รู้จัก “เจมส์ เดอะสตาร์” อีกมุมที่หลายคนยังไม่รู้ สู้มาตลอด 10 ปีกว่าจะเป็นแชมป์ในวันนี้ เผยแต่ละครั้งที่ประกวดก็เจอแต่คำว่า “แพ้” เตรียมหยุดความฝัน และยึดหลักในโลกแห่งความเป็นจริง ทิ้งการประกวด เดินหน้าไปทำเบื้องหลัง ไม่ชินกับความผิดหวัง ท้อจนอยากเลิกทำ
ประสบความสำเร็จสมศักดิ์ศรีกับเวทีการประกวดในตำนานอย่าง “เดอะสตาร์” ที่เดินทางมาครบ 20 ปีแล้ว โดยปีนี้เข้มข้นจนคนพูดถึงเป็นอย่างมาก รวมไปถึงแชมป์ปี 2022 อย่าง “เจมส์ เจตพล กนิษฐชาต” ที่หลายคนอาจจะรู้จักเขาจากการต่อสู้มาตลอด 10 ปีสำหรับเส้นทางนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็พบเจอแต่ความผิดหวัง จนอยากจะเลิกทำ “ชีวิตนี้มีแต่คำว่าแพ้” ดึงสติ! จากความฝันให้กลับมาอยู่ในโลกแห่งความจริง เตรียมแผนสองไปเรียนต่อ
สู้มาตลอด 10 ปี แต่แอบน้อยใจ! ทำไมชีวิตไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่น
"ผมว่ามันน่าจะเป็นที่ช่วงเวลาด้วย เพราะที่ผ่านมาก็พยายามหาตัวเอง และไปเวทีอื่น ทำอะไรอย่างอื่นมาตลอด 10 ปี เราไม่ได้รอคอยอย่างเดียว เราพัฒนาตัวเองและไปในทุกที่ ที่มีโอกาส ผมว่ามันอยู่ที่ช่วงเวลามากกว่า และการที่เรากลับมาที่นี่อย่างภาคภูมิใจ เพราะมันเป็นเดอะสตาร์ไง เราโตมากับที่นี่ ผมว่ามันเป็นความฝันเล็กๆ นะ และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มันต้องคิดก่อนว่าความฝันกับความจริงมันไม่เหมือนกัน บางทีเราฝัน เราทำไม่ได้ เราก็ต้องไปอยู่กับความจริง เราต้องทำงานทุกวัน ผมร้องกลางคืนก็ร้องกลางคืนทุกวัน 6 วันต่อ 1 อาทิตย์ร้องอย่างนี้เป็นรูทีนไปเรื่อยๆ ตอนแรกก็มีความสุขนะเล่นดนตรีได้เอ็นจอยกับผู้คน แต่ชีวิตกราฟมันนิ่งตลอดระยะเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยรู้สึกว่าเราต้องดูถูกอาชีพตัวเอง ไม่ได้คิดแบบนั้นนะ คือต้องบอกว่าความฝัน แทบจะพับเก็บไปแล้ว เพราะความจริงมันเป็นอีกแบบ ยังไงเราก็ต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง
อย่างเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ที่ตัดสินใจเลย ก็เพราะเป็นเด็กไง วิ่งเข้าสู่ความฝันเต็มที่ แต่ไม่มีภูมิต้านทานไง เลยล้มแล้วก็เจ็บหนัก แล้วเราไปโน่นไปนี่มาตลอด มันเลยสะสมมาเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าหรือเราพอดีไหม เหมือนมันแพ้มาตลอด และอายุที่เพิ่มขึ้น มันก็มีส่วน กับการที่คนบอกว่าเป็นนักร้องประกวดนะ ผมว่ามันไม่ได้น่าภาคภูมิใจเท่าที่ควรนะกับคำนี้ ส่วนตัวผมเพราะว่าความฝัน ผมอยากเป็นศิลปิน อยากเป็นคนที่สร้างงานจริงๆ เป็นตัวเองจริงๆ แต่มันรู้สึกว่ามันอาจจะไม่ใช่สำหรับเราหรือเปล่า เราเคยคิดแบบนี้นะ เพราะมันนานแล้วเราทำไม่ได้มันก็เลยพับเก็บตรงนั้นไป แล้วก็มองดูทางอื่น เรียนต่อบ้าง หาอะไรที่เป็นช้อยส์อื่นในการเล่นดนตรีบ้าง ที่ไม่ใช่การเล่นอยู่กับที่
