xs
xsm
sm
md
lg

“ณิชา” แปลกใจ ท่าเต้นสตาร์ทมอ’ไซค์ ทำไมเพิ่งแมส! เล่าความเปลี่ยนไปของ “โตโน่” ที่ทำให้กลัวจนร้องไห้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ณิชา” เล่าขำๆ ท่าเต้นสตาร์ทมอ’ไซค์ “โตโน่” เคยล้อกันเองนานแล้ว ว่าปวดเข่า-ปวดคอบ้างไหม แปลกใจเพิ่งเป็นกระแส ทำมาตั้งแต่เป็นเดอะสตาร์ ร้องไห้เจอแววตาเปลี่ยน ช่วงถอดตัวละครไม่ได้ เป็นห่วงเต็มที่กับงานจนไม่เซฟตัวเอง เข้าใจฟีลนักร้อง แต่ต้องดูแลตัวเองด้วย ล่างเวทีขี้อายแค่ให้ร้องเพลงก็เขิน เวลาสัมภาษณ์ที่นิ่งมากเพราะคิดถี่ถ้วน ทำซึบซับช่วยเปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้น

เรียกว่าเป็นไวรัลที่แชร์กันแทบทุกโซเชียล สำหรับท่าเต้นสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ของหนุ่ม “โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์” ที่มีเหล่าคนดังแห่ออกมาคัฟเวอร์กันมากมาย ล่าสุด (16 ม.ค.) ได้เจอสาว “ณิชา ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์” หวานใจของหนุ่มโตโน่ เจ้าตัวก็ได้เล่าถึงที่มาท่าเต้นนี้ แปลกใจมากที่เพิ่งมาเป็นกระแส เพราะทำมาตั้งแต่ประกวดเดอะสตาร์แล้ว ตอนเจอกันแรกๆ ก็มีแอบถาม ว่าปวดเข่า-ปวดคอ บ้างหรือเปล่า เพราะโยกหัวแรงมาก

“คือมันไม่ใช่เดี๋ยวนี้ หนูแปลกใจมาก ยังคุยกันที่บ้านอยู่เลย ว่าทำไมมันเป็นกระแสขึ้นมา เพราะเขาทำอย่างนี้มาเป็น 10 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะเจอหนูด้วย ตั้งแต่หนูเล่นละครกับพี่เขา ก็ล้อกันเองนานมากแล้ว เรื่องท่าสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ จนวันที่เป็นกระแสหนูแบบ ทำไมอยู่ดีๆ มาเป็นกระแสได้ แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนดูเอ็นเตอร์เทน ก็ตลกดี

เขาก็เขินนะ (หัวเราะ) หนูก็เคยพูดกับเขาเหมือนกัน ว่าปวดเข่าไหม แต่คือหนูพูดไปเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่แค่ปีสองปีนี้มันเพิ่งมาเป็นกระแส ได้ไงไม่รู้เหมือนกัน ไอ้โดดโน่น ทำนี่ คือมันเป็นมานานมากแล้ว ตอนที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ หนูถามว่าปวดคอไหม คือโยกหัวก็โยกแรงมาก มันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว แต่สำหรับตัวหนู หนูก็แค่สงสัยเฉยๆ ว่าทำไมมาเป็นกระแสในตอนนี้ อาจจะเพราะกระแสว่ายน้ำ แต่ก็ตลกดี”

กระแสแรงจนคอนเสิร์ตเยอะกว่าเดิม ไปเตะบอลก็โดนให้โชว์ท่าสตาร์ทมอ’ไซค์
“เยอะ งานเยอะมาก (หัวเราะ) งานคอนเสิร์ตเยอะมาก เวลาไปเตะบอล ใครเจอเขาก็จะแบบ ทำท่าสตาร์ทมอ’ไซค์ให้ดูหน่อย (หัวเราะ) คือถ้าคนได้เคยเห็นคลิปเขา เขาเป็นอย่างนี้มานานแล้ว ถ้าดูเขาตั้งแต่เดอะสตาร์ เขาเป็นตั้งแต่ประกวด”

เรื่องกระโดดลงน้ำ กระโดดบนเวทีก็มีห่วง พูดไปแล้วว่าขอให้เซฟตัวเอง เข้าใจฟีลนักร้องแต่ดูแลตัวเองนิดหนึ่ง
“อันนี้ก็พูดค่ะ คือเต็มที่ได้ แต่ก็ต้องเซฟตัวเอง หนูก็เป็นห่วงเหมือนเดิม คือรู้แหละว่าเขากระโดดบ่อย กระโดดให้คนบ้าง กระโดดลงเวทีไปเล่นไปทำอะไรบ้าง คือเขาทำอย่างนั้นตลอดอยู่แล้ว แต่ว่าก็บอกเขาว่าอันไหนที่มันอันตรายเกินไปอะ ให้เซฟตัวเองอีกนิดหนึ่งได้ไหม เพราะว่าอายุก็เยอะขึ้นทุกวัน (หัวเราะ) มันก็ต้องดูแลตัวเองเยอะขึ้นนิดหนึ่ง เขาก็โอเค เขาจะพยายาม หนูว่ามันเอเนอร์จี้ของนักร้องค่ะ ที่เราไม่สามารถไปบอกได้ ว่าอยู่บนเวทีแล้วอยู่นิ่งๆ เถอะนะ คือแต่ละคนก็มีสไตล์การเพอร์ฟอร์แมนซ์ไม่เหมือนกัน มันไม่สามารถไปบอกได้ว่าใครควรจะเป็นแบบไหน แต่อะไรที่มันจะอันตรายหรือว่าไม่เซฟ อันนี้ก็ขอให้เบรกแป๊ปหนึ่งก่อนทำ แต่ถ้าอันนี้ไม่ได้เดือดร้อนใคร ไม่ได้อันตรายกับตัวเองก็ทำไปเลย”

