“ฮาย-เซน Paper Planes” ชีวิตพลิก จากร็อกคีฟคูล ขึ้นแท่นขวัญใจวัยรุ่นฟันน้ำนม ไม่รู้ร้องตามได้ยังไง เป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่มีความสุข เปลี่ยนโลกสีเทาๆ ให้สดใส บอกไม่รู้จะมีชาติไหน้าไหม ขอใช้ชีวิตให้สนุก พร้อมเผยที่มาคำขวัญวันเด็ก สร้างสรรค์ความคิด ผูกมิตรซื่อตรง ก้าวอย่างมั่นคง ฟังทรงอย่างแบด
กลายเป็นขวัญใจกลุ่มเด็กๆ ฟันน้ำนมชนิดที่เจ้าตัวก็ยังงงๆ สำหรับสองหนุ่มวง Paper Planesอย่าง “ฮาย ธันวา เกตุสุวรรณ”และ “เซน นครินทร์ ขุนภักดี” เจ้าของเพลงฮิต ทรงอย่างแบดเพลงร็อกที่มีการร้องว้าก ฟังดูดุดัน แต่กลับกลายเป็นเพลงที่เด็กๆ วัยอนุบาลชอบกันมาก ถึงขั้นผู้ปกครองต้องโทร.มาถามว่าจะมีออกงานที่ไหนบ้าง เพราะว่าอยากพาลูกไปดูคอนเสิร์ต ซึ่งล่าสุดสองหนุ่ม “ฮาย-เซน” ได้มาเปิดใจถึงเรื่องนี้ที่ ตึกแกรมมี่ ชั้น 32 โดยยอมรับว่าพวกตนก็ยังงงว่าทำไมกลายเป็นขวัญใจเด็กฟันน้ำนมไปได้ เพราะด้วยแนวเพลงไม่ใช่จะใช่กลุ่มนี้ที่ชอบ
ฮาย : “รู้สึกตั้งตัวไม่ทันครับ (หัวเราะ) เพราะพวกเราคือวงร็อกที่คีฟคลูมาตลอดครับ มีความแข็งกระด้าง และมีเพอร์ฟอร์แมนซ์ที่ดุดัน แต่ว่าอยู่ดีๆ ชีวิตมันพลิกเปลี่ยน ต้องมาเป็นหัวหน้าแก๊ง ก็ตั้งตัวไม่ทันครับ เพราะเราไม่ได้คิดว่าจะมาทางนี้เลย แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเราก็ตื่นเต้นและอิ่มเอมหัวใจ จากการที่เราได้ไปเจออะไรหลายๆ อย่างในชีวิตครับ คือช่วงแรกเป็นช่วงที่เห็นเด็กๆ เริ่มร้อง เราก็รู้สึกว่าเนื้อเพลงมันน่าจะจำง่าย และพักนึงเริ่มมีคลิปที่น้องๆ ร้องกันในสวนสัตว์”
เซน : “ตอนที่เห็นครั้งแรกคือตอนที่ร้องกันดังแล้วด้วยครับ ก็เลยไม่รู้ว่ามันเริ่มจากตรงไหน”
ฮาย : “ไม่รู้ว่าอะไรมันคือจุดเริ่มต้น แต่ว่าเราก็ตลกๆ กันว่าเฮ้ย เด็กร้องได้ไงวะ เพราะเพลงมันค่อนข้างโหวกเหวกโวยวาย ก็เลยคิดว่าไม่น่าจะเข้ากับเด็กๆ แต่ว่าสุดท้ายกลายเป็นว่าเด็กๆ ชอบ ก็เริ่มดูจากคลิปนั้นครับ เหมือนพวกเราชอบวิเคราะห์ด้วย เราก็ดูไปด้วยและวิเคราะห์ไปด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้นนะ เด็กๆ เขาไปชอบตรงไหน อะไรที่มันทำให้เข้าไปอยู่ในใจเขา แต่พวกผมทำงานเบื้องหลังกันมานาน สิ่งที่เกิดขึ้นมันค่อนข้างแปลก เราไม่รู้ว่าการวิเคราะห์ตกลงแล้วมันจริงหรือเปล่า แต่พอเรามานั่งวิเคราะห์จริงๆ มันเป็นเรื่องของเมโลดี้ครับ มันเป็นเมโลดี้ง่ายๆ ย้ำๆ”