มันก็น้อยใจนะ น้อยใจมากนะ ที่ผ่านมาเห็นทุกคนประสบความสำเร็จกันหมด แล้วเพื่อนๆ ผมได้ไปอย่างโน้นอย่างนี้ผมก็น้อยใจนะ จะบอกว่าอาจจะมีเวลาของเราหรือเปล่าแต่ช่วงเวลา 2-3 ปีมันก็ไม่ได้น้อยนะมันก็นานนะ แล้วคนเรามันจะรอได้สักกี่ปีกัน ถ้าเปรียบเทียบเป็นความรักอย่างนี้มันจะรักกันได้สักกี่ปี มันไม่เหมือนในนิยาย อย่าง 10 ปีของผมเนี่ยเอาจริงๆ เราก็ไม่ได้ตั้งใจรอขนาดนั้น เราก็ทำอย่างอื่นด้วย เราอาจจะไม่ได้โฟกัสเรื่องรออย่างเดียว คนเรามีความฝันกันหมดแหละแค่มันยังไม่ทำมัน ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จเราก็หนีแล้ว อย่างตัวผมหนี ทำไม่สำเร็จก็อยากพอ ก็เลยไม่ทำอีก ผมว่ามันเป็นอย่างนี้มากกว่ามันน้อยใจแบบนี้มากกว่า พอย้อนเรากลับไปเราก็ไม่ได้ทำเต็มที่ขนาดนั้น"
“อยากเลิกร้องเพลง” เพราะเหนื่อยที่ต้องวิ่งตามความฝัน
"อยากเลิกเลยนะ อยากไปเรียนต่อเลย ไม่ร้องเพลงแล้ว ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปีที่แล้ว คือไม่ต้องฝันแล้วเปลี่ยนเส้นทางไปเลย ไปเรียนต่อด้านมิวสิกนี่แหละ แต่เป็นมิวสิกโปรดักชั่นมากขึ้น ทำช้อยส์สายงานอื่นมากขึ้น เพราะมันหลายปีแล้ว เวลามันเพิ่มขึ้นมันก็บั่นทอนเรามากขึ้น มันกัดกินเรามากขึ้น ผมเลยรู้สึกว่าหรือว่าเราไม่เหมาะกับเส้นทางนี้แล้ว บวกกับอายุเริ่มมากขึ้นเริ่มมองความมั่นคงมากขึ้นแล้วด้วย มองชีวิตในอนาคตเยอะขึ้น เราต้องคิดเผื่ออนาคตแล้วว่าเราจะมามุ่งมั่นกับความฝัน แต่ไม่ได้คิดถึงชีวิตจริงว่ามันลำบากแค่ไหน ผมว่ามันเป็นแบบนี้มากกว่า
ในส่วนของการร้องเพลงกลาง คือถ้าในมุมผม ผมว่ามันยังได้ไม่เต็มที่เท่าไหร่ กับการเอาเงินตรงนี้ไปจุนเจือครอบครัว ถ้าจะเล่นให้ราคามันอัปขึ้น ก็คือต้องเล่นเยอะขึ้น แต่เราเล่นเป็นหลายวันเหมือนคนทำฟรีแลนซ์ มันก็ทำเสร็จหมดไป มันก็ต้องหมุนตลอดเวลา มันไม่ได้สนุกและสวยงามเหมือนที่ทุกคนคิด ว่าการเล่นดนตรีแค่เล่นดนตรีผ่อนคลาย มันไม่ใช่ไง มันมีชีวิตเข้ามาเกี่ยว แต่ที่บ้าน เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ แต่ผมก็แบ่งนะ แต่ถ้าไม่ได้ก็บอกเลยว่าไม่ได้เพราะไม่พอจริงๆ เพราะเราทำแค่อาชีพเดียว เพราะผมเริ่มเล่นกลางคืนมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว”
ดึงสติ! ออกจากความฝัน มุ่งมั่นในโลกแห่งความเป็นจริง
