป็นไปได้อาจจะเป็นในแง่ของสถานการณ์พิเศษ (เป็นเพลงในอัลบั้มหรือเพลงพิเศษ?) นั่นน่ะสิต้องไปคิดก่อน
อยากให้มองว่า ถ้าจะต้องมีเพลงสูตรคูณ อยากให้มองว่าเป็นเพลงพิเศษ ทำมาให้น้องๆ ผู้ปกครอง เราเป็นมากกว่าคนทำเพลง เราเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันแล้ว เลยคิดว่าการทำแบบนี้เป็นการทำสิ่งน่ารักให้กัน เป็นคอนเทนต์ง่ายๆ เรารู้สึกว่า ในอัลบั้มยังเป็นเหมือนเดิม เรารู้สึกว่าสิ่งที่น้องๆ ชอบในความเป็นตัวเรามันคือตัวเรามากๆ ไม่ใช่ว่าเราพยายามทำให้มันป๊อปปูล่าร์ และถ้าเขาชอบในความเป็นตัวเรา เราควรจะคงความเป็นตัวเราไว้ เราไม่ควรปรับเปลี่ยนตัวเอง ดีด้วยซ้ำที่เราจะได้นำเสนอสิ่งใหม่กับวงการดนตรี กับเพลงที่มันไม่ได้เกิดขึ้นมาบ่อยๆ”
กดดันผู้ปกครองเรียกร้องให้ทำเพลงใหม่ๆ ออกมา
ฮาย : “ผมก็ตามๆ ดูในโซเชียลนะ ก็กดดันอยู่ (หัวเราะ)”
เซน : “ในคอมเมนต์ก็มีเยอะอยู่ ก็ตลกๆ ดีครับ อย่างท่องสูตรคูณเราก็เป็น”
ฮาย : “ขอร้องเถอะ คุณแม่ขอเถอะ พยายามจะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนให้ได้ เพราะแต่ละคนไม่สามารถขับเคลื่อนได้ทุกเรื่อง อย่างเรามีความสามารถทางด้านนี้และมันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงเราก็ทำด้วยกัน (จะมีว๊ากไหม?) ผมว่าน่าจะมี ณ ต่อไปเราอาจจะต้องสาธิตการว๊ากที่ถูกต้องให้มากขึ้น เพราะเดี๋ยวเด็กๆ จะเส้นเสียงอักเสบกัน”
และจะมีเพลงเกี่ยวกับการออมเงินด้วย
ฮาย : “เดี๋ยวไปวางแพลนก่อนไม่ได้มีแค่สูตรคูณนะ คงจะมีคอนเทนต์ออกมาเรื่อยๆ แต่ก็อยากให้คอนเทนต์มันกว้างออกไปในทางที่ไม่ได้อยู่กับเด็กๆ มาเกินไป เพราะผมเชื่อว่าทิศทางที่สำคัญไม่ได้มีแค่เด็กๆ แล้ว ผู้ปกครองก็สำคัญ เราเลยคิดว่าคอนเทนต์ของเราควรจะกว้างไปถึงผู้ปกครองด้วย สุดท้ายมันก็จะย้อนกลับมาที่เด็กๆ อยู่ดี”
เซน : “จะมีเรื่องของการเก็บเงินด้วย อาจจะเริ่มจากการหาของที่อยากได้ก่อน ให้มันเป็นแพชชั่นในการเก็บเงิน เพื่อที่จะไปซื้อของสิ่งนั้นสิ่งนี้”
ฮาย : “อาจจะปลูกฝังง่ายๆ เด็กอาจจะยังไม่มีวิธีการคิดที่ซับซ้อนมาก และเด็กๆ อาจจะขับเคลื่อนในเรื่องของแรงบันดาลใจ ความชอบ สิ่งที่เขารัก เริ่มจากอยากให้เขาอยากซื้อของเป็นชิ้นเป็นอันก่อนก็ได้ น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี”
ผู้ปกครองมาบอกว่าลูกๆ ของเขาเชื่อตนมากกว่า ฝากถึงเด็กๆ เราทำในสิ่งที่เราชอบได้ แต่เราต้องรับผิดชอบด้วย
ฮาย : “เราคุยเรื่องนี้กันหนักมาก ไม่ว่าจะเป็นการเลือกพรีเซ็นเตอร์ เลือกสินค้าที่จะเข้ามา เราอยากให้เด็กๆ ได้ประโยชน์จริงๆ ด้วย เราเลยไม่อยากฝากวิธีคิดให้เด็กๆ อยากให้เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เหมือนเราคอยประคองในสิ่งที่เขาชอบ และซัปพอร์ต”
เซน : “อยากฝากถึงเด็กๆ ที่มาดูเราในโชว์ บางคนอาจจะแบบพรุ่งนี้ไม่อยากไปโรงเรียน เลยอยากจะฝากบอกว่า เรามาทำในสิ่งที่เราชอบได้ แต่ว่าเราก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ”
ฮาย : “อยากให้ไปโรงเรียนให้ตรงตามตารางที่เราต้องไป หรือในเรื่องอื่นก็ตามก็อยากให้มีความรับผิดชอบกันอยู่”
มีงานพรีเซ็นเตอร์สินค้าเด็กติดต่อเข้ามาเยอะ รับเป็นเรื่องที่คิดหนัก อยากให้ได้ประโยชน์ทั้งตัวเราและประชาชน
ฮาย : “จริงๆ ถ้าพูดตรงๆ มีหลายสินค้า อย่างที่บอกเรามีกระแสมาจากเด็กๆ ก็จริง แต่เราก็พยายามขับเคลื่อนให้ครบกลุ่มทุกอายุ ก็มีสินค้าเด็กติดต่อเข้ามาเยอะ และมีสินค้าอื่นที่ไม่ใช่แค่ช่วงอายุเด็กก็มี (มีหลายตัว?) ไม่แน่ใจว่าพูดได้ไหม
(คนมองว่า ทรงอย่างแบดมาร์เก็ตติ้ง รู้สึกอย่างไร?) ไม่ว่าสุดท้ายมันจะเกิดขึ้นรวดเร็ว ระยะสั้นหรือระยะยาว สุดท้ายแล้วผลลัพธ์มันออกมาดี ผมยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติกับพวกเรา อย่างน้อยในจุดเริ่มต้นไม่จำเป็นต้องการ การที่เราจะปลูกฝังเมล็ดอะไรไปมันอาจจะเป็นระยะเวลาที่สั้น แต่การเติบโตนี่แหละที่มันจะต้องใช้ระยะเวลาก็เลยคิดว่าการที่เราได้พรีเซ็นเตอร์สินค้าต่างๆ เราคิดกันหนักมาก เพราะอยากให้เป็นประโยชน์จริงๆ ไม่อยากให้เป็นการตลาดกับเด็กมากเกินไป
ไม่อยากให้เด็กๆ เห็นว่าพี่ฮายทำสิ่งนี้แล้วเขาต้องทำสิ่งนี้ในวันที่เขายังไม่ควรจะได้ เราก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์อะไร หรือสินค้าต่อจากนี้ ขอให้รู้ว่ามันผ่านการคิดมากประมาณหนึ่งแล้วที่จะไปสู่เด็กๆ หรือว่าในสินค้าที่จะเป็นอนาคต ต้องบอกตรงๆ ว่าพรีเซ็นเตอร์ที่เข้ามามีเยอะ แต่เราต้องเลือก เราอยากให้ได้ประโยชน์ทั้งตัวเราและประชาชน”