“พิ้งกี้ สาวิกา” ออกสื่อในรอบ 2 เดือน บอกคดียังไม่สิ้นสุดแต่ไม่เป็นอุปสรรคในการรับงาน ถ่ายหนังเสร็จต้องกลับไปใส่กำไล EM ต่อ ใครก็ขอถอดได้ อยู่ที่ดุลยพินิจของศาล แก้ข่าวให้ “แม่อ้อย” ไม่เคยติดการพนัน เตรียมยื่นต่อศาลขอปล่อยตัวแม่ชั่วคราว พ้อชีวิตเหมือนละคร อยากให้รอตอนจบ งานรุมแน่นยังไม่โดนถอดพรีเซ็นเตอร์
หลังเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา ศาลมีคำสั่งอนุญาตปลดกำไล EM ให้สาว “พิงกี้ สาวิกา ไชยเดช”เพื่อความสะดวกในการรับงานแสดง ล่าสุดวันนี้ (2 ก.พ.) เจ้าตัวก็ได้คัมแบ็กวงการบันเทิงแล้ว ประเดิมงานแรกด้วยการเข้าร่วมพิธีบวงสรวงภาพยนตร์เรื่อง กุมาร ที่ศิวาลัยสถาน สวนลุมไนท์บาร์ซา เรียกว่าเป็นการออกสื่อครั้งแรกในรอบ 2 เดือน หลังศาลอาญาอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดีฉ้อโกงแชร์ Forex-3D
โดยสาวพิ้งกี้ ได้ออกมาเปิดใจเคลียร์ทุกประเด็น พร้อมกับ ทนายปิ๊ก ทรงพล อันนานนท์ และ คุณหน่อย ณฐพร สิริภัคชรัสมิ์ ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องกุมาร โดยเผยว่าวันนี้ไม่ได้มีความตื่นเต้น และไม่กังวลใจในการรับงาน ตราบใดที่ศรัทธาและเชื่อมั่นในสิ่งที่เป็น ความจริงก็คือความจริง วันหนึ่งจะพิสูจน์ให้เห็นเอง ส่วน คุณแม่อ้อย สรินยา ไชยเดช ไม่ได้ติดพนันตามข่าว มีกำลังใจดี เครียดบ้างตามปกติ ตอนนี้กำลังรวบรวมหลักฐาน เพื่อยื่นขอต่อศาลให้ปล่อยตัวชั่วคราว
พิ้งกี้ : “วันนี้ไม่ตื่นเต้นมากค่ะ เรียกได้ว่าปรับตัวมาสักระยะหนึ่งแล้วค่ะ ก็ชินอยู่ บรรยากาศก็เหมือนเดิมค่ะ ทุกคน (สื่อมวลชน) ยังเหมือนเดิม น่ารักค่ะ”
คุณหน่อย : “จริงๆ น้องเป็นคนมีไฟมาก ตอนก้าวเท้าเข้าบ้านคืออยากทำงานแล้ว เป็นคนที่อยากทำงานตลอดเวลา เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นค่ะ”
สภาพจิตใจตอนนี้ เปรียบเปรยเหมือนไปปฎิบัติธรรมมา ได้ไปพบเจอกับประสบการณ์สุดโต่ง มีโอกาสจะเล่าให้ฟังยาวๆ
พิ้งกี้ : “ตอนนี้เหรอคะ เขาเรียกว่าไปปฏิบัติธรรมมา คือพี่หน่อยเขาเปรียบเปรย มุมมองชอบเขาคือว่าเราไปปฏิบัติธรรม ส่วนตัวกี้ไม่ได้คิดว่าปฏิบัติธรรม เพราะตัวกี้เองก็คือตัวกี้เองแหละ เรียกได้ว่ามันเป็นวัฏสงสาร เหมือนเราได้เข้าไปเรียนรู้ชีวิต แล้วก็ได้ไปพบเจออะไรบางอย่างในประสบการณ์สุดโต่งค่ะ คิดว่าแบบนั้น (สิ่งที่เราไปเจอ เราได้เรียนรู้อะไรจากตรงนั้นบ้าง?) เดี๋ยวเล่ายาวเลย มีโอกาสจะเล่าให้ฟังค่ะ”