"และสิ่งที่ทำให้ดึงสติเรากลับมาจากความฝัน เพราะมันคือเรื่องจริงที่เราต้องเจอไง เราฝันกันได้ถ้าคุณมีพอ คุณแฮปปี้ในทางแบบนั้น จะฝัน จะลุยสุดโต่งก็ทำได้ แต่สำหรับบางคนมันก็ต้องอยู่กับความเป็นจริงด้วย ต้องทำงานต้องหาเลี้ยงครอบครัวหาเลี้ยงตัวเองผมว่ามันแอบเสี่ยงนะกับการที่ทำตามความฝันโต้งๆ ตรงๆ มันเสี่ยงเหมือนกันอย่างตอนมาเดอะสตาร์ปี 10 เราทุ่มเทมากเรามีพ่อแม่ช่วยซัปพอร์ต ไงแต่การที่คนๆ หนึ่งทำงานแล้วต้องมาประกวดต้องมาสู้ ผมว่าใช้ได้เลยครับ พะวงเหมือนกัน น่ากังวลเหมือนกันกับการที่ลางานเรายิ่งอาชีพอย่างเราเป็นฟรีแลนซ์ลางานปุ๊บก็ไม่ได้เงินแล้ว อันนั้นก็เป็นข้อเสียของเรา
เชื่อไหมว่าเดอะสตาร์นี่คือแผนสำรองแล้วนะ คือเรามองไปทางอื่นแล้วไง เราหลอกตัวเองอยู่ ก็อยากกลับมา อย่างวันที่ไปคัดเลือกที่ ACT เรายังไปบน ขอพรจากพระพิฆเนศ เราชอบทำอะไรแบบนี้อยู่แล้ว เพราะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเรา แต่พอเอาจริงๆ มันกดดันมากกว่า ไม่ได้พะวงอะไร มันกดดันจากเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาว่าถ้าเราเสียใจอีกครั้งมันจะเป็นยังไง ถามว่าเราชินกับความผิดหวังไหม อย่าเรียกว่าชิน เรียกว่าท้อเลย มันอยากจะเลิกทำด้วยซ้ำ
และตอนออดิชั่น ตัวสั่นเลย (แต่การเป็นนักร้องอาชีพมาก่อนมันน่าจะมีความชิน?) มัน 2 มุมนะ นักร้องกลางคืนมันดีตรงที่เป็นมืออาชีพ แต่มันมีความช้ำ ความสดใหม่มันไม่ค่อยมี แล้วแต่คนจะมองนะ เราอาจจะดีตรงที่เจอคนเยอะ เราเอนเตอร์เทนคนได้ ชินกับสายตาผู้คน แต่เรามองมุมนึงก็อยู่ในกรอบที่เราทำงานตลอด คือหมือนจะโล่งแต่กดดัน กลัว ก็ไม่อยากแพ้แล้ว แต่ก็อยากมาไง มาคราวนี้มันไม่ได้ต้องชนะเท่านั้นหรอก แต่มันมีความคาดหวังอยู่ เราคาดหวังกับผลลัพธ์ ถ้าชนะมันก็ดี แต่เรากลัวแค่ถ้าแพ้ไง กลัวมันจะเหมือนเดิม ตอน 24 คน ผมกลัวมากเพราะมันเป็นภาพเก่าๆ รอบเก่าๆ ที่เราตกรอบนี้ ผมว่ามันไม่เหมือนกันแน่นอน ตกรอบกับเข้ารอบ ชีวิตมันเปลี่ยนคนละทิศทางแน่นอน ถ้าเข้ารอบก็ได้มีโอกาสต่างๆ เข้ามามากมาย ผมว่ามันต่าง นี่คือความกลัวและความรู้สึกที่ไม่รู้จะทำยังไง
ในวันนี้ถามว่าความรู้สึกกลัวว่าจะแพ้ มันลบออกจากหัวไปเลยไหม มันมีความรู้สึกว่าสำเร็จแล้ว ที่ร้องไห้ตอนที่เราได้แชมป์ คือมันโล่งที่เราทำลายกำแพงตัวเองได้แล้วส่วนนึง ที่เหลือคือสิ่งที่เราเจอในอนาคตแล้ว มันดีใจมากขนาดที่พูดไม่ออก มันภูมิใจ คือเวทีนี้มันขลังมากสำหรับผมไง มันเป็นสิ่งที่เราคิดถึงตลอด เราอินมาก มันเลยตื้นตันใจ
ตอนนี้เราเป็นคนสาธารณะแล้ว ก็คือต้องเป็นคนดี แม่บอกให้เป็นคนดี แม่ก็ร้องไห้ ดีใจด้วย ภูมิใจ เขามาบอกว่าเขาภูมิใจในตัวเรานะ ครอบครัวเราไม่หวานอยู่แล้ว เขามารับกลับบ้านวันแรกก็กรี๊ดกัน เฮกัน แม่เขารู้อยู่แล้วว่าเราเป็นคนยังไงก็ให้ใช้ชีวิตเต็มที่ไม่อยากมาตีกรอบอะไรให้ อยากทำอะไรก็ทำ"
