“ซาร่า โฮเลอร์” รีวิวชีวิตคุณแม่ลูกอ่อน นอนน้อย ตื่นทุก 3 ชั่วโมงให้นมลูก บอกที่ผ่านมาไม่ได้ปิดบังเรื่องท้อง คนที่ทำงานกับตนจะรู้ เพียงแต่ตนเลือกวิธีรอจังหวะให้ทุกคนรู้เอง ดีใจได้เป็นแม่คนในช่วงเวลานี้ รู้แล้วการเลี้ยงเด็กใช้พลังงานเยอะมาก
ออกมาเปิดใจครั้งแรกในรายการ แฉ หลังจากได้เป็นคุณแม่เต็มตัวแล้ว ซึ่ง “ซาร่า นลิน โฮเลอร์” หรือ “ซาร่า เอเอฟ” เผยว่าที่ผ่านมาไม่ได้ปิดบังเรื่องที่ตนเองท้องเลย เพียงแต่เลือกวิธีว่าสักวันนึงทุกคนก็ต้องรู้
“ชีวิตแม่คนเรียกว่าพลิกโผ โอหัง นอนน้อยค่ะ เลี้ยงลูก ต้องตื่นทุก 3 ชั่วโมง น้องชื่อว่าแอร่าตอนท้องน้ำหนักขึ้นมา 10 กิโล ก็ยังทำงานปกติ ใส่ชุดวอร์มๆ คลุมๆ เท่ๆ สปอร์ตๆ ไม่ค่อยได้รับงานในรายการแต่จะเป็นรับงานในกอง ไปต่างจังหวัด ก็ชิลๆ คนที่ทำงานด้วยกันก็จะรู้ เราไม่ได้ปิด แต่เราก็ไม่ได้ออกมาโพสต์หรือมาบอก เพราะเราก็เชื่อว่าวันนึงก็ต้องมีคนรู้ วันนึงก็จะมีข่าวออก ก็เลยรอจังหวะนี้ดีกว่า เราเลือกจะใช้วิธีนี้
ตอนแรกตั้งใจอยากคลอดธรรมชาติ น้ำเดินตั้งแต่ 8 โมงเช้า เราก็จะคลอดธรรมชาติเพราะคุณแม่ญาติพี่น้อง คลอดธรรมชาติหมดเลย เราก็รอให้น้องมาจนถึงทุ่มนึง เริ่มเบ่งจนถึงสี่ทุ่ม น้องไม่มา ตัวเขาใหญ่ เราเบ่งจนออกซิเจนจะหมด สุดท้ายก็เลยต้องเข้าห้องผ่าตัด ได้ยินเสียงลูกก็ร้องไห้”
เชื่อในกฎของแรงดึงดูดทำให้มาเจอสามีโปรดิวเซอร์ “แอช จอร์แดน”
“เขาเคยมีพูดอยู่ประโยคนึงว่า คุณเคยรู้สึกว่าต้องรู้จักใครสักคนไหม แม้แต่กระทั่งแค่เดินผ่าน มันมีเซ้นส์อะไรบางอย่างที่ดึงดูด เราไปช้อปปิ้งแล้วเดินผ่านกัน กฎของแรงดึงดูดจริงๆ เขาเป็นฝ่ายมาทักเราก่อน เขามาทักเราก่อน เขาก็ดูเป็นฟิตเนสแมน หลังจากที่ได้คุยกันก็ได้เห็นความตั้งใจของเขา การงานของเขา ก็คุยกันไปเรื่อยๆ จนเขาทำเพลงเป็นโปรดิวเซอร์ ซึ่งจริงๆ เขาไปอยู่เกาหลีมาก่อนปีนึง ทำเพลงอยู่ที่โน่นแล้วก็พอมาเมืองไทยดันติดช่วงโควิดกลับไปไม่ได้ ก็เลยอยู่ยาวจนกระทั่งได้มาเจอกัน เขาตั้งใจจะย้ายออกแล้ว จนกระทั่งได้มาเจอเราเขาก็เลยอยู่ต่อ (หัวเราะ)