รับปากแล้ว เพราะรู้ว่าแม่เป็นห่วง บนเวทีมันมากๆ แต่ชีวิตประจำวัน แค่ให้ร้องเพลงให้ฟังยังเขิน
“เขาโอเค เขารู้ว่าแม่ก็เป็นห่วงค่ะ ว่าเจ็บไหม ทุกคนก็ถามเหมือนกันว่าเจ็บไหม (หัวเราะ) (มีชวนเราเต้นท่ามอเตอร์ไซค์บ้างไหม?) ไม่ คือถึงบอกว่ามันเป็นความสามารถพิเศษของนักร้อง ที่อยู่ข้างล่างเขาไม่เป็นแบบนั้น แต่อยู่บนเวทีเพอร์ฟอร์แมนซ์เขาไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะพี่โน่ในชีวิตประจำวันเขาไม่เต้นไม่อะไรเลยนะ แค่ให้ร้องเพลงให้ฟังก็เขิน แต่พอขึ้นเวทีมันเหมือนเป็นที่ของเขามั้งคะ มันเลยเต็มที่

บนกับล่างเวทีไม่เหมือนกัน เป็นคนเต็มที่มาก จนทำให้เป็นห่วง
“หนูว่าก็ไม่เหมือน เวลาทำงานแสดง พี่โน่ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ถามว่าเต็มที่สุดไหม อันนั้นก็น่าเป็นห่วงเหมือนกันค่ะ จริงๆ คือเวลาเขาเล่นบู๊ เขาจะเล่นเองหมด เขาเป็นคนเต็มที่มาก อันนั้นก็เป็นห่วงอีกทางหนึ่ง แต่หนูก็เข้าใจได้อีก เพราะมันคือการทำงาน เขาก็รู้ว่าอะไรเซฟไม่เซฟสำหรับเขาแหละ

เวลาอยู่ด้วยกันเป็นหนุ่มขี้อาย
“ก็ขี้อายกับทุกคนอยู่บ่อยๆ เหมือนกันนะ ในบางเรื่องถ้าจะให้อยู่ดีๆ มาเต้น เขาก็ไม่ทำ (หัวเราะ) แล้วแต่เรื่องค่ะ”

ยังเป็นคนกวนๆ เหมือนปกติ แต่เวลาสัมภาษณ์จะนิ่งเพราะคิดถี่ถ้วนมาก
“เขาก็กวนเป็นเรื่องปกตินะ หนูเห็นเวลาเขาไปออกรายการสัมภาษณ์ เขาก็กวนเป็นปกติอยู่นะ แต่ในตอนนี้ที่หนูมาเจอพี่เขา เขาก็เป็นคนนิ่งอยู่แล้วค่ะ เวลาเขาสัมภาษณ์เขาเป็นคนนิ่งมาก แล้วเวลาพูดอะไรเขาจะคิด คิดถี่ถ้วนจนหนูกลายเป็นคนพูดไม่คิดไปเลยในบางที อย่างเขากับที่บ้านเอง กับแม่ กับคนรอบตัว กับวงเขา เวลาจะทำงานหรือคุยงานอะไร เขาจะคิดเยอะมากก่อนที่จะพูดออกไป เขารู้สึกว่าเวลาพูดไปแล้วมันเอาคืนไม่ได้ บางทีหนูคุยด้วยจริงจัง หนูก็ต้องลุ้นว่าเขาจะตอบอะไร (หัวเราะ) ซึ่งดีนะคะ มันทำให้หนูปรับตัว หนูรู้สึกว่าคิดดีกว่าไม่คิดเลย หนูก็คิดมากขึ้นไปด้วย เวลาจะพูดอะไรก็รู้สึกว่าตัวเองดีขึ้น เพราะเมื่อก่อนคิดปุ๊บพูดเลย พูดจนแม่บอกว่าใจเย็นๆ เมื่อก่อนแม่จะบอกว่าหยุดก่อน บางอย่างไม่ต้องทันทีก็ได้ ซึ่งหนูก็ดีขึ้นเรื่องนี้”

ความนิ่งของอีกฝ่าย ช่วยเปลี่ยนให้เป็นคนที่ดีขึ้น
“ช่วยได้เยอะเลยค่ะ ความนิ่งของเขามันก็ดีกว่าจริงๆ ดีกว่าไม่คิดเลย อย่างน้อยเราอาจจะเซฟใจคนฟัง หรือว่าอะไรต่างๆ ได้ บางทีตรงเกินไปมันก็ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไร”

ไม่ต้องรับมืออะไร กับการชอบทำอะไรสุดโต่ง
“หนูไม่ได้ต้องรับมืออะไรกับเขา ถ้าเรื่องสุขภาพร่างกาย หนูเป็นห่วงเป็นพื้นฐานปกติอยู่แล้ว คือเวลาถ่ายละครแล้วเขาเล่นเองทั้งหมด ด้วยความเต็มที่ของเขาจริงๆ ก็เป็นห่วงแล้วค่ะ ทำไมต้องเล่นเอง ต้องโดดเอง เตะต่อยเองทุกอย่างขนาดนั้น แต่ก็เข้าใจได้ในฐานะคนทำงานคนหนึ่ง เขาก็อยากจะเต็มที่ เราก็เป็นห่วง แต่ก็รอซัปพอร์ต”

เล่าร้องไห้วันเกิด หลังเจอ “โตโน่” ในภาวะถอดตัวละคร บท “เสือดำ” จากภาพยนตร์เรื่อง “ขุนพันธ์” ไม่ได้ ทำกังวลและเครียด ต้องช่วยกันหาทางออก
“ใช่ค่ะ คือจริงๆ หนูก็จำเหตุการณ์ไม่ได้ แต่ร้องไห้จริงๆ เพราะเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่เขาเลย คือเอนนอร์จี้เขาไม่ใช่โตโน่ที่เย็น ในตอนนั้นนะคะ คือมันไม่ใช่แค่แววตาหรอกค่ะ เวลาเราอยู่กับใครบ่อยๆ เราจะรับพลังงานได้ ว่าคนนั้นเครียดอยู่นะ คนนั้นเสียใจอยู่ แต่ว่ามันเป็นพลังงานโดยรวม หนูก็บอกไม่ถูก เวลาเราอยู่กับเพื่อน เราก็จะรู้ว่าเพื่อนไม่โอเค มันจะรู้โดยอัตโนมัติ อย่างหนูไม่โอเค แม่ก็จะรู้โดยอัตโนมัติว่าหนูต้องเป็นไรแน่เลย ก็เหมือนกันค่ะ หนูรับรู้ได้ว่ามันไม่ใช่เลย เลยรู้สึกว่าต้องช่วยกันหาทางออกแล้วแหละ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อ เราเองก็กังวลไปด้วย เครียดไปด้วย”

ไม่แน่ใจรู้ตัวเองไหม แต่วันนั้นคือมันไม่ได้แล้ว
“หนูไม่แน่ใจว่าเขาไม่รู้ตัวเลยไหม อันนี้อาจจะต้องถามเขา ว่าในภาวะนั้นเขายังไงบ้าง แต่ ณ วันที่ได้คุยกันวันนั้น เขาก็รู้ตัวเลยว่าไม่ได้แล้ว ต้องพยายามหาทางออกแล้ว สิ่งที่ทำให้เราร้องไห้วันนั้น คือเรารู้สึกว่ามันเครียดค่ะ (ทั้งๆ ที่เขามายืนร้องเพลงวันเกิดให้เรา?) ใช่ค่ะ เราร้องหลังจากที่เขาร้องเพลง คือได้นั่งคุยกันแป๊บหนึ่ง แล้วหนูพูดดีกว่า คือมันเห็นมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เรารู้สึกว่าถ้าเราไม่ทำอะไรกันสักอย่าง มันน่าจะดีฟไปมากกว่านี้ น่าจะไม่ไหว

เต็มที่กับบทได้ ต้องรู้วิธีเอาตัวละครออกได้อย่างคลีนด้วย แต่ตอนนี้ปกติดีแล้ว
“คือมันไม่ได้มีพฤติกรรมอะไร เราแค่เป็นห่วง คือเรารู้ว่าเวลาทำงานแสดง มันมีหลายวิธีที่จะใช้ ถามว่าถ้ามันจะทำให้งานออกมาดีที่สุด หนูเชื่อว่านักแสดงหลายคนก็พร้อมจะทำ แต่มันดันเป็นบทที่ข้างในมันน่ากลัว ถ้าบรีฟหรือลงไปลึกกว่านั้น แล้วอยู่กับความรู้สึกนั้นตลอดเวลา มันต้องรู้วิธีที่จะเอาออกได้อย่างคลีนด้วย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องยาก เพราะมันคือเรื่องของข้างใน ตอนนี้ดีแล้ว คือเรื่องมันเกิดขึ้นตอนต้นปี ตอนวันเกิดหนูเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ปกติค่ะ














กำลังโหลดความคิดเห็น