“โตโน่” เผยแพลนบวช 9 ม.ค. นี้ ตั้งใจบวช 7 วันเพื่อตอบแทนพ่อแม่พี่น้องทั้งไทย-ลาวที่ร่วมบริจาคในการว่ายน้ำข้ามโขงที่ผ่านมา พร้อมเผยบท “เสือดำ” ใน “ขุนพันธ์3” ทำอินจัด ถอดจากตัวละครไม่ได้ ทำเอาคนรอบข้างกลัว “ณิชา” ถึงขั้นร้องไห้ จนตนต้องไปพบแพทย์ แต่บอกตอนนี้รู้วิธีจัดการกับความคิดตัวเองใหม่แล้ว
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจว่ายน้ำข้ามโขง ได้ยอดบริจาคเกินกว่าเป้าที่ตั้งเอาไว้มาก ทำเอานักร้อง-พระเอกหนุ่ม “โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์” เองก็ไม่คาดฝัน ล่าสุดเจ้าตัวเผยถึงเรื่องการเตรียมตัวบวชเพื่อตอบแทนน้ำใจสำหรับทุกบาททุกสตางค์ที่ทุกคนร่วมกันบริจาคในครั้งนี้ด้วย
“วันที่ 9 นี้ครับ แต่ผมจะบินไปวันพรุ่งนี้เลยครับ และชาวบ้านอยากจะเจอก่อนด้วยครับ ก็อยากจะกลับไปเจอกับชาวบ้านที่จ.นครพนมด้วยครับ ตั้งใจไว้ว่าจะบวชอาทิตย์นึงนะครับ จะอยู่จำวัดที่วัดธาตุพนม 3 วัน แล้วก็จะข้ามไปจำวัดที่ทางฝั่งลาวด้วย วัดพระธาตุศรีโคดตะบอง ครับ
ที่เลือกสองวัดนี้ หนึ่งคือวัดธาตุพนมครับ ก่อนว่ายน้ำเราก็ไปไหว้ที่นั่น และผมคิดว่าเราก็อยากให้ชาวบ้านพ่อแม่พี่น้อง ผมอยากตอบแทนทุกบาททุกสตางค์ที่คนไทย คนลาวช่วยกันมา บางคนเขาอาจจะไม่มีพี่ชาย บางคนอาจจะไม่ได้มีลูกชาย คุณพ่อคุณแม่ที่ไม่ว่าจะบริจาคมา 5 บาท 10 บาท 100 บาท ผมรู้สึกว่าการบวชให้ของผู้ชายไทย มันเป็นการตอบแทนบุญคุณที่สูงสุดแล้วเท่าที่เราจะนึกออก ผมก็เลยอยากจะบวช
ก็คิดจะบวชหลังจากทำภารกิจเสร็จครับ ทั้งก่อนว่าย รวมถึงวันว่าย และหลังจากว่าย ตอนนั้นมันไม่คิดจริงๆ ว่าทุกคนจะช่วยกันเยอะขนาดนี้ และเวลาเราจะลงอินสตาแกรมผมไม่รู้จะหาคำไหนมาขอบคุณเขาจริงๆ กับความรัก ความมีน้ำใจ ความสามัคคีที่ทั้งคนไทย คนลาวมีให้กันในวันแมนเดอะริเวอร์ ผมเลยคิดว่าการบวชมันเป็นการกระทำแทนคำขอบคุณที่ชัดเจนที่สุดสำหรับความเชื่อของคนไทยครับ”
บอกชาวบ้านเตรียมจัดขบวนรำให้
“ตอนแรกผมก็ตั้งใจว่าจะปฏิบัติให้ดีที่สุดใน 7 วันนี้ แต่พอทางชาวบ้านทราบ เขาก็บอกว่าเขาขอรำให้ ผมก็เลยต้องไปตั้งแต่วันที่ 7 และผมยินดีนะครับ ไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะเหนื่อยหรืออะไรเลย ทั้งเรื่องของการบวชเพื่อตอบแทนน้ำใจของทุกๆ คนแทนคำขอบคุณด้วย และรวมถึงผมก็นึกถึงองค์ภาฯ ด้วย ก็เลยคิดว่าด้วยระยะเวลามันประจวบเหมาะ