เซน : “มันเหมือนเป็นเมโลดี้กล่อมเด็กนอนน่ะครับ ใช้โน้ตง่ายๆ เลย”
ฮาย : “ตอนแรกเราคิดแค่ว่ามันไหลลื่นครับ คิดแค่ว่าพอมันมีประโยคนี้มาแล้วจะใช้คอร์ดประมาณไหน เราคิดในทางคนทำเพลงน่ะครับ”
เซน : “เราคิดแค่ว่าคำนี้มันเป็นวลีติดหูเฉยๆ แต่เราไม่ได้คิดว่ามันเป็นเพลงที่เด็กจะจำได้”
ฮาย : “คือไม่ได้คิดถึงหน้าเด็กๆ เลย อันนี้พี่ต้องขอโทษน้องๆ นะ (หัวเราะ) แต่พอเรามานั่งวิเคราะห์กันจริงๆ ส่วนหนึ่งคือจังหวะนี้มันเป็นจังหวะตรงหมดเลยที่ใครๆ ก็ร้องได้ และโน้ตคล้ายๆ เพลงกล่อมเด็ก และมีจังหวะให้แอบดื้อได้บ้าง กลายเป็นเพลงชาติสำหรับเด็ก โห ก็ขอบคุณมากๆ ครับ ผมก็แอบรู้สึกมันก็ดีต่อคนทำเพลง มีคนชอบเยอะ แค่เปลี่ยนกลุ่มทาร์เก็ตเฉยๆ (หัวเราะ)”
เผยกลุ่มทาร์เก็ตคนฟังน่าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่น แต่พอเป็นเด็กๆ ก็รู้สึกดีไปอีกแบบ
ฮาย : “จริงๆ เราไม่ได้ตั้งขนาดนั้น แต่เรารู้ว่ากลุ่มของเราอยู่ในช่วงอายุเท่าไหร่ ช่วงมัธยมปลายๆ ไปจนมหาวิทยาลัย แต่มันไม่เคยเกิดขึ้นกับเด็กที่เพิ่งเกิด หรือเด็ก 3 ขวบขึ้นมา เราไม่ได้คิดแบบนั้นเลย เพราะเราไม่แน่ใจว่าเด็กในยุคนี้ฟังเพลงแบบไหนกันแล้ว และเขาชอบเพลงแบบไหนกัน เราไม่ได้ไปคิดถึงตรงนั้นเลยครับ”
เซน : “ถามว่าเคยไปถามเด็กๆ ไหมว่าทำไมถึงชอบเพลงนี้ เคยครับ แต่พอคุยแล้วไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ (หัวเราะ)”
ฮาย : “ส่วนใหญ่ที่เจอก็ไม่ได้ถามแบบจริงจัง เพราะว่าน้องๆ เขาก็จะมีความรู้สึกที่น่ารักๆ เต็มที่ก็เข้ามากอดเรา เราก็คิดว่าถ้าเข้าไปถามเด็กๆ ว่าทำไมชอบเมโลดี้ชุดนี้มันก็คงแปลกๆ (หัวเราะ) ก็เลยให้เป็นความรู้สึกธรรมชาติไป แต่ตอนนี้วันเด็กก็มีงานแล้วครับ แต่ตอนนี้พี่ผู้จัดการเพิ่งอัปเดตล่าสุดว่ามีคุณครู หมอฟัน”
เซน : “จริงๆ มีพวกโรงเรียนเข้ามาบ้างครับ ไปเล่นตามอีเวนต์ของวันเด็ก”
เผยตอนนี้เวลาโชว์มักจะมีเด็กๆ ที่ผู้ปกครองอุ้มมาดูด้วยเยอะขึ้น
