“ตงตง กฤษกร” เป็นหนี้ก้อนแรกในชีวิต ทุ่มสุดตัวซื้อบ้านหลังใหม่ ราคา 8 หลัก หวังครอบครัวที่ต่างจังหวัดได้มาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้ โอดทุกวันนี้ยอมเหนื่อยทำงาน 7 วันเพื่อสิ่งนี้
ทำเอา “ตงตง กฤษกร กนกธร” โอดว่าเป็นงานที่ยากที่สุดของที่สุดในชีวิตแล้วกับการที่ต้องมารับบทพระเอกลิเก ในละครเรื่อง คู่พระ-คู่นาง เจ้าตัวถึงกับเตรียมใจยอมรับคำวิจารณ์
“เป็นครั้งแรกในชีวิต ต้องบอกว่าไม่เคยอยู่ในหัว เกิดมา 27 ปี ไม่มีคำว่าลิเกอยู่ในหัวแล้วพอได้มาเล่น รู้สึกว่าตอนแรกยังกังวลเลยว่ามันจะเหมาะสมไหม ถึงขั้นต้องคุยกับผู้ใหญ่เลยว่า พี่ผมเหมาะหรือเปล่าผมก็กลัวว่าจะทำได้ไม่ดี พอได้ไปนอนคิดย้อนมองดูตัวเองใหม่ก็รู้สึกว่าลองดูแล้วกันสักครั้งในชีวิต มันท้าทายมาก ผมจะทำออกมาให้มันดีที่สุด อยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง
คือกลัวว่าจะทำออกมาได้ไม่ดีครับ เพราะว่าพอไปเรียน ตอนแรกคิดว่ามันไม่ได้ยากขนาดนั้น แต่พออ่านบทดูดีๆ ลองไปคุยกับผู้กำกับคือมันยากมากเพราะว่าในบทค่อนข้างมีร้องรำลิเกค่อนข้างเยอะมาก พอไปเรียนแล้วมันก็ทำให้รู้ว่ายาก มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผมเรียนหนักมาก ร้องรำ มันยากจริงๆ ผมยังท้อเลยนะ”
เตรียมใจพร้อมกับคำวิพากษณ์วิจารณ์ทุกคำติชม
“ใช่ครับ แต่คิดว่าผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะเราเริ่มจากไม่เป็นเลย ก็ให้คำแนะนำกันได้ ผมก็จะเรียนรู้ ไม่ว่าจะด่ายังไงก็ได้ ติอะไรก็ได้ ผมจะเรียนรู้และฝึกฝนต่อไป เพราะอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตไม่คิดว่าจะได้มาทำแล้วลองมาทำ ผมก็อยากลองทำให้เต็มที่ บอกเลยว่านี่คือที่สุดของที่สุดในชีวิตผมแล้วครับ”
ทำงาน 7 วันเพราะซื้อบ้านใหม่ ราคา 8 หลัก
“7 วันครับตอนนี้คือทำงานด้วยมีงานอีเวนต์ด้วย และที่สำคัญเรื่องนี้ภูมิใจมากคือ เพิ่งซื้อบ้าน (ยิ้ม) เป็นบ้านหลังแรกในชีวิต ที่เราตั้งใจไว้ตั้งแต่เด็กๆ ก่อนเข้าวงการด้วยซ้ำ อยากมีบ้านให้แม่และตอนนี้ก็ไปดูบ้านเรียบร้อยแล้ว เป็นบ้านโครงการครับแล้วเราก็ต้องแต่งอีก ราคาบ้านก็ค่อนข้างสูง ก็ต้องผ่อน 8 หลัก ก็เลยต้องปั่นเงินเป็นพิเศษ รับงาน 24 ชั่วโมงครับ ทำได้ทุกอย่าง ผ่อนบ้านต่อไป ส่วนคอนโดก็ปล่อยแล้วเรียบร้อย”