จะเป็นงานใหญ่ของจังหวัดเลยไหมผมไม่ทราบครับ ตัวผมเองอยากทำให้เรียบง่ายเสมอมาครับ คือถ้าทางชาวบ้านหรือจังหวัดจะจัดงานให้ยังไงก็เป็นสิทธิของเขาครับ เพราะตั้งใจไว้แล้ว คือตอนแรกก็จะจำวัดที่ฝั่งไทย แต่พอข้ามไปฝั่งลาว ไปประชุมเรื่องอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทางคุณหมอ พยาบาล รวมถึงพี่น้องชาวลาวเขาก็อยากตักบาตร และเราก็รู้ว่าทางฝั่งลาวมมีบ้านของเด็กกำพร้า ส่วนฝั่งนครพนมมีของคนสูงอายุ ถ้าเราตักบาตรได้เยอะ ก็คงจะเอาไปมอบให้กับทั้งสองฝั่ง ทั้งไทยและลาวต่อ”
บอก “ณิชา ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์” ไปร่วมงาน แต่ครั้งนี้ไม่ได้ร่วมรำนำขบวนด้วย
“ถามว่าท่องบทสวดได้หรือยัง เรียนตามตรง คืนนี้แหละครับผมจะตั้งใจท่อง ยาวมากเลยครับ แต่ก็จะตั้งใจให้ดีที่สุดครับ ครั้งนี้เป็นการบวชครั้งที่ 2 ครับ ครั้งแรกบวชที่อยุธยา ครั้งนั้นบวชให้คุณพ่อคุณแม่ไปแล้ว ครั้งนี้ขอบวชให้คุณพ่อคุณแม่ที่เขาช่วยกันครับ ตั้งแต่วันว่ายจนมาวันนี้ ทุกครั้งไม่ว่าจะไปเล่นคอนเสิร์ตจังหวัดไหน เราจะเจอกับคุณพ่อคุณแม่หรือแม้กระทั่งเด็กๆ ที่เขาจำเราได้ในวันนั้น เขาจะเข้ามาหาเรา เราก็อยากให้เขามีความสุขครับ
ครั้งนี้ณิชาไม่ได้รำนะครับ แต่จะไปร่วมในวันบวชด้วยครับ ก็ไปกันทั้งครอบครัว ไปกันหลายคนเลยครับ เพราะผมไม่ได้บวชคนเดียวนะ ทีมว่ายก็บวชด้วย 4 คนครับ”
เผยอินกับบท “เสือดำ” ในภาพยนตร์เรื่อง “ขุนพันธ์ 3” จนทำ “ณิชา” ถึงขั้นร้องไห้ และคนรอบข้างกลัวกันหมด
“ดีขึ้นแล้วครับ แต่ในช่วงที่เป็นเขาก็หนักครับ คือมันไม่น่าอยู่ใกล้ครับ ตอนแรกผมก็ไม่รู้ตัว แต่ถ้าพี่ๆ จำได้มันมีวันนึงที่ผมไปเซอร์ไพรส์วันเกิดน้องณิชา ผมเอากีต้าร์ไปร้องเพลงหน้าบ้านเขา แต่หลังจากนั้นแหละครับ ณิชาร้องไห้ คือตาผมมันเปลี่ยน แล้วพอน้องบอกว่าน้องกลัว ผมก็รู้แล้ว เพราะก่อนหน้านั้นเราก็เริ่มรู้สึกแล้วล่ะว่าเราถอดไม่ออก
ตอนแรกก็ไปหาคุณหมอ แต่คราวนี้ที่จะช่วยได้ก็คือคุณหมอทางการแสดง ก็คือครูแอ๋ว จริงๆ ครูเตือนว่าอย่าใช้วิธีนี้นะโตโน่ มันไม่คุ้ม แต่เรารับปากครูว่าโอเคครับ ผมจะไม่ใช้ เขาเรียกว่าการเป็นตัวละครตลอดเวลา เรารับปากว่าเราจะไม่ใช้ แต่ใจเรารู้ว่าเราอยากจะมอบทุกอย่างให้กับงานของเรา ผมเป็นคนแบบนั้น ถ้าเล่นคอนเสิร์ต ผมก็จะทำให้สุด เล่นละคร เล่นหนังก็เช่นกัน แต่ในชีวิตจริงผมก็เป็นผมปกติ เพียงแต่พอเรารับเขามาแล้วโดยที่ไม่ได้บอกครู และเราไม่มีเวลาไปถอดออก
คราวนี้ผู้จัดการก็กลัวผม ทีมงานเวลาที่ผมไปถ่ายอีกกองนึง จิตใจผมก็ยังมืดมน มันไม่น่าอยู่ใกล้เลย จริงๆ แล้วผมว่ามันเป็นข้างในมากกว่าครับ ผมก็รู้ตัวว่าผมเป็นผม แต่คนรอบข้างเขาจะรู้สึกได้เอง พอเรารู้แล้วว่ามันส่งผลกระทบกับคนรอบข้าง รวมถึงจิตใจข้างในของเรา มันดิ่งมากครับ ตอนแรกเราไม่รู้ เราเห็นนักแสดงต่างชาติที่เราชื่นชอบเขาฆ่าตัวตาย เขามีปัญหาทางจิต เราไม่รู้ แต่พอเกิดขึ้นกับเราเองจริงๆ แล้วเรารู้แล้วว่าทำไมครูถึงเตือน แต่ก็อย่างที่ผมพิมพ์บอกเขาไปครับว่าผมยินดีที่จะเจอ”
บอกไม่ถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย แต่แค่ไม่น่าอยู่ใกล้
“ไม่ถึงจุดคิดฆ่าตัวตายครับ คือผมไม่ได้คิดทำร้ายตัวเอง แต่ผมแค่ไม่น่าอยู่ใกล้ครับ ช่วงแรกต้องกินยาครับ เพราะอย่างไปเดินห้าง คือเราก็รู้ตัวเรา ในช่วงนั้นนะตอนเป็นหนักๆ คนใกล้ตัวอย่างผู้จัดการผม แค่ผมขึ้นรถเขาก็กลัวแล้ว ผมลงมาจากรถตู้มาถึงกองขุนพันธ์ พี่จ่อย (อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) โอ้ (มาริโอ้ เมาเร่อ) ก็ยังไม่อยากเข้าใกล้ ยิ่งพอใส่ชุดใส่อะไรยิ่งไปกันหมด
แต่พอเราดีลได้อย่างเช่นซีนนี้ๆ ผมสามารถเป็นเขาได้ 100% นะ อย่างที่ผมไม่ต้องกังวลว่าคนที่เล่นด้วยกับผมเขาจะได้รับอันตราย ก็ดีขึ้น ซีนไหนที่ต้องแอ็กชั่นกัน ผมรู้แล้วว่าผมต้องมีสติในการเซฟเพื่อนที่ร่วมเล่นด้วย มันก็ปลอดภัยกับนักแสดงที่ร่วมเล่นด้วยกัน แต่ในช่วงแรกๆ มันอันตรายครับ ก็เลยต้องปรึกษากับทางครูและคุณหมอในช่วงแรก แต่พอทุกอย่างมันดีลกันได้ ก็กลับมาเป็นปกติ”
เผยเป็นคนทุ่มเทกับทุกงาน เพราะอยากให้เกียรติคนดู
“มันเป็นเพราะว่าเรายินดีที่จะตายเพื่อมัน บนเวทีคอนเสิร์ตผมยินดีเลยนะ ผมจะเป็นตัวอะไรก็ได้ถ้าคนจ้างผม คนที่เสียบัตรอุตส่าห์ขี่มอเตอร์ไซค์มา ขับรถมา เสียตังค์มาดูคอนเสิร์ตของเรา อะไรที่จะทำให้เขามัน เขามีความสุข ผมยินดี หนังก็เหมือนกันครับ ถ้ามันจะสะท้อนชีวิตของคนที่ทำไมเขาถึงเลือกเป็นเสือ เขาโดนอะไรมาบ้างกับชีวิตนั้น ผมยินดีครับ ในช่วงเวลาที่หนังที่เรารัก
คือเรารักวงการนี้ มันคืออาชีพของเรา ไม่ว่าจะเป็นนักร้องหรือนักแสดง และเราก็อยากจะให้เกียรติบท ตัวละครที่เราจะต้องไปเป็นเขา เพียงแต่ว่ามันเป็นครั้งแรกที่เราเป็นไปหมดเลย คราวนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีของผมเหมือนกันในการที่จะต้องรู้จักถอดออก เพราะไม่อย่างนั้นผมอาจจะมีปัญหาทางจิตใจ ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ครับ หมายถึงมันเป็นความรับผิดชอบของนักร้อง นักแสดงครับ”
เผยฝึกหนักทั้งยิงปีน ขี่ม้า เพราะผู้กำกับต้องการได้ภาพที่สมจริงที่สุด
