“ทาทา ยัง” เผยหลายโรครุมเร้าทำนอนโรงพยาบาล 40 วัน โอดท้อมาก แต่บอกตัวเองตายไม่ได้ ต้องอยู่สู้เพื่อลูก เล่าตอนนอนโรงพยาบาลคิดถึง “คุณหญิงแมงมุม” โทร.ไปร้องไห้กับ “เสธ.ดอลล่าร์” สงสารทั้งเพื่อนและตัวเอง แต่ยังไงก็จะต้องไปต่อ นอนโรงพยาบาล 40 วัน รายได้หายไปหลายล้านบาท
หลังจากผ่านมรสุมลูกใหญ่ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานถึง 40 วัน เสียรายได้ไปหลายล้าน วันนี้นักร้องชื่อดัง “อมิตา ทาทา ยัง” พร้อมด้วยลูกชาย “น้องเร” นำผลิตภัณฑ์ อมิตา ดีเฟนซีฟ เอสเซนส์ มอบให้กับผู้ที่บริจาคเลือดที่สภากาชาดเนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 42 ปี ของตน โดยทาทาได้อัปเดตชีวิตกับสื่อมวลชนถึงอาการป่วยที่ผ่านมาว่าเจอหลายอาการรุมเร้า ก็คือ โรคกระเพาะ กรดไหลย้อน ติดเชื้อแบคทีเรีย บ้านหมุน ไซนัส
“ตัวทาเองมีปัญหาหลักคือโรคกระเพาะที่เป็นปัญหาใหญ่ อาจจะเพราะเราทำงานดึก ร้องเพลงกลับถึงบ้านเราก็หิว ก็กิน ยิ่งอายุมากทำแบบนั้นมันไม่เวิร์ก กรดไหลย้อนเอยอะไรเอยมันก็มาทำร้ายเส้นเสียงด้วย แต่ล่าสุดคือทาเป็นไซนัสอักเสบรุนแรงจนทำให้ปวดหูมาก เพราะมันคั่ง โชคดีมากที่มันไม่ถึงขนาดเป็นหนอง แต่ติดเชื้อแบคทีเรียแบบรุนแรง ให้ยาฆ่าเชื้อไปทั้งหมด 9 ตัว แต่ 3 ตัวแรกคือไม่ได้ผลเลย ยาฆ่าเชื้อบางตัวจะต้องลองให้ดูก่อน 2-3 วันถึงจะรู้ว่าได้ผลไหม ยาบางตัวเรากินแล้วไม่ได้ผลทันที เหมือนยาคลายกล้ามเนื้อ มันแล้วแต่คนจริงๆ
สำหรับทาให้ไปแล้ว 3 ตัวแรก ไม่ได้ผล มีอาการคลื่นไส้และอาเจียนหนักมาก ยิ่งทำให้เส้นเสียงพังไปอีก เครียดเลย ตอนแรกหมอบอกเส้นเสียงสวยกว่านักร้องหลายคนเรานี่ภูมิใจมาก แต่วันที่แย่ ทาร้องไห้หนักมาก ทาไม่เคยเห็นเส้นเสียงตัวเองเลือดออก แล้วมันไม่ใช่แค่เรื่องกรดไหลย้อนที่มันส่งผลขึ้นมา มันเครียดด้วย ทาทานอะไรไม่ได้อาเจียนออกหมด”
เล่ากะใช้โอกาสนี้ลดน้ำหนักเพราะทานอะไรไม่ได้ แต่กว่าจะหายโดนน้ำเกลือไปเป็นร้อยถุง
“มาต่อเรื่องยาฆ่าเชื้อ 9 ตัวก็แล้ว ก็ต้องทานต่ออีก อาการนี้หาย อาการอื่นมา มันไม่จบไม่สิ้น เพลียมาก ทานอะไรไม่ได้เลย คุณหมอก็บอกไม่อยากให้น้ำหนักลด ตอนแรกเราคิดในใจเราก็ใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์สิวะ เราจะได้ผอม หมอบอกเอาตัวเองให้หายก่อนไหม แต่น้ำเกลือเป็นร้อยถุงเลย เพราะเราทานได้แค่ผลไม้
ก็อยู่โรงพยาบาลรวมแล้ว 40 วันค่ะ ตอนแรกไม่คิดว่าจะนานขนาดนี้แต่ด้วยอาการไซนัสของเรารุนแรงจริงๆ แบคทีเรียเชื้อที่เราไปติดมา เราหายาที่มันเข้ากับเราไม่ได้ แล้วตัวทาเองร่างกายก็เซนซิทีฟ แพ้บ้าง อาเจียนบ้าง ท้องเสียก็มี แล้วมันต้องให้ครบโดส 3-7-10 วัน เรารู้สึกแย่มากๆ ไม่อยากเป็นแบบนี้เลย