เราเชื่อเรื่องกฎของแรงดึงดูด เราจะเชื่อเรื่องของอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์มันอยู่ที่โชคชะตาฟ้าลิขิต ไม่ว่าจะเป็นจังหวะชีวิตที่เจริญหรือว่าจังหวะชีวิตที่เราต้องตก เป็นช่วงชีวิตของคนที่ต้องเจออยู่แล้ว อย่างกับแฟนคนนี้เจอกันเขาก็ขอไลน์ จริงๆ เราจะให้ไอจี แต่เราก็แบบอย่าเลยดีกว่า เดี๋ยวเขารู้ว่าเราดังมาก(หัวเราะ) ก็เลยให้ไลน์ เพราะไลน์จะไม่มีรูปของเราเลย จะเป็นรูปการ์ตูน แล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
เขาทักมาแรกๆ เราไม่ได้ตอบเขาเลยเกือบ 3 อาทิตย์ จนสุดท้ายเราก็เห็นความตั้งใจของเขา เขาบอกว่าผมรู้นะการที่มาทักคนแปลกหน้าในสถานที่แบบนี้มันอาจจะทำให้คุณดูแปลก แต่ผมแค่ต้องการความสัมพันธ์เป็นเพื่อน มิตรภาพ ซึ่งเขาไม่รู้ว่าเราเป็นดารา ในวันที่เขาเจอแล้วแลกไลน์เขาเห็นเราแค่ลูกตาเพราะใส่มาสก์”
ดีใจได้เป็นแม่คนในช่วงเวลานี้ รู้แล้วการเลี้ยงเด็กใช้พลังงานเยอะมาก
“เราเองก็โสดเกือบ 2 ปี ตอนนั้นเราตัดเรื่องความรักไปเลย เพราะเราอยากโฟกัสเรื่องงาน (หัวเราะ) จริงๆ ตอนนั้นอยากให้สิ่งดีๆ อยากพัฒนาตัวเองมากกว่า อยากทำในสิ่งที่เราอยากทำ แต่สุดท้ายทั้งนี้ทั้งนั้นก็ดีใจนะกับการได้เป็นแม่คนในช่วงเวลานี้ เพราะใช้พลังงานเยอะมาก เหนื่อยมากที่ต้องดูแลเด็กคนนึง ทุกวันนี้ดีใจที่อ่านคอมเมนต์ที่เขาบอกว่าเห็นเราเติบโต เห็นเราได้เป็นแม่ ติดตามมาตั้งแต่เข้าเอเอฟจนถึงตอนนี้มีลูกแล้ว”
เผยสามีค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับวิถีคนดังของตน ปรับมายด์เซ็ตใหม่ ยอมลบภาพเก่าในไอจี เสียความเป็นส่วนตัว โพสต์เรื่องราวดีๆ มีประโยชน์ต่อผู้คน
“อย่างที่บอกเขาบอกว่าต้องรู้จัก เขารู้สึกว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อน ตอนนี้น่าจะบุพเพอาละวาดแล้ว (หัวเราะ) พอเราเริ่มตอบ เขาก็ชวนไปกินกาแฟร้านวีแกน เพราะเรากินวีแกนมาจะ 3 ปีแล้ว เขาบอกว่าเขาไม่รู้ว่าเรากินวีแกนแต่เพื่อนเขาแนะนำร้านนี้ก็เลยอยากจะชวน ก็เลยแบบ เฮ้ย! ได้ไปอีกหนึ่งแต้ม (หัวเราะ) หลังจากนั้นเราก็รู้สึกประทับใจอีกหลายๆ เรื่อง แล้วเขาก็เลยปรับตัวเองมากินตามเรา เขาก็สนับสนุนในสิ่งที่เราเป็น