ฮาย : “คือมันค่อยๆ เริ่มมาช่วงนี้ที่เริ่มมีกระแสหลังๆ เพราะสถานที่ที่เราไปเล่นใกล้เคียงกัน แต่มันเริ่มเพราะพ่อแม่เขาก็เริ่มอยากพาเด็กมา ถ้าเกิดมันเป็นร้านอาหารเขาก็จะพาเด็กมา แล้วชีวิตเราก็เปลี่ยนไป คือปกติจะมีเข้ามาว่าพี่ขอถ่ายรูปหน่อย แต่ตอนนี้เป็นแบบเด็กๆ มาขอถ่ายรูป แล้วก็มาโอบกอดเรา สักพักหน้าเวทีก็เริ่มมีเด็กๆ เป็นกลุ่มๆ เหมือนสมัยที่เราไปดูลิเก (หัวเราะ)”
เซน : “เหมือนเขาตั้งแท่นให้เด็กยืนเลยครับ ผมเห็นป้ายก่อนเล่นว่าอายุมากกว่า 12 ปีห้ามขึ้น (หัวเราะ)“
ฮาย : “ก็แปลกนะ ผมเล่นดนตรีมาก็ไม่เคยเจอแบบนี้ ก็เลยกลายเป็นว่ามันเปลี่ยนไป แต่ก็เป็นอะไรที่มีความสุขมากขึ้นครับต้องปรับเปลี่ยนการโชว์ด้วยไหม สิ่งที่เปลี่ยนไปคือผมต้องจับมือเด็กๆ บ่อยขึ้น เพราะว่าเดี๋ยวเขาหลับก่อน เพราะมันเริ่ม 4-5 ทุ่ม เราก็เหมือนต้องปลุกเขาตลอดเวลา ก็จะได้รู้สึกว่ายังตื่นอยู่ พอเสร็จโชว์ปุ๊บจะได้กินนมแปรงฟันเข้านอนเลย
จริงๆ มันไม่มีอะไรเลยครับ เหมือนพอเราจะพูดกับเด็ก ผมแค่รู้สึกว่าเด็กๆ พอนอนดึกน่าจะไม่ค่อยแปรงฟันกันแน่เลย น่าจะหลอกพ่อแม่ ผมก็เลยคิดว่าคุยกับเขาว่าถ้าจบคอนเสิร์ตอย่าลืมไปแปรงฟันกันนะ ก็พูดปกติเหมือนที่เราคุยกับเด็กๆ แต่มีแฟนเพลงเขาถ่ายแล้วไปลงติ๊กต๊อก ก็เลยเหมือนเป็นวลีฮิตไป ตอนนี้เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตเลยต้องหาเรื่องราวไปพูดด้วย ล่าสุดผมคุยกับแฟนๆ ที่โตๆ หน่อย ระหว่างนั้นเซนก็นั่งเป่ายิงฉุบเล่นกับเด็กๆ (หัวเราะ) ก็ช่วยกันครับ ถ้าผมอยู่กับเด็ก เซนก็อาจจะอยู่กับผู้ใหญ่หน่อย ก็สลับกันไป ก็สนุกขึ้นครับ ก็มีผู้ปกครองมาถามว่ารับงานเช้าบ้างไหมเหมือนกัน ผมคิดว่าเขาคงอยากพาเด็กๆ มา”
เซน : “เพราะปกติในผับเด็กๆ ก็อาจจะเข้าไม่ได้”
ฮาย : “โดยส่วนใหญ่พวกเราเล่นก็ 4-5 ทุ่มไปแล้ว และบางสถานที่ก็เป็นผับ เด็กๆ อาจจะเข้าไม่ได้ เขาก็เลยอาจจะคิดว่าทำยังไงที่จะเอาลูกมาดูได้ แต่พี่ๆ ก็ยังไม่ตื่นกันเลย (หัวเราะ) เพราะว่าเล่นดึก”
บอกไม่คิดเปลี่ยนแนวเพลง โชคดีไม่มีคำหยาบอยู่แล้ว
ฮาย : “แนวเพลงต้องเปลี่ยนไหม เรายังไม่ได้คิดถึงเรื่องเปลี่ยน แต่คิดว่าน่าจะไม่เปลี่ยน เพราะว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายคือการเป็นตัวตนของเราในวันนี้”
เซน : “แล้วเด็กที่เขาชอบ เขาชอบจากเพลงที่เป็นตัวเราจริงๆ ด้วยครับ”
