“ชินจัง เดอะสตาร์2022” เล่าถึงชีวิตที่ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ เผยที่ผ่านมาไม่สามารถลองผิดลองถูกได้เพราะฐานะทางบ้านไม่อำนวย ทำงานพิเศษเก็บเงินตามความฝัน เผยความในใจแต่ไม่ใช่ปม “ทำไม? ตัวเองหน้าแปลก” จนบางทีไม่อยากเงยหน้ามองใคร พร้อมใจฟู “ฝันที่เป็นจริง” ได้เห็นพ่อแม่อยู่ในเฟรมเดียวกัน
สูสีกันเลยทีเดียว สำหรับการะประกวดค้นฟ้าคว้าดาวอย่าง “เดอะสตาร์ 2022” แต่ในเมื่อตำแหน่งผู้ชนะต้องมีคนเดียว แต่สำหรับ “ชินจัง ญาณาธิป ใจจุล” หนุ่มน้อยอายุ 19 ปี จากลำปาง ที่แม้จะไม่ได้มีประสบการณ์การประกวดมา แต่แล้วเสียงของเขาก็คว้าใจคนดูทั้งประเทศ และกว่าเขาจะมีวันนี้ได้ ในบางช่วงบางตอนที่ MGR online ได้พูดคุยกับเด็กน้อยคนนี้ เขาบอกว่าชีวิตไม่สามารถลองผิดลองถูกเหมือนเด็กในรุ่นเดียวกัน รวมไปถึงที่ได้มาประกวดวันนี้ก็ต้องทำงานเก็บเงินส่งตัวเองเพื่อจะมาทำตามความฝัน พร้อมเรื่องที่ไม่เคยเล่าที่ไหน
เปิดชีวิต “รองแชมป์เดอะสตาร์ 2022” กว่าจะมีวันนี้ ไม่สามารถลองผิดลองถูก
“ความกังวลก่อนที่จะมาสมัครคือเราเคยพูดไปแล้วว่าเราเกรงใจและเครียดแทนครอบครัว พอมันพร้อมแล้วมันก็ไร้ความกังวลในการที่จะเดินทางมาสมัคร ปล่อยเนื้อ ปล่อยตัว ปล่อยใจ กับการที่จะได้มารับประสบการณ์ใหม่ ซึ่งก่อนที่จะมาประกวด คือด้วยครอบครัวของผมเอง มันไม่ได้มีโอกาสที่จะได้ลองผิดลองถูก แบบในเวทีประกวดแบบนี้ คนอื่นเขาอาจจะได้ไปหลายๆ เวที แต่ผมไม่ได้มีโอกาสที่จะได้ไปแบบนั้น เพราะแค่เดินทางมามันก็ต้องใช้เงินแล้ว เลยไม่ได้มีโอกาสลองผิดลองถูกบ่อยๆ
ผมเดินทางมาจากลำปาง นั่งรถทัวร์มาที่รังสิต เราไม่เคยเข้ากรุงเทพฯ แบบจริงจัง เพราะก่อนหน้านี้เคยมาเข้าค่ายที่กรุงเทพฯ แต่พอลงรถตู้เข้าโรงแรม ขึ้นรถตู้ไปค่าย ไม่เห็นอะไรเลยว่านี่คือกรุงเทพฯ และการมาครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าลงที่ท่ารถตรงไหนถึงจะใกล้ act มากที่สุด และต่อรถไปที่โรงแรมแถวปากเกร็ด แต่ด้วยความโชคดีที่ได้เจอพี่ที่มาจากภาคเหนือและมาสมัครเดอะสตาร์เหมือนกัน เป็นคนลำปางเหมือนกัน และพักโรงแรมเดียวกัน พี่คนนี้เขาก็สอนในหลายๆ เรื่อง สอนขึ้นแท็กซี่ และด้วยความที่เราเป็นคนสบายๆ ปล่อยตัวอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเจออะไร เรารู้สึกว่าเรารับมือได้ เพราะยังไม่เคยเจออะไรที่ยังรับมือไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้ลองเราก็ไม่รู้ มันจะกลัวอะไร