“ถามว่ามีเรื่องความเชื่อที่เราต้องอินกับเขาขนาดนี้ไหม ก็มีครับ ในตอนแรกที่เริ่มสร้างตัวละคร เราไม่ได้สร้างแค่สิ่งที่บทเขียน แต่เราสร้างว่าเด็กคนนี้เขาเป็นยังไง เขาโตมายังไง พ่อแม่เขาเสียเพราะอะไร เกิดอะไรขึ้นกับคนๆ นี้ มันเริ่มไล่มา เรารู้ว่าตัวละครตัวนี้อยู่แถบไหน แถบสุพรรณบุรี กาญจนบุรี ผมก็ไปที่นั่น ตอนกลางวันทั้งวันเราเรียนขี่ม้าเพื่อให้ขี่ได้แบบเขา เพราะโจทย์ของทางพี่โขม (ก้องเกียรติ โขมศิริ) ต้องการให้เราขี่ม้าได้มือเดียว อีกมือเราต้องยิงปืน และเวลาถ่ายทำจริงผมไม่ต้องการใช้สตั๊น เวลาที่ม้าเจอกับเสียงระเบิดหรือเวลาที่ยิงปืนผ่านหูมัน มือที่เราจะต้องควบคุมเขามันต้องฝึกมาจริงๆ เราก็ต้องฝึกหนัก ส่วนกลางคืนเราก็จะเดินในป่า เพื่อซึมซับอะไรบางอย่างของเขา
ก็ต้องมีพิธีขอขมาก่อนเข้าฉากครับ แต่จริงๆ เราต้องเคารพตัวละครอยู่แล้วครับ เราก็บอกก่อนอยู่แล้วว่าเราต้องการจะสะท้อนชีวิตของเสือ หรือของผู้ชายในสมัยนั้นให้มันออกมาสมจริงที่สุด เพื่อคนดูของเราครับ มือก็เลยเป็นแบบนั้น อันนั้นคือฝึกยิงปืน แต่ตอนนี้หายแล้วครับ พอดีเขาใช้อาวุธหลายอย่างครับ ดาบด้วย ปืนด้วย แล้วก็ลูกซองสั้น พี่โขมอยากให้ยิงลูงซองมือเดียวโดยไม่สะบัด เราก็ต้องฝึกจนมันแข็งแรงจริงๆ แต่นั่นคือก่อนที่จะว่ายน้ำนะ”
บอกไม่กังวลว่าพอหนังเข้าฉาย อารมณ์นั้นจะกลับมาอีก
“ไม่ครับ คือตอนนี้บางอย่างก็ยังเป็น แต่พอเรารู้แล้วว่าจะคุมมันยังไง มันก็ถอดไป ก็มีวิธีดีลกับความรู้สึกข้างใน เพียงแต่ตอนที่เราต้องเป็นเขาตลอด ต้องถ่ายทำกันตลอด 3-4 เดือนนั้น มันต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น มันก็เป็นความทรมานที่มีความสุขอยู่ลึกๆ หมายถึงเราดีใจกับคนดูจัง เราดีใจจังเลย เราเคยมีคำถามว่าทำไมนักแสดงฝรั่ง ดูเวลาเขายิงสิ ดูเวลาเขาขี่ม้าสิ ทำไมมันเหมือนจริง ทำไมเขาทำได้ แล้วเราเป็นนักแสดงไทย เราก็ควรจะทำได้แบบนั้น
แต่โอเคในเรื่องของรายได้ เราไม่ได้รายได้เท่าฮอลลีวู้ด แต่ในเรื่องของจิตวิญญาณหรือความรับผิดชอบเราเท่ากันครับ เรามีอาชีพเหมือนกัน มันเป็นสิ่งที่ถ้าเราบอกว่าเรารักวงการบันเทิง หรือเรารักคนดูเรา ก็ควรทำให้เต็มที่ มันก็เหมือนกัน คอนเสิร์ตก็เหมือนกัน แต่เวลาที่ผมเป็นผมแบบนี้ ผมก็เป็นลูกของแม่ ผมก็เป็นแบบนี้”
เผยไม่คิดว่าเรื่องโดดน้ำหรือท่าสตาร์ทรถจะกลายเป็นกระแส