ฮาย : “ใช่ ผมก็เลยรู้สึกว่าเราอาจจะไม่ได้เปลี่ยนขนาดนั้น อาจจะแค่มีส่วนที่สัมพันธ์ร่วมกับเด็กมากขึ้น มีปฎิสัมพันธ์มากขึ้น คิดว่าเพลงเรายังคงเหมือนเดิมแหละ เพียงแต่ผมคิดว่าเพลงเราโชคดีที่ไม่ค่อยมีคำหยาบโดยปกติอยู่แล้ว ผมก็กลับมาเช็กนะว่ามันมีคำสบถเล็กๆ บ้างไหม ก็ไม่มีเลย ก็เลยเป็นความโชคดีไป และในอัลบั้มก็คงพยายามทำเพลงที่มันไม่มีคำหยาบให้ได้มากที่สุด เพราะผมมองว่าวันนึงเด็กๆ โตขึ้นก็คงต้องพูดคำหยาบอยู่แล้ว แต่ในวัยที่เขายังไม่สามารถแยกแยะได้ ถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆ ได้ ผมก็คิดว่าน่าจะดี ก็แค่ปรับในเรื่องการเขียนเพลงเฉยๆ และระวังเรื่องคำหยาบเล็กๆ น้อยๆ ครับ”
เผยเป็นคนรักเด็กอยู่แล้ว แต่แอบตกใจพฤติกรรมของเด็กๆ บ้าง
ฮาย : “จริงๆ ผมรักเด็กมากเลยนะ เซนกับผมนี่ค่อนข้างเลย เวลาเด็กๆ มาผมก็ชอบกอด ชอบลูบหัว”
เซน : “เวลาเด็กเดินมาหาผมแล้วเข้ามากอด คือเขามากันสองคน อีกคนที่ไม่ได้กอดก็ชี้แล้วบอกว่านี่พ่อเธอใช่ไหม (หัวเราะ)”
ฮาย : “ของขวัญจากเด็กที่แปลกๆ ส่วนใหญ่จะเป็นทิปที่พ่อแม่เตรียมมาให้ครับ แล้วน้องๆ เขาก็ยื่นมาให้ทีเดียวหมดเลยด้วยความรู้สึกของเขา (หัวเราะ) แล้วพ่อแม่ก็อุตส่าห์เตรียมไว้ให้เป็นปึกๆ เลย แต่ยังไม่มีของขวัญแปลกๆ ขนาดนั้น แต่มีช็อตนึงที่ผมตราตรึงใจอยู่ คือปกติเวลาไปเล่นแล้วเจอคนเมา เขาจะชอบล็อกคอผมแล้วถ่ายรูปลงสตอรี่ อาจจะรุนแรงนิดนึง แต่ก็เข้าใจได้ แต่รอบล่าสุดผมเจอเด็กน่าจะประมาณ 2-3 ขวบ พ่อแม่เขาก็อุ้มมา แล้วพอนับจะถ่ายรูป 3 2 1 เด็กก็ดึงคอผมเข้ามาถ่าย ผมก็ห๊ะ นี่คือเด็ก 2-3 ขวบเหรอ ถ้าวันนั้นถ่ายคลิปไว้ได้จะตลกมากๆ เลยครับ เด็กผู้หญิงด้วยนะ”
ไม่คิดว่ารอยสักจะทำให้เด็กกลัว เพราะเด็กรุ่นนี้คงเห็นจนชินตาแล้ว
เซน : “เวลาเด็กๆ เจอเรา เขาเขินนะ”
ฮาย : “โดยส่วนใหญ่จะเขิน ถ้าคนที่ชอบมากๆ ก็จะร้องไห้เลย แล้วก็มากอดเรา เด็กบางคนก็บอกว่าผมรักพี่มากเลยครับ กลายเป็นเราก็รู้สึกแก่ขึ้นไปอีกเรื่อยๆ(หัวเราะ) มีมาหลายแบบ มีเขินแบบยืนนิ่งๆ ก็มี ผมคิดว่าเด็กที่โตมาในเจนนี้ ลุคแบบผมน่าจะเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา เขาไม่ได้คิดว่าคนสักคือน่ากลัว แต่อะไรก็ตามที่เป็นธรรมชาติที่เขาเคยชินอยู่แล้ว เขาไม่น่าจะรู้สึกว่ามันแตกต่าง เขาก็เลยแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติว่าเขารักเรา ไม่ว่าจะด้วยผลงานหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เขามีความสุขกับเรา