วันนี้มีโอกาสพูดแล้ว ก็พูดทีเดียวให้หมด
พิ้งกี้ : “จริงๆ วันนี้ถือว่าเป็นการรวม เราไม่ได้ออกสื่อเลยนานมากแล้วนะคะ ตั้งแต่เราถ่ายละคร ก็ยังไม่มีการได้มานัดเจอสื่อ แล้วก็ไม่ได้มาพูดคุยกันตั้งแต่เกิดเรื่อง ก็นานมากแล้ว ถือว่าวันนี้ก็พูดทีเดียวเลยแล้วกัน พูดแล้วก็พูดแล้ว พูดไปให้หมด”
ไม่กังวลหรือกดดันเรื่องการทำงาน เพราะศรัทธาและเชื่อมั่นในสิ่งที่เป็น ชีวิตเหมือนละครเรื่องหนึ่ง
พิ้งกี้ : “ไม่ค่ะ ไม่ได้กดดัน เพราะว่าเราก็คือคนทำงานแหละ แล้วก็ตราบใดที่เราศรัทธาและเชื่อมั่นในสิ่งที่เราเป็น กี้เชื่อว่าความจริงมันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่แล้ว ก็ต้องบอกว่าเราคือคนที่เป็นอย่างนี้ค่ะ ทำงานมาตลอด จะพูดว่าเราไม่ใช่คนที่เบียดเบียนใคร เพราะฉะนั้นบางทีชะตากรรมมันก็พัดพาสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นในชีวิตเราใช่เปล่า แต่ว่ามันอยู่มุมมองของการตั้งรับว่าเราจะตั้งรับและมองมันแล้วก็หาเหลี่ยมของมันว่าเราจะมองมันยังไงให้เป็น ซึ่งวันนี้ก็ถือว่าชีวิตเราก็เหมือนละครเรื่องหนึ่ง”
ตั้งรับกับปัญหาที่ไม่คาดฝัน
พิ้งกี้ : “ตั้งรับยังไง เหมือนทุกคนแหละเจอปัญหาแล้วเราก็ไม่คิดว่าชะตามันจะตกแต่งสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นให้กับเรา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจริงๆ แล้ว พี่ปิ๊กก็คือคนที่เป็นทนายให้เรา เพราะว่าจริงๆ แล้วตามกฎหมายแล้วพี่ปิ๊กจะพูดได้มากที่สุดค่ะ”
ช่วงที่ผ่านมาเข้าป่าไปฝึกสมาธิ ไม่ได้คุยกับใครนอกจากทนาย ฝากชีวิตให้ทนายดูแล
คุณหน่อย : “เข้าป่าแต่ไมได้ไปไกลค่ะ ไปนครนายก จริงๆ เขาฝึกสมาธิอยู่กับตัวเองในแต่ละวันที่เขาอยู่ เราเจอเขาบ้างตั้งแต่เขากลับบ้านมา จริงๆ เขาแทบไม่ได้คุยกับใครเลย คนที่เขาคุยด้วยทุกวันคือทนายค่ะ กับเราเขายังแทบไม่คุยเลย เราจะคุยกับเขาได้ก็คือผ่านน้องจี้ คุยเรื่องบท มีเจอกันบ้าง ก็ไปหาเขา ถามว่าทำอะไร เขาก็บอกว่านั่งสมาธิ ละหมาดของทางศาลนาเขาด้วย”
พิ้งกี้ : “อย่างที่ทุกคนทราบ เวลาเราเจอปัญหาหนักๆ เราต้องศรัทธาตัวเองก่อน และรักตัวเองให้มากที่สุด มันเป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว เราก็สู้ตามกระบวนการกฎหมายตามที่มันเป็น กฎหมายว่าอย่างไรเราก็สู้ตามนั้น ก็ฝากชีวิตไว้ที่พี่ปิ๊ก เพราะพี่ปิ๊กช่วยคอยดูแลทั้งหมด เพราะพี่ปิ๊กเป็นทนายที่ให้ความช่วยเหลือได้ดีมาก”