ส่วนเรื่องที่ผมบอกว่าในชีวิตผมไม่สามารถจะลองผิดลองถูกได้ ผมรู้สึกว่าที่บ้านผมไม่ได้มีฐานะที่จะใช้เงินมาประกวดแข่งขันใดๆ เพราะแต่ละประกวดมันก็ต้องค่าใช้จ่าย ค่าเดินทาง และถ้ามารอบเดียว ไปไม่สุด มันก็จะเสียดายเงิน เงินตรงนั้นจะเสียเปล่า หรือจะแค่ลองมาหาประสบการณ์ดู ขอเงินพ่อแม่มาประกวด ถ้ามา และได้นิดๆ หน่อยๆ มันก็เสียเปล่า แต่คราวนี้คือผมเก็บเงินเอง มาประกวดเอง เลยทำให้เราไม่ได้คิดอะไรเลย มันเป็นเงินที่เราหามาได้เอง จากการที่เราหาเงินมาจากร้องเพลงตามงาน เก็บเงินไปเรื่อยๆ ด้วยความที่ครอบครัวไม่ได้มีฐานะอะไร เราก็เลยต้องทำงานเพราะจะได้เอาเงินไปซื้อของส่วนตัว โดยไม่ได้ต้องรบกวนครอบครัว ซึ่งเราก็ไม่เคยถามตัวเองนะ ว่าทำไมเราต้องมาทำงานตั้งแต่เด็ก เพราะอย่างที่บอกว่าเราเป็นคนสบายๆ และผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าครอบครัวไม่ดี อะไรก็ได้ และผมสามารถทำงานตรงนี้ได้ ก็ทำ และมันก็ไม่ได้เป็นผลเสียอะไรกับผมเลย”
ทำไม? “หน้าแปลก” มันไม่ใช่ปม! แต่แค่กังวล จนไม่อยากเงยหน้า
“วันที่บอกครอบครัวว่าจะไปสมัครเดอะสตาร์ ตอนแรกไม่ได้บอกพ่อ มันมีความที่ไม่กล้าจะบอกว่าเรามาทำอะไรที่กรุงเทพฯ เราก็แค่บอกเขาว่าไปประกวดร้องเพลงนะ เราเป็นนักร้องของโรงเรียน เขาก็จะพาเราไปประกวด แต่พ่อไม่ได้สงสัยอะไร แต่ก็ได้บอกแม่เพราะว่าแม่ผมจะโทร.ถามตลอดว่าเราทำอะไร เราก็บอกว่าไปประกวดเดอะสตาร์ ซึ่งแม่เองก็ไม่ได้คิดว่าเราจะมาไกลขนาดนี้ แม่ก็แค่บอกว่าก็ไปตามที่เราตั้งใจ ให้ไปลองดู อีกอย่างเราก็ตามฝันด้วยตัวเราเอง และที่เลือกมาเดอะสตาร์ เราเองไม่ได้รู้จักรายการประกวดแนวนี้สักเท่าไหร่ เดอะสตาร์เราคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กๆ เราเห็นเขาประกาศบวกกับเราพร้อมพอดี เราจึงตัดสินใจมา ซึ่งสิ่งที่เราพร้อมในเรื่องของการที่จะส่งตัวเองมาประกวด ด้วยเงินที่เราเก็บมาได้สักระยะนึง ส่วนเรื่องการร้อง ดนตรีที่เราเงิน เราไม่รู้เลยว่าคนอื่นจะชอบแค่ไหน เราไม่เคยเห็นเลยว่าฝีมือของคนที่เขามาแข่งร้องเพลง เขาเป็นกันยังไง แต่พวกเขาต้องเก่งมากแน่ๆ แค่คิดว่าเอาวะ ใช้เงินตัวเอง มาหาประสบการณ์
ถามว่าระหว่างนั่งรถทัวร์มากรุงเทพฯ เราคาดหวังไหม คือเอาจริงๆ เลยตอนที่เขาให้กรอกเอกสาร ผมก็เขียนไปว่าอยากมาหาประสบการณ์ คือมาหาจริงๆ คือเราไม่มีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน พอมาถึงวันที่เราขึ้นเวทีร้องจริงๆ เรามีสิ่งนึงที่กังวลคือเรื่องหน้าตาของเราเอง รวมไปถึงเรื่องเสียงที่เราร้องออกไป ผมเป็นคนที่ชอบถ่ายตัวเองร้องเพลง แต่พอมาดูจากคลิปแล้ว ก็ดูหน้าตัวเอง ก็เกิดความสงสัยว่าหน้าเรามันแปลกๆ