พอมีอาการปวดไซนัสมันจะมีอาการปวดหน้า กระบอกตา ทั้งหัวเลยก็มี ฟีลเหมือนขึ้นเครื่องบินตลอดเวลา มันคลั่ง ก็แย่ บ้านหมุนด้วยอีก หลับตาก็ไม่ได้ อาการคือโคลงเคลงเหมือนคนเมาบก เดินขาขวาก็ไม่มีแรง ต้องมีคนคอยพยุงตลอด แล้วบ้านเรา 4 ชั้น คุณหมอเลยไม่แนะนำให้กลับบ้านจนกว่าอาการบ้านหมุนจะหาย แล้วไข้ไม่ลดเลย มีไข้ต่ำๆ ตลอด”
ตลอด 40 วันที่นอนอยู่โรงพยาบาล บอกตัวเองตายไม่ได้ ต้องอยู่กับลูกก่อน
“ต้องบอกก่อนว่ากำลังใจหนึ่งที่เป็นกำลังใจใหญ่คือลูก ตายไม่ได้ ก็เลยไม่ค่อยคิด แต่ถามว่าท้อไหม ท้อ เพราะว่าเราก็ไม่ได้อยากอยู่ตรงนี้ แต่บอกตรงๆ ว่าตัวทาเองก็ออกไปจากห้องไม่ได้เลยเหมือนกัน แค่อาบน้ำ เดินไปเข้าห้องน้ำยังเหนื่อยเลย แต่ก็ต้องพยายามเดิน ไม่งั้นอาการมันก็จะไปเรื่อยๆ แล้วพอกลับมาบ้าน ทานอนเยอะมาก เดี๋ยวต้องไปฟอลโลว์อัปอีกครั้งหนึ่ง
ตอนนี้ก็พยายามทำให้ชีวิตตัวเองปกติที่สุด แล้วตอนนี้โควิดก็มีรุ่นใหม่ตรวจแล้วขึ้นเส้นเดียว เราก็กังวลว่าจะเป็นหรือเปล่า กลัวเป็นอีก เพราะครั้งที่แล้วที่เป็นเข้าเป็นเดือนเลย เป็นหนักมาก เพราะเวลาทาเป็นที่ทาจะแย่โดยมากเป็นเรื่องของอาเจียน แล้วเวลาอาเจียนเส้นเสียงพัง ซึ่งเป็นอาชีพเราทำอะไรไม่ได้ ก็ไปกันใหญ่”
ลูกมานอนด้วยที่โรงพยาบาลทำให้มีกำลังใจ อาการป่วยดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ห่วงเขาที่สุด และไม่อยากให้เขามาเยี่ยมเราที่โรงพยาบาล เพราะว่ามันก็ไม่ได้เป็นที่ที่จะให้ลูกมา ทุกครั้งที่เห็นเขามันเหมือนเราต้องสู้ ฉันต้องสู้เพื่อเด็กคนนี้ ฉันต้องทำทุกอย่างเพื่อเขา แล้วมีวันที่เขามานอนกับทา เขาไม่ยอมกลับ เขานอนกับทาอยู่ 2-3 วัน เป็นวันที่อาการเราดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเพราะว่าเราคงมีกำลังใจด้วยได้กอดเขา ได้อยู่กับเขา แล้วเขาก็เห็น
ด้วยความที่ทาไม่มีเส้นเลือดที่เป็นเส้นตื้นที่สามารถให้ยาได้ ถ้ามองดีๆ ทาจะมีแผลที่หลังมือ ยังช้ำอยู่เลย อันนี้คือเปิด PICC line (เปิดที่ต้นแขนซ้าย) อันนี้คือรอบล่าสุด ส่วนข้างขวาคือรอบโควิด ไม่มีเส้นก็ต้องเปิดเข้าหลอดเลือดโดยตรง มันเป็นอะไรที่ทำงานแต่ว่าไม่มีใครอยากทำหรอกแต่ด้วยยาที่เราให้พอสักพักนึง มันระคายเส้นเลือดมากเพราะมันแรง คุณหมอเลยแนะนำว่าให้เปิดแบบนี้เลยดีกว่า"
กังวลอาการไซนัสเรื่องกระทบเส้นเสียง ทำให้มีผลกับอาชีพร้องเพลง
