“ฌอห์ณ จินดาโชติ” เตรียมแต่งแฟนสาวดีไซน์เนอร์ ฤกษ์ดีปีนี้ แพลนมีลูกฝากไข่ไว้เรียบร้อยแล้ว
หลังหนุ่มพระเอกหนุ่ม “ฌอห์ณ จินดาโชติ” ได้เจอนางเอกในชีวิตจริง อย่าง “เพชร ภิพัชรา แก้วจินดา” ดีไซเนอร์สาว เจ้าของแบรนด์ “PIPATCHARA” จนตกลงปลงใจขอแต่งงานกันไปที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมปีที่แล้ว ล่าสุดวันนี้ (29 ม.ค. 66) ได้เจอหนุ่มฌอห์ณ ในงานบวงสรวงละคร “พระนคร ๒๔๑๐” เจ้าตัวก็ได้ได้อัปเดตความคืบหน้างานแต่งให้ฟัง ว่าตอนนี้เหลือแค่ไฟนอลแล้ว ส่วนฤกษ์ยังต้องรอว่าที่เจ้าสาวมาเคาะวันว่างอีกที เพราะตอนนี้คุณเค้าคิวแน่นมาก แต่ยังไงก็เป็นปีนี้แน่นอน
“จริงๆ เหลือแค่ไฟนอลครับ เราได้ฤกษ์ที่เหมาะสมมา แต่สุดท้ายต้องให้คุณเขาเป็นคนเลือก เพราะช่วงนี้เขาคิวแน่นทั้งปีเลยครับ ยุ่งกว่าเราอีก ธุรกิจแฟชั่นของเขาไปได้ดี ตอนนี้ก็อยู่ฝรั่งเศส เดี๋ยวกลับมาก็จะไปเปิดที่ญี่ปุ่น เราก็เลยต้องดูคิวว่าไหวไหม จังหวะพอดีกับเขาหรือเปล่า เพราะคิวเราทราบอยู่แล้ว เราแพลนมากับผู้จัดการอยู่แล้วว่า เราจะรับละครช่วงไหน ช่วงไหนเราเบรก ช่วงไหนเรากลับไปทำงานบริษัท”
“สำหรับฤกษ์ถ้าเป็นในช่วงต้นปีแรกคงจะไม่ทัน เพราะเราคุยกันตั้งแต่วันขอว่าต้นปีหน้าจะไม่ทัน หนึ่งคือผมก็เพิ่งเปิดกล้องอีกเรื่องหนึ่ง แล้วช่วงนี้ก็เป็นช่วงโปรโมตละคร ก็จะเป็นช่วงที่เราต้องโฟกัสเรื่องงานของเราก่อน เวลาเราทำการสู่ขอ มันไม่ใช่แค่หาวันอย่างเดียว มันต้องหาแพลนเนอร์ เราต้องลิสต์รายชื่อแขกเยอะ แล้วเรามีญาติหลายๆ ท่านด้วย ก็น่าจะเป็นช่วงควอเตอร์ที่ 2-3 เป็นต้นไปครับ น่าจะช่วงกลางๆ สู่ปลายครับ”
อยากทำเองให้ได้มากที่สุด เพราะมีความสามารถด้านนี้ทั้งคู่
“จริงๆ เป็นสิ่งที่เราคุยกันไว้ ว่าเราจะพยายามออแกไนซ์ให้มากที่สุด ด้วยคุณเขาก็มีความสามารถมนการจัดอีเวนต์ เวลาเขาจัดแฟชั่นโชว์ เราก็ทำโปรดักชั่น เราเลยคอลแลปกันได้ อาจจะต้องการผู้ช่วยเป็นเรี่ยวเป็นแรงให้เรา”
ตื่นเต้นมาก เพราะเป็นงานใหญ่ เนื่องจากฝั่งเจ้าสาวญาติเยอะ
“ตื่นเต้นมาก แต่เป็นความตื่นเต้นที่มีความสุข เป็นช่วงเวลาที่ดี คุณเขาก็มีความสุข เพราะทุกครั้งเวลาเราถ่ายละครเสร็จ เราก็จะนัดหมายกัน ว่า 4-5 ทุ่มเราต้องมานั่งแพลนกัน นั้งดูเรฟเฟอเร้นท์ ดูมู้ดแอนด์โทนภาพที่เราจะวาง หรือบรรยากาศที่เราต้องการ แต่ละสัปดาห์เราอัปเดตกันอยู่เสมอ ก็เป็นหนึ่งท็อปปิคที่เราได้คุยกัน เพราะมันแค่วันเดียวนะครับ ก็อยากให้ดีที่สุด ซึ่งมันมีทั้งงานหมั้น งานเย็น มีทั้งการพระราชทานน้ำสังข์ มันก็จะมีหลายขั้นตอนครับ ถามว่างานใหญ่ไหม เรียกว่าญาติคุณเขาเยอะ ถึงบอกว่าเป็นช่วงที่มีความสุข เป็นช่วงที่เราที่เป้าหมายอย่างชัดเจน เราอยากทำงานเท่าที่สรรพกำลังเราจะทำได้ เพื่อที่จะจัดงานให้ได้”
คอนเซ็ปท์มีในใจแล้ว แต่ยังบอกไม่ได้ เผื่อเปลี่ยนใจเดี๋ยวไม่ตรงปก
“คุณกับผมเทสคล้ายๆ กัน เรามีคอนเซ็ปท์แล้ว แต่ก็ไม่กล้าบอกเยอะ เดี๋ยวมันเปลี่ยนแล้วจะไม่ตรงปก แต่ผมว่าด้วยรสนิยมคุณเขาดีอยู่แล้ว ฉะนั้นผมมีหน้าที่แค่ช่วยเกลาหรือตบให้มันซื้อหรือไม่ซื้อเท่านั้นเอง คือตั้งแต่วันที่ขอแต่งงานไป ก็มีเพื่อนๆ พี่ๆ มาให้คำแนะนำเยอะ ทั้ง นิว ชัยพล พูพาร์ต, โดนัท มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล, แอริน ยุกตะทัต แล้วช่วงนี้เราไปงานแต่งทุกสัปดาห์ เราก็เหมือนได้ไปดูงาน ว่านี่คือสิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า เราอยากได้บรรยากาศแบบนี้ไหม ทุกคนให้ความช่วยเหลือ ใหคอนเนคชั่นมาเยอะครับ แต่สุดท้ายมันก็อยู่ที่เราสองคน คุยกับเขาชัดเจนตั้งแต่วันที่ขอแล้วว่า มันคือวันของเราสองคน ทำในสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด สิ่งแวดล้อมเป็นแค่องค์ประกอบในการตัดสินใจ”
เล่าโมเมนต์วันขอแต่งงาน น้ำตาคลอและตื่นเต้นจนลืมบทพูด
“ผมตื่นเต้นมากๆ มันเป็นขั้นตอนที่เราแพลนมาอยู่แล้ว แต่หน้างานมันไม่เหมือนกับในละครที่เราเคยเล่น บทพูดผมก็ลืมไปหมด เป็นความรู้สึกล้วนๆ แต่สุดท้ายมันก็เป็นสิ่งที่เราภูมิใจมากๆ น้ำพักน้ำแรงเรา การที่เราตั้งใจทำอะไรเพื่อคนคนหนึ่ง แล้วมันเป็นความรู้สึกดีๆ นะ แล้วจริงๆ ผมน้ำตาคลอก่อนเขาด้วยซ้ำ เพราะรู้สึกว่าแหวนมันมีความหมาย เราคัสตอมมัน ค่อยๆ เก็บหอมรอมริบมัน แล้วมันเป็นสถานที่ที่คุณเขาเติบโตอีก ปารีสอีก ญาติเขามา ญาติเรามา มันเลยมีความหมายมากครับ”
“ทุกอย่างที่เราทำในวันนั้น เป้าหมายคือเขาเป็นหลักแหละ แต่ที่สำคัญคือมันเป็นสิ่งที่เราต้องอินด้วย ถ้าเราทำให้เขาเป็นหลักโดยที่เราไม่อิน ผู้หญิงเขาก็รับสารได้ ว่าเธอทำเพื่อฉันแต่เธอไม่มีความสุข อย่างปารีสคือมันเป็นที่ที่เขาเรียน แล้วเขาทำงานที่นั่นมาก่อน มันเป็นที่เดียวที่ผมกับเขายังไม่เคยไป มันเป็นบ้านยายเขาที่เขาเติบโต ผมก็อินกับยายเขา ทุกอย่างมันพอเหมาะพอเจาะ แล้วเขาก็ยังบอกว่าขอบคุณที่ขอที่นี่ ในห้องนี้ มันดีที่สุดไปกว่าวันนี้ไม่ได้แล้ว พอเราทั้งคู่อิน ผลลัพธ์มันก็ออกมาดีครับ”
คิดว่าน่าจะเป็นครอบครัวที่ดี เพราะได้รับการรับดูที่ดีมาจากทั้งสองครอบครัว
“ผมไม่กล้าตอบว่าเราจะเป็นสามีที่ดีขนาดนั้น หรือเป็นพ่อที่ดีขนาดนั้นไหม ทุกวันคือการเรียนรู้ แต่ผมรู้ว่าผมมีเจตนาที่ดีที่จะทำให้เขา เขาก็มีเจตนาที่ดี ทำให้เรามีความสุข ผมคิดว่าวันหนึ่งที่เราพร้อมที่จะมีบุตร เราก็จะสอนในสิ่งดีๆ ที่เราเรียนรู้มาจากครอบครัวเรา คุณเขาเองก็ได้รับการดูแลที่ดีจากครอบครัวของเขา ผมคิดว่าเราน่าจะเป็นครอบครัวที่ดี เราขยันทำมาหากินครับ เราไม่เคยนอนเฉยๆ ผมว่ามันน่าจะเป็นบรรยากาศที่ดีของครอบครัว”
วางแผนอนาคตหลังแต่ง ยังไม่ทิ้งงานแสดง แต่จะไม่รับงานแน่นเหมือนเมื่อก่อน เพราะความรับผิดชอบมากขึ้น
“วางแผนครับ แต่การแสดงยังรับอยู่ ยังไม่ทิ้ง แต่อาจจะไม่ได้แน่นเหมือนเมื่อก่อน เพราะเรามีความรับผิดชอบมากขึ้น บริษัทโปรดักชั่นเรากำลังเติบโต คุณเขาเองด้วย แล้วงานแต่งเราก็ต้องเตรียม อาจจะไม่ได้เห็นผมหน้าจอทุกซีซั่น อาจจะปีหนึ่ง 1-2 เรื่อง แต่อาชีพนี้ทำให้เรามาถึงวันนี้ ทำให้ผมได้เจอคุณเขา ยังไงผมก็ไม่ทิ้ง แต่ก็ต้องทำอย่างอื่นประกอบ จากแฟนกันตอนนี้เป็นคู่หมั้นแล้ว เดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนเราก็จะเป็นสามี วันหนึ่งเราก็จะเป็นพ่อ ผมคิดมา 8 เดือนก่อนที่จะขอเขาแต่งงาน ฉะนั้นผมต้องคิดมากกว่าแค่ปีนี้และปีหน้า คิดไปอีกหลายๆ ปี”
แพลนมีลูกต้องดูหลังแต่งงานอีกที ต้องดูร่างกายของภรรยาด้วย
“ถ้าแต่งแล้วคุณเขาต้องมาก่อน เพราะไม่งั้นเราจะแต่งกันทำไม เราก็อยู่กันสถานะเดิม ถ้าแต่งแล้วเราคือครอบครัวเดียวกัน เรื่องของเขาคือเรื่องของเรา ครอบครัวเขาคือครอบครัวเรา เพราะฉะนั้นจุดประสงค์มันต้องเป็นเขา แต่คือเขาก็อยากมี เราก็อยากมี เหตุผลของการแต่งงาน นอกจากจะอยู่ร่วมกันอย่างเหมาะสมและดูไม่น่าเกลียด นั่นคือการเตรียมมีลูกอย่างถูกต้องครับ แต่คิดว่าหลังแต่งค่อยว่ากัน ว่าช่วงไหนเหมาะสม ต้องดูร่างกายเขาด้วย”
ฝากไข่เรียบร้อยแล้ว เพราะชัดเจนกันตั้งแต่เริ่มคบ ว่าหวังจะไปด้วยกันถึงจุดไหน
“จริงๆ ฝากไข่มาก่อนแล้วครับ เราเตรียมมาก่อนแล้ว ผมว่าด้วยคุณเขาห่างกับผมแค่ปีเดียว ตั้งแต่วันแรกที่คบกันเขาก็เป็นลูกครึ่งอะ ชัดเจนว่าคบกันหวังไปถึงจุดไหน เพราะถ้าไม่หวังเขาเสียเวลา ยิ่งผู้หญิงอายุมากขึ้น มันยากกับการมีบุตรครับ เราก็ต้องคิดเผื่อ แล้วพวกเราก็จริงจัง เราอาจจะเจอกันในช่วงโควิด แต่เราก็พยายามอัดที่สุดในช่วงโควิด คือสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างความชัดเจน ก็เป็นโอกาสที่ดีที่เราอยู่ด้วยกันเยอะ เราเลยเห็นนิสัยกัน และเลือกที่จะดำเนินชีวิตด้วยกัน”
การทำงานทำให้เวลาไม่ตรงกัน แต่ไม่เอามาเป็นปัญหา ถึงมันจะยากแต่ก็ต้องปรับตัว
“มันไม่ง่าย แต่ไม่ใช่ให้มันเป็นปัญหา มันไม่ง่ายสำหรับผมแล้ว ผมถ่ายละครถ้าเป็นตัวหลัก เลิก 4 ทุ่ม นัด 7 โมง โทรศัพท์แทบไม่ได้จับ อันนั้นก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ผมต้องปรับตัว คุณเขาเองบินทีก็ 10-15 วัน แต่ผมก็ต้องคุยว่าอันไหนสำคัญผมจะไปช่วย อันไหนที่เขาต้องการเรา เราจะไป ไม่ใช่เอาแต่งานๆ ไม่ได้ เราเลือกเขามาแล้ว เรื่องเขาก็สำคัญ แต่เราต้องฉลาดที่จะบาลานซ์งานกับชีวิตส่วนตัว ถ้าเราเทให้งานหมด ชีวิตส่วนตัวเราแย่ คุณภาพชีวิตเราก็แย่ หรือเราให้ความรัก แต่งานเราไม่รับผิดชอบ เงินก็ไม่มา ผู้ใหญ่ก็ไม่จ้าง ฉะนั้นผมไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหา แต่มันเป็นความยากที่ทุกคนต้องปรับ คุณเขาก็ต้องปรับไม่ใช่ผมคนเดียว”