เขามารู้ว่าเราเป็นดารา ก็ตอนที่เขามาถามเราว่ารู้จักมิวเซียมเก๋ๆ ไหม ซึ่งพอไปพิพิธภัณฑ์ด้วยกัน ขากลับพี่ รปภ. ขอถ่ายรูป ตอนแรกเขาก็งงทำไมมีคนมาขอถ่ายรูปเรา เกิดความสงสัยเป็นที่มาทำให้ต้องบอกเขาว่าเราเป็นดารา หลังจากนั้นด้วยความที่คนอเมริกันเขาจะค่อนข้างหวงความเป็นส่วนตัวมาก เขาเลยตกใจนิดนึง
เราก็เลยบอกเขาว่าถ้าจะคบเราเป็นเพื่อนหรืออะไร ต้องรับประชากรที่จะเข้ามาในชีวิตของฉันให้ได้ เขาก็ตกใจนิดนึง ตอนนี้เขาก็เลยลบรูปทุกอย่างของเขาในไอจีออกหมดเลย ด้วยความเป็นส่วนตัวของเขา และเขาก็อยากจะโพสต์อะไรที่ตั้งใจให้จุดมุ่งหมายที่ดีกับคนอื่น ที่เขาลบรูปเก่าออกเพราะรู้สึกเกรงใจเรา แล้วรูปของเขาก็จะเป็นรูปครอบครัวก็ค่อนข้างจะไพรเวต แต่สุดท้ายเขาก็โอเค จะค่อยๆ ปรับให้เข้ากับเราให้ได้”
มีดนตรีเป็นความฝันร่วมกัน
“หลังจากคบกันมาสักพักนึงเราก็เริ่มแชร์ว่าเราเป็นใคร ทำอะไร เริ่มแชร์ความฝันของเรา แล้วก็เรื่องเกี่ยวกับเพลงที่เราเคยทำที่จีน เขาก็เริ่มแชร์ของเขาแล้วก็ชวนไปที่คอนโดซึ่งมีสตูดิโอที่นั่น เขาก็ให้เราลองอัดเพลง ซึ่งเราก็คิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะเราคิดว่ากว่าจะแต่งได้แต่ละเพลงมันยาก แต่เขามีทุกอย่างพร้อมให้เราไปฟรีสไตล์ได้เลย เราก็ไปฟรีสไตล์แบบสามช่า ส่วนเขาเป็นสไตล์ฮิปฮอป (หัวเราะ) เราเองก็ชอบฮิปฮอปอยู่แล้ว ก็เลยค่อยๆ ปรับเข้าหากัน หาแนวที่อยากจะทำเพลงด้วยกัน ก็เลยเป็นแรงบันดาลใจที่เขาเองก็อยากทำเพลงให้เรา แล้วตัวเราเองก็มีโอกาสได้ทำเพลงด้วย ณ ตอนนี้เขาก็เลยอยู่เมืองไทยยาวเลย แต่ก็ไป-กลับอเมริกาบ้าง ไปเยี่ยมครอบครัวเขาบ้าง
ซึ่งเขาเองก็เหมือนเป็นคนที่จุดประกายให้เราอยากกลับมาทำเพลงด้วย ก็เป็นความฝันของเราแต่เด็กแล้วว่าอยากจะทำอะไรแบบนี้ แล้วเราก็มีโอกาสได้ทำเพลงกับเขา แล้วเราต่างก็มีความฝันเหมือนกัน ถ้าเขาดูอยู่ก็อยากขอบคุณเขาในทุกๆ อย่าง เขาเด็กกว่าเรา 3 ปี”
แบ่งเวลาเลี้ยงลูกกับสามี เปิดโอกาสให้ลูกเลือกเองจะเข้าวงการบันเทิงตามแม่
“ด้วยความที่ต้องตื่นมาให้นมลูก ตอนนี้ก็จะเป็นหน้าที่เราเป็นหลักในการเลี้ยงเขา ส่วนช่วงเวลาที่เราจะพักผ่อนช่วงกลางวัน แฟนก็จะดูแลลูกให้ (จะให้ลูกเข้าวงการไหม?) ก็แล้วแต่เขา เราเองก็ไม่ได้ปิดโอกาสเขา จะเปิดโอกาสให้เขาเลือกเองเลย ลูกสาวหัวหยิก ตาโต ผิวน้ำผึ้ง น้องแอร่า”