ถามว่าตอนนี้ยากไหมสำหรับการวางตัว สำหรับผมก็มานั่งคิดเรื่องนี้ จริงๆ ผมอยู่ในวัยที่แยกแยะได้ว่าบางเรื่องมันก็ไม่ได้ดีมาก บางเรื่องก็มีดีบ้าง แต่ผมก็รู้สึกว่าอาจจะวางตัวให้สุ่มเสี่ยงน้อยลง เพราะว่าที่เราอยู่ตรงกลาง ผมว่าบางเรื่องเด็กๆ ยังไม่สามารถที่จะวิเคราะห์หรือแยกแยะเองได้ ถ้าสมมติว่าเรารู้สึกว่าเรื่องไหนที่สุ่มเสี่ยงเด็กจะตีความไปในทางที่ไม่ดี ผมก็จะเลี่ยง แต่เราไม่ได้เลิกทำนะ เช่นการดื่มกาแฟ ดื่มเครื่องดื่มมึนเมา การใช้บุหรี่ ผมรู้สึกว่ามันจะดีกว่าไหมถ้าเราไม่ทำให้เด็กๆ เห็น
มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีเลย แต่มันเป็นเรื่องที่ยังไม่ควรให้เด็กตัดสินในตอนนี้ เด็กที่อินในตัวเราเขายังคิดไม่ได้ พี่เขาโตแล้วเขาเลยสามารถดื่มได้ หรืออาจจะคิดว่าพี่เขาก็ทำเราก็ทำได้ ผมก็วางตัวให้มันเซฟมากขึ้น เพื่อให้ถึงวัยที่น้องๆ ตัดสินใจได้เอง สำหรับผู้ปกครองยังไม่มีวิจารณ์ขนาดนั้นครับ แต่ก็เป็นความรู้สึกว่า เนี่ยพูดตั้งนานนะไม่ยอมแปรงฟัน แต่พอพี่ฮายมาพูดรอบเดียวก็แปรงเลย หรือทันตแพทย์มาบอกว่ารณรงค์มาตั้งนาน (หัวเราะ) ก็ขอบคุณที่มาพูดเรื่องนี้ แต่เราก็พูดไปด้วยความตลกๆ ของเราครับ”
บอกตอนนี้มีไปเล่นงานวันเด็กแล้วเรียบร้อย
ฮาย : “น้องๆ เขาก็จะเรียกผมว่าพี่ฮาย แต่พอเซนเขาเรียกพ่อ (หัวเราะ)”
เซน : “ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เดินมากอดขา แล้วเด็กอีกคนชี้ นี่พ่อเธอใช่ไหม (หัวเราะ) 2-3 คนเลยครับ ก็ตลกๆ กันไปครับ”
ฮาย : “แฟนคลับเด็กสุด ผมเดาว่าน่าจะ 2 ขวบครับ ยังต้องอุ้มอยู่เลย มีจังหวะหนึ่งที่ผมก็ร้องไป แล้วหันไปเห็นแม่เขาป้อนนม คือยังกินนมอยู่ (หัวเราะ) พกขวดนมมาด้วย ขนาดนี้แล้วหรือ จริงๆ อยากฝากไว้นิดนึงถ้าพาเด็กๆ มาอยากให้ใส่เฮดโฟนเพื่อเซฟหูของเขาจะได้ดูคอนเสิร์ตไปด้วยกันได้ งานจ้างตอนนี้หลากหลายมากขึ้นครับ ตอนนี้กำลังดูครับ อาจจะมีทิศทางที่เปลี่ยนไปบ้าง และเรื่องของสินค้าที่อาจจะมีเข้ามาในอนาคต ดูแล้วมีแนวทางที่จะเปลี่ยนไปมากขึ้น”
เซน : “อาจจะเป็นอีเวนต์ที่เด็กมาร่วมดูได้ครับ”