ดูตัวเองในกล้องเหมือนมีคำนึงว่า ไม่ขึ้นกล้อง แต่เวลาดูกระจก ก็คิดว่าตัวเองก็หล่อเหมือนกัน เดอะสตาร์มันต้องออกกล้อง ผมเลยไม่มั่นใจเวลาที่ต้องเงยหน้ามองคนอื่น (มันเป็นปมในใจไหม? หรือว่าคิดว่าตัวเองไม่หล่อ) ไม่ได้มีปมว่าไม่หล่อ ผมคิดว่าตัวเองหล่อ แต่พอออกกล้องแล้วมันดูไม่หล่อ มันดูไม่ขึ้นกล้อง และพอดูเทปแรกที่เขาไปคัดเลือกที่ภาคเหนือ เราดูแล้วยังคิดว่าทำไมต้องทำหน้าแบบนั้น บวกกับว่าวันนั้นเราไม่แต่งหน้า ร้องแบบหน้าบู้หน้าบี้ และวันนั้นพี่ที่เราเจอวันแรกเขาก็ถามว่าชินจังไม่แต่งหน้าเหรอ เราก็เลยบอกว่าไม่แต่ง เราเห็นตัวเองในกระจก แค่นี้ก็โอเคแล้ว แต่พอมาออกกล้อง ก็เลยคิดย้อนกลับไปว่าทำไมไม่ให้พี่เขาแต่ง พี่เขาอุตส่าห์จะแต่งให้ด้วย ก็เลยหน้าสดเข้าไปเลย มั่นมาก (หัวเราะ)”
คอมเมนต์พลังบวก! ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีใครรักขนาดนี้
“อย่างคอมเมนต์ว่าเราหน้าง่วง เรามองว่ามันเป็นเรื่องตลก และเราก็ไม่รู้ว่าตาเราง่วง จนเรามาอ่านคอมเมนต์ พูดจริงๆ ตอนอยู่ลำปาง ไม่เคยถ่ายรูปเลย ในไอจีหรือว่าในเฟซไม่มีรูปผมเลยสักรูป ไม่มั่นใจในการถ่ายรูปตัวเอง ส่วนมากจะถ่ายแค่ตัว ถ่ายแค่เส้นผม แบบติสต์ ด้วยความที่คิดว่ามันเท่ด้วยมั้ง ไม่ต้องเห็นหน้าตัวเอง แต่เวลาถ่ายเห็นหน้าตัวเอง แค่มีความรู้สึกว่าหน้ามันแปลกๆ อย่างเวลาไปร้องเพลงตอนที่โรงเรียนส่งไป ก็มีรูปเรา ก็คิดว่าหน้าตัวเองแปลกๆ
และมีครั้งนึงทางทีมงานให้ถ่ายรูปมาส่งที่รายการ ผมก็ไปถ่ายกับเพื่อน ถ่ายเป็นวัน ทุกรูปที่ออกมาก็คือตาปรือทุกรูป แต่สิ่งที่เรากังวล คนอื่นเขาแทบจะไม่พูดถึง เพราะวันแรกที่ออกอากาศไป ก็มีแต่คอมเมนต์ด้านบวก ผมก็รู้สึกดี ก็เลยไม่รู้ว่าเขาชอบอะไรในตัวเอง แต่ทุกคนก็มองข้ามเรื่องหน้าตาของเราไป ซึ่งถามว่าตอนเราดู เราก็คิดว่าเราก็ร้องใช้ได้ แต่ที่เรากังวลเรื่องหน้าตา เพราะเราไม่เคยโดนชมมาก่อน เราจึงมาเครียดเรื่องนี้มากกว่า (พอเขาชมเรื่องความสามารถ มั่นทำให้เรามั่นใจมากขึ้นไหม?) เราก็แค่คิดว่ามันเป็นแบบนั้นจริงเหรอ ก็เขินนะเวลามีคนชม
ผมเป็นคนชอบอ่านคอมเมนต์ เพราะว่าด้วยความที่ไม่เคยมีโมเมนต์ที่หลายๆ คนพูดถึงผม ในสายตาของคนอื่นผมเป็นคนยังไงนะ อีกอย่างเราไม่รู้ว่าตัวเองเป็นยังไง ผมจึงชอบอ่านว่าคนอื่นมองผมเป็นยังไง เวลาหลายๆ คนพูดว่าผมเป็นแบบนี้ ผมจึงคิดว่าเราเป็นแบบนั้นใช่ไหม (ตอนนี้มีคนรักเราเพิ่มมากขึ้น เรารู้สึกยังไง? กับตรงนี้) ผมรู้สึกอย่างแรกเลยว่าเราไม่ใช่ลูกเขา ไม่ใช่ญาติเขา ไม่ใช่คนรู้จักเขาด้วยซ้ำ แต่เขามอบสิ่งนี้ให้ผมตั้งแต่แรก มันเป็นสิ่งที่ดีมากๆ มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ผมไม่รู้ว่าเขารักผมเพราะอะไร ผมไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ รู้สึกใจฟูตลอดเวลาที่เห็นคอมเมนต์พวกนี้ หรือเห็นเขาหน้าเวทีก็ตาม เราไม่เคยคิดว่าจะได้รับความรักแบบนี้ เราเริ่มรับมือกับสิ่งที่เขามอบมาให้เรา เราก็จะตอบแทนคืนกลับไปให้เขา ทุกอย่างที่เราทำได้”
โชค 2 ชั้น! กับฝันที่เป็นจริง
“จากนี้แผนในชีวิตว่าจะเปลี่ยนไปแค่ไหน คือตั้งแต่อยู่ในบ้านเดอะสตาร์ ก็คิดว่าเราคงทำอะไรได้เยอะแน่ๆ แต่ตอนนี้ยังคิดไม่ออกเลย ด้วยความที่เรายังไม่รู้ว่าจะต้องวางแผนยังไง และในส่วนของชีวิตส่วนตัวคิดว่ามันเปลี่ยนไปแน่ๆ อย่างแรกต้องไปหาคิวกลับบ้านที่ลำปางแหละ จากนี้ไปเราสามารถลองผิดลองถูกในชีวิตได้แล้ว พูดง่ายๆ ว่าเราสามารถหาเงินเองได้แล้ว มีโอกาสใหม่ๆ เข้ามา สามารถตัดสินใจเองได้ บวกกับที่บ้านไม่ได้ห้ามอะไรขนาดนั้นด้วย มันอิสระดี ผมพร้อมที่จะทำอะไรหลายๆ
แต่การที่เราได้มาประกวดเดอะสตาร์ มันทำให้เราได้เห็นภาพที่เราไม่นึกว่าจะได้เห็น กับภาพของพ่อแม่อยู่ด้วยกัน ไม่คิดว่าเขาจะอยู่ในเฟรมเดียว อยู่ในสายตาที่เรามองไป แค่ตอนที่เขาเดินผ่านกัน ผมยังไม่เคยเห็นเลย เป็นครั้งแรกที่เห็นเขานั่งข้างกันครั้งแรก มันรู้สึกดีใจแบบแปลกๆ เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะมีภาพนี้เกิดขึ้น แต่ในหัวก็คิดอยู่แล้วว่าเขากลับบ้านไป เขาก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอยู่ดี มันก็แค่ดีใจที่ได้เห็นภาพนั้นอีกครั้งนึง ผมไม่เคยคิดว่าภาพนี้จะเกิดขึ้น ผมเคยถามพ่อแม่ว่ามันจะสามารถเป็นไปได้ไหม ไม่ได้ต้องการหรือบังคับ แต่แค่ถามเฉยๆ เห็นจากอาการเขาก็คงไม่มีภาพนี้หรอก แค่ให้พ่อไปส่งผมที่บ้านแม่ เขายังไม่โอเคเลย
ภาพนี้มันรู้สึกดีๆ มาก มันเป็นภาพที่อยู่ในหัวของเรา ที่เราคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น บวกกับเพลงที่เราร้องคือเพลงรักแท้ มันยิ่งทำให้เรารู้สึกดี มันเป็นความฝันที่เริ่มจากฝันว่าอยากเป็นศิลปิน มันก็เป็นจริง ความฝันถัดมาพ่อแม่อยู่ด้วยกัน มันก็เกิดขึ้นอีก แต่หลังจากภาพนั้นเกิดขึ้นก็ยังไม่ได้ถามพ่อแม่ และเขาก็เพิ่งได้ยินว่าผมพูดออกสื่อ เขาได้ยิน เขาก็ร้องไห้ เขาก็ขอโทษในเรื่องที่ผ่านมา ขอโทษที่เขาไม่รู้ความรู้สึกเรา เขาก็บอกรักผม มันเป็นความฝันที่ประสบความสำเร็จ ตั้งแต่ผมตัดสินใจมาประกวดเดอะสตาร์ มันมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเยอะมาก ไม่คิดว่าสิ่งต่างจะเข้ามาขนาดนี้ มันเกิดคาดที่คิดไว้ เป็นโชค 2 ชั้นเลย”