"ยังต้องคอยติดตามทุกอย่างเลยค่ะ ไม่ว่าจะเรื่องกระเพาะ ไม่ว่าจะเรื่องหูคอจมูก ที่จำเป็นมากๆ ในตอนนี้ มันเป็นเหมือนวงจรชีวิตคนพออันนี้มา อันนั้นมา มันก็กระทบกันและกัน แล้วก็เป็นเรื่องเครียด ปกติอยู่แล้วตอนนี้ใครก็เครียด เรื่องไซนัสที่กระทบเส้นเสียงคือเรื่องใหญ่ เพราะเวลาเราร้องเพลงเราต้องใช้ทั้งหมด หู คอ จมูก ทาได้อาจารย์หมอที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเส้นเสียงโดยตรงที่เข้ามารักษาด้วย ไม่น่าเชื่อ วันที่บอกเราว่าเส้นเสียงสวยที่สุดที่เคยเห็นมา จน 3 วัน ต่อมามาเห็นว่าเลือดออก อาจารย์ก็ช็อกเหมือนกัน"
โอดอยู่โรงพยาบาล 40 วัน ต้องแคนเซิลงานสูญเงินหลายล้าน
"ตอนที่เข้าโรงพยาบาล 40 วัน ต้องยกเลิกงานอีก 10 งาน แล้วคือเรารอคอยตอนโควิดมาไม่รู้เท่าไหร่ แล้ว 10 กว่างาน เสียหายหลายล้าน เป็นล้านกล้าบอกเลย หลังจากนี้ก็ขอให้คนดูและพี่ๆ สื่อช่วยอวยพรกันใหญ่เยอะๆ นะคะ (พนมมือ) ขออวยพรปีใหม่ทุกคน 3 ปีที่ผ่านมาทุกคนเจอโรครุมเร้าเยอะ เรา 2 คนแม่ลูกขออวยพรให้ทุกท่านสุขภาพร่างกายแข็งแรงเป็นอย่างแรกเลย เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เราก็ยังไม่ทำมาหากินได้ จนก็รวยได้ แต่ป่วยทำอะไรไม่ได้เลย ไม่อยู่บ้าน ก็อยู่โรงพยาบาล
แต่ถ้าเรามีร่างกายที่สุขภาพแข็งแรง เราก็พร้อมที่จะไปสู้ต่อกับอะไรก็ได้ ขอให้มีสุขภาพน่างกายแข็งแรง จะได้มีเงินมีทองไหลมาเทมา ขอให้มีความสุขในชีวิตสุขกายสบายใจในปี 2023 นะคะ"
บอกตอนนอนอยู่ที่โรงพยาบาลมูเตลูทุกรูปแบบขอให้รอด โทร.ไปร้องไห้กับ “เสธ.ดอลล่าร์ พล.ต.พัชร รัตตกุล” สามีเพื่อนรัก “คุณหญิงแมงมุม ม.ร.ว.ศรีคำรุ้ง ยุคล” สงสารทั้งเพื่อนและตัวเองที่ต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาล
"โอ้โห มูมาก ตอนนี้มูเบอร์ใหญ่มาก พระอาจารย์ใหญ่ๆ บอกให้ลูกศิษย์มาบอก บอกไม่ถึง 2 วันเข้าโรงพยาบาล บอกว่าอย่าอย่างโน้น อย่าอย่างนี้ แล้วก็มีพวกรุ่นพี่ที่เป็นพวกแนวนั่งสมาธิ ไม่ได้เป็นหมอดูอะไรนะ เขาบอกว่าทาเข้ามาในจิตเขาเยอะ หลายคน ทาก็แรงจริง
ตอนป่วยก็นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไหว้มาก มีทั้งพูด มีทั้งบน เรื่องมูคือหมดเลย เพราะมันอ่อนล้าและอ่อนแรงจริงๆ ฟังดูอาจจะไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่ได้เป็นมะเร็ง หรือเป็นโรคที่มันหนักๆ ขอให้อย่าเป็นอย่างนั้นเลย และคนที่เราคิดถึงมากๆ คือเพื่อนรัก คุณหญิงแมงมุม เพราะเราอยู่กับเพื่อน เราไปหาเพื่อนอยู่บ่อยๆ เราเห็นเขา เขาสู้มาก เราอยู่แค่ 40 วัน แต่เขาอยู่มาเกือบจะ 4 ปี ทาร้องไห้หนักมาก ทาโทร.หาพี่ดอลล่าร์ บอกเขาว่าเจอแค่นี้ทายังจะทนไม่ได้เลย ทาร้องไห้ สงสารทั้งเพื่อน สงสารทั้งตัวเอง แต่เราผ่านมาแล้ว และเราจะต้องไปต่อ"