ฮาย : “ก็พร้อมที่จะปรับการนอนครับ (หัวเราะ) ผมพร้อมที่จะปรับการนอน ตื่นให้เช้าขึ้นครับ”
ไม่กดดันสำหรับเพลงต่อไป แต่จะระวังเรื่องคำหยาบให้มาก
ฮาย : “จริงๆ อย่างที่บอกเราอาจจะไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก ที่น้องๆ ชอบ เขาชอบในความเป็นตัวของเรา แค่อาจจะระวังเรื่องคำหยาบ หรืออะไรที่ไม่จำเป็น อย่างเราเขียนเพลงก็ไม่ได้มีคำหยาบมากมายอยู่แล้ว ก็จะระวังให้มากขึ้น และเรื่องของวิธีคิดสำคัญมาก เพราะเด็กฟังเพลงของเรา ถ้าวิธีคิดผิดไปผมรู้สึกว่ามันจะฝังเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดี โอเคมีโอกาสแล้วอาจจะทำเพลงเพิ่มที่เป็นประโยชน์ให้กับเด็กๆ มากขึ้น ฝากอะไรให้กับเด็กรุ่นนี้มากขึ้น เผื่อในอนาคตอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเป็นสิ่งที่เขาชอบ หรือว่าเป็นเด็กที่มีวิธีคิดที่ดีมากขึ้น”
เผยพอมีเด็กๆ เข้ามา ทำให้เกิดพลังงานดีๆ เข้ามาหาตนมากขึ้น
ฮาย : “ผมสังเกตเล็กๆ ว่าเขาเริ่มแต่งตัวมีความคล้ายเรา มีใส่ชุด มีใส่เสื้อประมาณนี้ ใส่รองเท้ายี่ห้อเดียวกัน คุณพ่อคุณแม่พร้อมซัปพอร์ต สุดท้ายเขาอยากเป็นนักร้องแบบเราไหมก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าเวลานี้ก็จะเก็บเกี่ยวโมเมนต์ดีๆ ไว้ถ้าเกิดมีบางอย่างที่คืนกลับไปให้น้องๆ ได้ ในเรื่องของวิธีคิดพวกเราก็จะพยายามทำตรงนี้
ผมรู้สึกว่าพอมีเด็กๆ คือในโลกของผมที่มันสีเทาๆ พอมีความสดใสเข้ามามันเลยสะท้อนให้เราเห็นว่าการที่เรารับอะไรเข้ามาแบบนี้ แล้วทำให้เราดีขึ้นในบางมุม มันก็ดีเหมือนกันนะ ผมรู้สึกว่าเราไม่ได้ต้องการเป็นคนที่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก แต่บางมุมเราต้องการพลังงานสะอาดๆ”
เซน : “ตอนที่น้องๆ เข้ามามันเป็นพลังงานที่บริสุทธิ์มาก เป็นความชอบจริงๆ จะมีท่าประจำเอ็มวีเรา แล้วพอน้องเขาเขิน เขาก็นิ่งๆ แต่พอเดินกลับมาเขาทำท่าให้เรา”
แต่งคำขวัญวันเด็กให้น้องๆ ด้วย
ฮาย : “ก็อยากให้น้องใช้ชีวิตช่วงนี้อย่างมีความสุข มีความรับผิดชอบในหน้าที่ตอนนี้ให้ดีที่สุด เช่นแปรงฟัน กินอาหารให้ดี นอนพักผ่อนให้เพียงพอ หาสิ่งที่ตัวเองชอบทำ ทำสิ่งที่มีความสุข และยังไม่ต้องรีบค้นหาตัวเอง สำหรับคนที่เจอตัวเองแล้วก็สนุกกับมัน ส่วนคนที่ยังไม่เจอก็ไม่ต้องกดดันตัวเอง อยู่ในวัยที่ยังไม่ต้องรับผิดชอบมาก เก็บเกี่ยวช่วงนี้ ใช้ชีวิตในช่วงนี้ไปมากๆ จะดี ในวันที่เราโตขึ้นอาจจะไม่ได้อยู่ในช่วงนี้อีกแล้วอย่างพวกเราที่โตขึ้นแล้วอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่งครับ