พาร์ตที่ถูกกล่าาหา ก็สู้ตามกระบวนการยุติธรรม เชื่อเวลาจะพิสูจน์ความจริงเอง
พิ้งกี้ : “พาร์ตการถูกกล่าวหา เราก็ถูกกล่าวหา แล้วเราก็สู้ตามกระบวนการยุติธรรม เมื่อเราได้ถูกกล่าวหาเราก็ต้องสู้ แล้วเราก็รอความจริงกับสิ่งที่เป็นความยุติธรรม เราเชื่อว่ามันจะรอเราอยู่ปลายอุโมงค์เราคิดว่ามันรออยู่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นทุกคนไม่ต้องแพนิกไม่ต้องตกใจ วันหนึ่งเดี๋ยวมันจะพิสูจน์เอง”
มั่นใจในเรื่องคดีเต็มร้อย
พิ้งกี้ : “มั่นใจค่ะ เราเชื่อในความเป็นตัวเองของตัวเอง แล้วศรัทธาในตัวเอง”
ทนายปิ๊ก : “มันเป็นเรื่องของคดีอาญา มันเป็นเรื่องของเสรีภาพอยู่แล้ว ฝากชีวิตก็หมายความว่าเป็นเรื่องของเสรีภาพ เป็นเรื่องของกระบวนการทางศาล ศาลได้มีการนัดสืบพยาน ที่เหลือรอขั้นตอนกระบวนการพิสูจน์ในทางศาล คดีจะเริ่มพิจารณาปลายเดือนสิงหาคม ปี 66 ศาลชั้นต้น แล้วจะจบเดือนกุมภาพันธ์ ปี 67 หลังจากนั้นอีกประมาณ 2-3 เดือน คงจะมีคำพิพากษาออกมา ส่วนจะมีอุทธรณ์ ฎีกาหรือเปล่า ก็คงต้องดูกันอีกที ในระหว่างนี้พิ้งกี้ก็สามารถทำงานได้ปกติ”
เผยคุณแม่กำลังใจดี มีเครียดบ้างตามปกติ กำลังรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อเสนอต่อศาลขอปล่อยตัวชั่วคราว
ทนายปิ๊ก : “ในส่วนของคุณแม่ ทางเราก็รวบรวมพยานหลักฐานข้อมูลเพื่อที่จะเสนอต่อศาลเพื่อขอให้ปล่อยชั่วคราว คุณแม่ก็ไม่ได้เครียดอะไรครับ ก็เหมือนคนทั่วไปถ้าไปอยู่ในสภาวะแบบนั้นมันไม่ใช่สภาวะปกติก็คงมีบ้าง แต่ในเรื่องความเครียดก็คงไม่เท่าไหร่”
พิ้งกี้ : “กำลังใจคุณแม่ดีมากค่ะ ส่งพลังไปให้แม่ เพราะตัวเราต้องเดินหน้าทำงานต่อ คุณแม่ก็เซนซิทีฟโมเมนต์ของคนแก่ ส่วนเราเป็นนักสู้มากกว่า ก็จะสู้ต่อไปค่ะ ขอบคุณมากค่ะกับทุกกำลังใจ คนรอบข้างก็จะบอกเรา ต้องบอกว่าพอเรามาตรงนี้ เราเสพอะไรเยอะมากไม่ได้ มันไม่สามารถตามโซเชียลได้เลย เขาไปถึงไหนกันแล้ว ก็อาจจะดีเลย์นิดนึง ถ้าเกิดพูดช้าก็จะบอกว่าเราช้ากว่าเดิม”
สิ่งที่เผชิญในชีวิต บางเรื่องก็พูดไม่ได้ แต่เป็นนักสู้คนหนึ่ง อยากให้ดูละครตอนจบว่าจะเป็นยังไง
พิ้งกี้ : “กี้ว่าคนที่เขาประสบความรู้สึกคล้ายๆ เราที่เขาไม่ได้ออกมาเล่าให้ฟังก็น่าจะเยอะ น่าจะมีหลายร้อยเรื่องที่มีชีวิตแบบนี้แล้วเอามาพูดไม่ได้ เล่าไม่ได้ อยากให้มองว่าชีวิตเราก็คือนักสู้คนหนึ่ง อยากให้ดูละครตอนจบ ว่ามันจะเป็นยังไง”
ให้กำลังใจตัวเองว่าชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ
พิ้งกี้ : “ก็ช้าๆ ค่อยๆ เป็นค่อยไป ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ มุมมองของเราเท่านั้นแหละที่จะช่วยเราให้เราตั้งรับกับเรื่องต่างๆ”
เคารพในมุมมองของแต่ละคน ห้ามความคิดคนอื่นไม่ได้
พิ้งกี้ : “ห้ามไม่ได้หรอกค่ะ มันเป็นธรรมชาติ ธรรมดา ไปห้ามให้เขาผายลมไม่ได้ มันเหมือนเราห้ามไม่ให้คนเรอไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เขาระบายออกมา เราก็เคารพในมุมมองของแต่ละคน มันเป็นธรรมชาติค่ะ”
มีงานติดต่อมากว่า 15 งานแล้ว เตรียมเดินสายตามจังหวัด เพื่อไปไหว้ญาติ ไหว้ผู้ใหญ่
พิ้งกี้ : “จริงๆ คนนี้เขาไม่ใช่ผู้จัดการนะ แต่เขาจะคุยกับน้องที่ดูแลมากกว่าเราอีก เพราะฉะนั้นเขาจะรู้”
คุณหน่อย : “จริงๆ ก็มีเยอะค่ะ แต่ต้องปรึกษาคุณปิ๊กก่อนว่างานไหนเรารับได้มากน้อยขนาดไหน จริงๆ น้องยังอยู่ในความดูแลอยู่ค่ะ ตอนนี้ก็น่าจะประมาณ 15 งานแล้วค่ะ”
พิ้งกี้ : “หมายถึงงานเดินสายไปตามแต่ละจังหวัดค่ะ ไปไหว้ญาติ ไหว้ผู้ใหญ่ ส่วนงานที่เป็นผลงานเลยตอนนี้มีภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เป็นเรื่องหลักค่ะ แล้วกี้บอกกับพี่หน่อย บอกกับมาดามว่า ตอนนี้ในหัวเรา เราอยากมาช่วยเบื้องหลังเขา และเรารู้สึกว่าเรื่อง กุมาร อาจจะเป็นหนังที่อาจจะได้ไปอยู่เบื้องหลังด้วย และได้อยู่เบื้องหน้าด้วยค่ะ”
ขอบคุณลูกค้าไม่ปลดพรีเซ็นเตอร์ ยังรักและเอ็นดูอยู่เหนียวแน่น
พิ้งกี้ : “ไลฟ์สดเหรอ ก็ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปค่ะ ลูกค้าหรือแม้กระทั่งพรีเซ็นเตอร์ที่เขารัก เขาก็ยังเอ็นดูเราอยู่ ก็ขอบคุณมากๆ นะคะ ยังเหนียวแน่นและยังเป็นพรีเซ็นเตอร์อยู่ค่ะ ก็ขอบคุณมากๆ เลย”
ถึงคดียังไม่สิ้นสุด ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการรับงาน
ทนายปิ๊ก : “จริงๆ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีข้อจำกัดในการรับงานอะไร แต่อย่างที่พิ้งกี้บอก เราก็คุยกันเป็นระยะ อาจจะเพื่อความมั่นใจ ความสบายใจ ก็ปรึกษามา แต่ถามว่าเป็นอุปสรรคไหม แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร เพราะศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาหรือตัดสิน ถ้าตามหลักกฎหมายสากลคือยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่แล้ว ส่วนในเรื่องที่จะไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ก็เป็นเรื่องกระบวนการในศาล เป็นเรื่องหลักฐานกันต่อไปครับ”
ในคดีนี้มีผู้เสียหายจำนวนมาก แต่ก็อยากให้ใช้วิจารณญาณในการรับฟัง
ทนายปิ๊ก : “จริงๆ คงมีผู้เสียหาย และส่วนของคุณพิ้งกี้เองก็เป็นผู้ต้องหาและเป็นจำเลยที่ถูกฟ้อง แต่ทีนี้ก็อยากจะให้รอดูข้อเท็จจริง คือตรงนี้ถ้าเราจะพูดไปก่อนมันก็คงจะไม่เหมาะ หรือคงจะไปสะเทือนในเรื่องของการพิจารณาคดีของศาล ก็อยากให้ใช้วิจารณญาณในการรับฟัง หรือพิจารณาดูนิดหนึ่งว่ามีความเกี่ยวข้องแค่ไหน ยังไง”
เคลียร์สารพัดดรามา เรื่องบ้านขายไปหลายปีแล้ว ส่วนเรื่องแม่ติดพนันไม่เป็นความจริง ตอนนี้ขออยู่กับปัจจุบัน
พิ้งกี้ : “ขายไปนานมากแล้วค่ะ โอ๊ะ หลายข่าวเหมือนกันเนอะ ขอเคลียร์เลยหลายเรื่อง เรื่องคุณแม่เล่นการพนัน คุณแม่ก็ไม่ได้เล่น ไม่มีการเล่นการพนันใดๆ บ้านก็คือขายไปนานมากแล้ว และบ้านนั้นก็คือบ้านที่เราซื้อให้คุณพ่อคุณแม่ ขายไปนานมาก จำไทม์ไลน์ของเวลาไม่ได้แล้ว อยู่กับปัจจุบันค่ะ”
เรื่องของถอดกำไล EM เป็นการขอถอดชั่วคราวเพราะถ่ายภาพยนตร์ ถ่ายจบก็ต้องใส่เหมือนเดิม
ทนายปิ๊ก : “ล่าสุด 2-3 วันมานี้มีข่าวเรื่องของการถอดกำไล EM ก็อย่างที่บอกว่าบางทีข้อมูลอาจจะคลาดเคลื่อน ก็ขอความกรุณาศาล เพราะเราติดเรื่องของการจะมาถ่ายทำภาพยนตร์ เพราะฉะนั้นการถอดจริงๆ แล้ว ขอศาลถอดชั่วคราว แต่ว่าข้อมูลทางสื่อบางท่านอาจจะได้ไปคลาดเคลื่อนหรือไม่ครบถ้วน เดี๋ยวพอเสร็จแล้วก็ใส่เหมือนปกติ ระยะเวลาก็คือขอศาลไว้จนกว่าเสร็จสิ้นภารกิจครับ เพราะว่าโดยลักษณะของตามบทหรืออะไรต่างๆ มันไม่สามารถให้รากฎตัวกำไลได้”
คุณหน่อย : “ก็จนกว่าจะถ่ายทำเสร็จค่ะ น่าจะประมาณเกือบ 6 เดือน”
กรณีแบบนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะ “พิ้งกี้” แต่คนอื่นก็มีสิทธิ์ อยู่ที่ดุลยพินิจของศาล
ทนายปิ๊ก : “คือตรงนี้อยู่ที่เหตุผลความจำเป็นของแต่ละกรณี แล้วก็สุดท้ายอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล”