หลังเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ล่าสุดมีข้อมูลจากแหล่งข่าวต่าง ๆ ที่ระบุว่า "ลิซา มารี เพรสลีย์" ไม่เพียงผลาญเงินมรดกมหาศาลของ "เอลวิส" บิดาของเธอจนเกลี้ยง แต่ยังมีหนี้สินอยู่ถึง 16 ล้านดอลลาร์อีกด้วย
"ลิซา มารี เพรสลีย์" เกิดมาในชีวิตที่หรูหรา และร่ำรวยในฐานะลูกสาวของราชาเพลงร็อกแอนด์โรล และเติบโตท่ามกลางแสงสปอตไลต์และเป็นผู้มีอิทธิพลต่อความหรูหราและความเย้ายวนใจของธุรกิจการแสดง อย่างไรก็ตามมีคนเปรียบเทียบว่า เรื่องราวในชีวิตของเธอเปรียบเหมือน "การนั่งรถไฟเหาะ" ที่มีทั้งจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด
จากการถูกเลี้ยงดูอย่างดีในฐานะลูกสาวของศิลปินที่ดังที่สุดตลอดกาล, เธอพบรักกับคนดังระดับโลก, ได้รับมรดกเป็นเงินมหาศาล แต่สุดท้ายเธอกลับผลาญสมบัติที่พ่อแม่หาไว้ให้เสียจนเกลี้ยง
ในปี 1977 เมื่ออายุได้ 9 ขวบ "ลิซ่า มารี เพรสลีย์" ได้รับมรดกของ "เอลวิส เพรสลีย์" ผู้เป็นบิดา ซึ่งรวมถึงเกรซแลนด์ ที่ดินขนาด 13.8 เอเคอร์ในเมมฟิส รัฐเทนเนสซี อย่างไรก็ตามว่ากันว่าราชาเพลงร็อกเหลือทรัพย์สินต่าง ๆ รวมแค่ 5 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
ในเวลานั้น เกรซแลนด์ไม่ได้มีสภาพที่น่าดูชมนัก เพราะขาดการดูแลมานาน จึงต้องการการลงทุนเพื่อซ่อมแซม และกองมรดกก็ขาดแคลนเงินสด
กระทั่ง "พริสซิลลา เพรสลีย์" แม่ของเธอ ได้ก้าวเข้ามา และช่วยฟื้นฟูมรดกของสามีด้วยการจัดตั้งบริษัท Elvis Presley Enterprises (EPE) เพื่อดูแลทรัพย์สินต่าง ๆ อย่างเป็นเรื่องเป็นราว รวมถึงการเปลี่ยนเกรซแลนด์ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว
พริสซิลลา ยังทำให้การขายสินค้าของ เอลวิส กลับมามีค่า เธอทำข้อตกลงเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของเขา และเก็บค่าลิขสิทธิ์จากเพลงที่บันทึกไว้ของ เอลวิส อย่างมีประสิทธิภาพ จนในปี 1993 ที่ทรัพย์สินของมีมูลค่ามากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นมา 20 เท่าจากตอนที่ เอลวิส เสียชีวิต
ในปี 1994 ลิซา มารี มีอายุครบ 25 ปีเต็มเธอจึงได้ทรัพทย์สินทั้งหมดมาเป็นของตัวเองโดยสมบูรณ์ตามพินัยกรรมที่ เอลวิส ทิ้งเอาไว้ก่อนตาย
หลังจาก ลิซ่า มารี เข้ามาบริหารทรัพย์สินต่างๆ เธอแต่งตั้งให้ แบร์รี ซีเกล ให้เขามาจัดการ แต่กลายเป็นว่านี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหามากมาย
เกรซแลนด์ยังคงเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของครอบครัว เพรสลีย์ และยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่อไป จนในปี 1995 แบร์รี ซีเกล ได้ตัดสินใจในฐานะผู้ดูแลกองมรดก ในการขายทรัพย์สิน 85% ของ Elvis Presley Enterprises (EPE) ซึ่งรวมถึงสิทธิ์ในชื่อ และภาพลักษณ์ของ เอลวิส เพื่อชำระหนี้ 25 ล้านเหรียญฯ พร้อมได้เงินสินมาก้อนใหญ่
ตอนนั้น ลิซา มารี ได้เงินก้อนใหญ่ถึง 100 ล้านเหรียญฯ แต่สุดท้ายได้เงินจริง ๆ แค่ 40 ล้านดอลลาร์หลังหักภาษี บวกกับหุ้นมูลค่า 25 ล้านดอลลาร์ในบริษัทโฮลดิ้งที่ซื้อทรัพย์สินไป
แต่กลายเป็นว่าระหว่างปี 2005 - 2015 ลิซา มารี ใช้เงินทั้งหมดจนเกลี้ยง ก่อนที่เธอจะฟ้อง ซีเกล โดยอ้างว่าเขา "จัดการทรัพย์สินผิดพลาด ด้วยประมาทเลินเล่อ และตัดสินใจอะไรโดยเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเอง" และนำเงินของเธอ "ไปลงทุนในธุรกิจที่เสี่ยงเพื่อหวังว่าตัวเองจะได้มีชื่อเสียงในวงการบันเทิง"
ลิซา มารี ยังอ้างว่าบริษัทของ ซีเกล เก็บค่าใช้จ่ายในการทำหน้าที่บริหารทรัพย์สินของพ่อเธอถึงปีละ 700,000 เหรียญฯ ขณะที่ ซีเกล ก็อ้างว่า ลิซา มารี ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายจนเงินหมดไปเอง
ในเอกสารทางการของเขา ซีเกล อ้างว่า "น่าเศร้าที่นับตั้งแต่ได้รับมรดกจากพ่อของเธอในปี 1993 เธอใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายมากขึ้นถึงสองเท่า แต่กลับเรียกคนที่ช่วยให้เธอรอดจากการล้มลลายว่าเป็นพวกฉ้อฉล” ก่อนที่เขาจะตัดสินใจฟ้องกลับเธอเป็นจำนวนเงิน 800,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
โดยคดีความก็ยังต่อสู้กันในชั้นศาลจนถึงปัจจุบัน ก่อนที่ ลิซา มารี จะเสียชีวิตไป
กระทั่งในปี 2018 เอกสารของศาลจากคดีความฟ้องหย่าระหว่าง ริซา มารี กับอดีตสามี "ไมเคิล ล็อกวูด" ได้เปิดเผยว่าเธอมีหนี้สิน 16 ล้านเหรียญจากการค้างชำระภาษี, ผิดนัดจ่ายหนี้ และหนี้บัตรเครดิต
เรียกว่าเรื่องราวชีวิตของลูกสาวราชาร็อกแอนด์โรลตั้งแต่เกิดจนถึงเสียชีวิตคนนี้จึงไม่ต่างไปจากการนั่งรถไฟเหาะตีลังกาตามที่ใครหลายคนว่าไว้แต่อย่างใด