เซน : “สำหรับคำขวัญวันเด็กของเราที่แต่งขึ้นมา ก็คือ สร้างสรรค์ความคิด ผูกมิตรซื่อตรง ก้าวอย่างมั่นคง ฟังทรงอย่างแบด”
ฮาย : “คิดแบบค่อนข้างเร็ว แต่ว่าใช้เวลาคิดแบบเขาขอมานานแล้ว เราก็คิดไม่ออก เพราะเราว่าพอมันเป็นการคิดคำขวัญ มันเหมือนกับว่าพอมันถึงเด็กๆ แน่นอน เด็กๆ รับมันเข้าไป ผมเลยรู้สึกว่าต้องละเมียดละไมกับมันหน่อย ประโยคที่ว่าสร้างสรรค์ความคิด เพราะตอนเด็กๆ ผมเป็นคนที่รู้สึกว่าคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ มันจะสามารถเอาตัวรอดในสังคมได้ เขาเรียกว่าดิ้นรนและสามารถพลิกแพลงได้เสมอ และทำให้เรามีอารมณ์ที่ดีเสมอ และยิ่งเราทำงานในงานอาร์ตด้วย ผมคิดว่าการมีความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งจำเป็น
ผูกมิตรซื่อตรง ก็คือพยายามคบมิตรที่มีความซื่อตรง หรือว่าเราเองก็ต้องซื่อตรงกับเขา เพราะว่าการที่เราจะใช้ชีวิตบนโลกนี้ได้ไม่ได้มีแค่การอยู่คนเดียว เราอาจจะต้องมีเพื่อนพ้อง คอนเนกชั่นในการสนับสนุนอะไรอย่างนี้ครับ เราก็เลยคิดว่าการคบมิตรไว้อาจจะไม่ต้องเยอะ แต่แค่ขอมีมิตรที่เป็นมิตรและก็ซื่อตรงมันก็จะดีกับเรา
ก้าวอย่างมั่นคง คือผมรู้สึกว่าการก้าวอย่างรวดเร็วจริงๆ มันดี มันตื่นเต้น มันสนุกสนาน แต่ว่าสุดท้ายแล้ววันหนึ่งเราต้องการก้าวไปอย่างมั่นคง ก็คือค่อยๆ ก้าวไป หรืออาจจะวางแผนเตรียมทุกอย่างให้มันดีในอนาคตครับ เพื่อที่จะให้รู้สึกว่าเราไม่ต้องไปเร็วเท่ากับคนอื่นก็ได้ ไม่ต้องอยู่ในมาตฐานของคนอื่นแต่ว่าเราต้องก้าวอย่างมั่นคงในแบบของเรา
และ ฟังทรงอย่างแบด คือผมก็พยายามด้นกลับมาที่เพลงของตัวเองเพราะผมจะฝากเพลงของตัวเอง แต่ผมก็รู้สึกว่าพอมันเป็นความไม่จริงจัง นั่นหมายความว่าชีวิตเรามันต้องอยู่ในความสนุก ไม่ว่าทั้งหมดทั้งมวลมันจะเป็นความซีเรียสขนาดไหน แต่กลับมาแล้วมันจะต้องอยู่ในความสนุก เราจะต้องสนุกกับชีวิต เพราะว่าเรามีชีวิตแค่ครั้งเดียว เราไม่รู้ว่าต่อไปจะได้มีชีวิตในชาติหน้าอีกไหม ก็คือใช้ชีวิตให้มีความสุขมากที่สุดครับ”