“ไม่มีอะไรเลยครับ จริงๆ แล้วผมไม่คิดเลยนะว่าผมต้องมาตอบเรื่องนี้ คือเรื่องโดดน้ำนี่เราก็เคยโดดมาแล้วนะ สตาร์ทมอเตอร์ไซค์เราก็สตาร์ทมาเป็น 10 ปีแล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะว่าเดี๋ยวนี้มีติ๊กต๊อก โซเชียลมันมากขึ้น เราก็ดูแล้วตอนกลางวัน คือไมค์ตัวนี้มันมีปัญหาเวลาเล่นในที่แคบ แล้วเราจะเปลี่ยนไมค์ใหม่อยู่แล้ว เราสั่งไมค์ใหม่เอาไว้แล้ว เราจะได้ไมค์ใหม่อีกวันนึง แต่เราไม่คิดว่าเราจะต้องมาตอบว่าโดดน้ำทำไม เพราะก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นต้องตอบว่าผมทำอะไร
แต่จริงๆ ดูไว้ตั้งแต่ตอนซาวด์เช็กแล้วครับ ไปดูแล้วว่ามันลึกขนาดไหน แต่ตอนไปดูไม่ได้โดดนะ แต่ถามเขาแล้วว่าเคยมีคนโดดไหม ก็มีคนเคยโดด และเราก็คิดไว้แล้วว่ามันน่าจะสนุกนะ ถามว่าเจ็บไหม ไม่เจ็บครับ แต่ถ้าลงไปแล้วยืน เจ็บครับ เพราะมันสูง เข่าผมกับข้อเท้าผมน่าจะเจ็บ
อารมณ์ตอนนั้นอยากจะเอ็นเตอร์เทนคนดูด้วยครับ เพราะเพื่อนๆ ก็มีความสุขที่มาดู และมันก็เป็นคอนเสิร์ตที่ขอนแก่นบ้านผมด้วย ก็ดีใจนะครับ ดีใจกับทางร้าน คนไปตามหาร้านกัน และเป็นเพลงสุดท้ายที่เราร้องด้วย จริงๆ มันจบโชว์ไปแล้ว และมีคนขอให้เล่นเพลงวันเกิด แล้วผมก็มีความรู้สึกว่าเพลงวันเกิดมันไม่น่าจะสนุกเท่า 30 ยังแจ๋ว ผมก็เลยเล่นเพลงนั้น แล้วก็โดด แต่เจ้าของร้านคงคิดว่าผมพูดเล่นมั้งครับ เพื่อนร่วมวงถามว่าเซอร์ไพรส์ไหม ถ้าสมาชิกใหม่บางคนอาจจะตกใจ แต่เพื่อนๆ ที่เคยเห็นกันมาก็เคยครับ เคยโดดนะ ไม่ใช่ครั้งแรก มีเคยสูงกว่านี้ด้วย น้ำลึกกว่า”
บอกไม่โกรธที่มีคนมาทำเลียนแบบตน
“พี่แจ๊ส ชวนชื่นบอกว่าไม่ต้องโดดน้ำแล้วเหรอ ก็ต้องขอโทษพี่แจ๊สด้วยครับ แต่ไม่ได้ทักหาเลย ไม่คิดจริงๆ ครับ อย่างสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ก็ไม่คิดว่าจะฟีตแบ็กเยอะขนาดนี้ ก็ตกใจ ก็มีคนมาให้สอนเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วมันเป็นการแค่นับจังหวะ 1 2 3 4 แต่อันนั้นมันเป็นเรื่องของงาน เรื่องของอาชีพ และอารมณ์บนเวที แต่ถ้าผมเป็นอย่างนั้นตลอดเวลาผมคงเหนื่อยมากเลยนะ (หัวเราะ) เรามีหลายหน้าที่เนอะ
ไม่ได้โกรธใครเลยครับ คือผมไม่ได้มีลิขสิทธิ์ท่า และเราเลือกได้ว่าเราจะตอบสนองยังไง และผมเป็นคนให้เกียรติคนเสมอมา ผมเลือกได้ เราอาจจะเลือกเกิดไม่ได้ เราอาจจะเกิดมารวยหรือจน เกิดมาเป็นผู้ชาย ผู้หญิง อยากจะเกิดมาเป็นเพศไหน เราเลือกไม่ได้ แต่เราเลือกได้ว่าเราอยากจะเป็นคนแบบไหน จะมีตำนานใหม่ๆ ไหม ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นตำนานอะไร ผมแค่ทำงานของผมให้เต็มที่ เพื่อคนที่เขาอุตส่าห์เสียเงินมาดูผมครับ”