หวังครอบครัวย้ายจากต่างจังหวัดมาอยู่ด้วยกัน
“หลักๆ ก็แม่แน่ๆ บอกแม่ไว้แล้ว อยากให้แม่ คือผมอยู่วงการมาตั้งแต่เริ่มต้นก็นี่แหละวันนี้ มีบ้านแล้วและก็อยากพาแม่ไปเห็นบ้านหลังแรก ใช้เวลาเลือกไม่นานครับชินอยู่แถบนั้น เราก็อยากใช้ชีวิตอยู่แถบนั้นเลยเลือกที่นั้น
ตอนนี้กำลังตั้งเสาเลยครับ น่าจะปลายปีถึงจะเสร็จ เป็นน้ำพักน้ำแรงของเรา ภูมิใจครับ ลองมองย้อนไปตั้งแต่วันแรกที่เข้าวงการ เราเริ่มตั้งแต่เราไม่มีอะไรเลย จนทุกวันนี้เราเริ่มผ่อนบ้านได้ ผมว่าคนที่อยู่ข้างหลังคงจะภูมิใจครับ
พอได้บอกข่าวดีกับแม่แกก็ดีใจ แต่ก็กลัวแม่จะไม่มา เพราะแม่อยู่ที่ต่างจังหวัด เขาได้พูดคุยกับข้างบ้าน เขาได้ขี่มอเตอร์ไซค์แล้วการที่เขาต้องมาอยู่กรุงเทพฯ แล้วมาอยู่ในหมู่บ้าน ผมไม่รู้เขาจะมีความสุขเท่าอยู่บ้านไหม แต่คิดว่าพอบ้านเสร็จแม่น่าจะมาครับ แต่ว่าจะอยู่ยาวอันนี้ไม่แน่ใจครับ แล้วแต่เขาครับ”
ทุ่มสุดตัวกับบ้านหลังนี้ นี่คือหนี้ก้อนแรกในชีวิต
“ผมทุ่มตัวกับบ้านหลังนี้มาก คิดว่าตอนนี้ทุ่มเทบ้านแล้วครับ ที่ผ่านมาไม่เคยมีหนี้สินอะไร ไม่เคยผ่อนอะไรเลยนี่คือการผ่อนครั้งแรกในชีวิต เป็นหนี้ครั้งแรก ด็คงต้องใช้เวลาหลายปีในการผ่อน มันเป็นเงินค่อนข้างเยอะ เราเองก็ไม่ใช่ว่ามีเงินสดเยอะขนาดนั้น ก็ต้องทำงานแลกมาครับ
บ้านหลังนี้ก็เป็นอนาคตของผม ผมมองไกลครับ ต้องหาอะไรทำอีกหลายๆ อย่าง ก็มีโปรเจกต์หลายอย่างครับในปีนี้ มีทำผลิตภัณฑ์ด้วย คิดว่าเร็วๆ นี้ครับ อยู่ในช่วงผลิตอยู่ครับ มีขายเสื้อ ทำงานนอกหลายๆ อย่างด้วยครับ มองไปไกล ไม่ได้มองแค่อาชีพนี้อย่างเดียว ทำอย่างอื่นเสริมด้วยครับ แต่อาชีพนี้ก็ตั้งใจอยู่ครับ
เหนื่อยไหมมันก็เหนื่อยครับ แต่ว่ามันยังมีภาระครับ เราก็ต้องยอมแลกครับ เพื่อที่ให้ภาระนี้จบก็คือบ้านนี้ครับ เวลาเหนื่อยๆ ก็โทร.หาแม่ครับ แม่คือที่สุดของผม ช่วงนี้ผมไม่ค่อยสบาย พักผ่อนน้อยครับ อะไรหลายอย่างครับ ก็ขอบคุณแฟนๆ ด้วยครับ ทั้งคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามา หรือคนที่อยู่กันมาตั้งนานแล้ว เราก็นึกถึงพวกเขาเสมอไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหน คนเก่าๆ ผมยังเห็นอยู่ทุกวันนี้ หรือคนใหม่ที่เพิ่งมาก็ยินดีต้อนรับครับ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีพวกเขาก็คงไม่มีผมในวันนี้เหมือนกัน ก็ขอบคุณมากๆ ครับ”