xs
xsm
sm
md
lg

New Me New จิมมี่! “จิมมี่ กานต์” คัมแบ็กวงการซีรีส์ ซึ้งใจมีคนรอ อยากก้มกราบขอบคุณ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“จิมมี่ กานต์” กลับทำงานเต็มที่ คัมแบ็กครั้งนี้พร้อมสู้ พร้อมลุย รู้ซึ้งครอบครัวสำคัญที่สุด เป็นคนดึงให้กลับมา รับปรับตัวเยอะ แต่ชีวิตมันกลมกล่อมขึ้น ภูมิใจและยินดีกับตัวเองที่กลับมาแข็งแรง การแสดงคือสิ่งที่จะเติมเต็ม เสียใจกับการกระทำ แต่ตอนนี้เป็น New Me New จิมมี่แล้ว ขอบคุณแฟนคลับคอยซัปพอร์ต ถ้าทำได้ก็อยากก้มกราบ

หลังกลับบ้านไปฮีลใจเกือบ 3 เดือนเต็ม รวมทั้งรักษาอาการป่วย ล่าสุดนักแสดงหนุ่ม “จิมมี่ กานต์ กฤษณะพันธ์” ก็คัมแบ็กวงการพร้อมลุยงานแล้ว ล่าสุด (13 ธ.ค.) ในงานแถลงผังเปิดตัวซีรีส์ของค่ายดูมันดิ ในปี 2566 กับงาน “DMD LINE UP 2023 Into The New Universe” เจ้าตัวก็ได้ขออัปเดตชีวิตตอนนี้ให้ฟัง พร้อมขอบคุณแฟนๆ ที่ยังรอ และคอยซัปพอร์ตเสมอ

“ความพร้อมตอนนี้ ผมว่าน่าจะพร้อมเกือบเต็มร้อยแล้วแหละ ขาดไปสักเปอร์เซ็นต์หนึ่ง เอาไว้ให้รู้สึกว่าตัวเองก็ยังไม่พร้อมเหมือนกัน จะได้มีแรงพัฒนาตัวเองครับ กลับมาทำงานเต็มตัวแล้วครับ”

คิดถึงบรรยากาศการทำงาน หลังกลับไปฮีลใจอยู่บ้านหลายเดือน
“ใช่ๆ เรากลับบ้านเป็นมนุษย์ถ้ำไปหลายเดือนเหมือนกันครับ อยู่ที่บ้านเราก็เล่นกับหมาฮีลใจ จนเรารู้สึกว่าสิ่งที่เราขาดในชีวิต มันก็คือการได้มาทำงาน การได้เจอผู้คน เจอแฟนๆ ได้แสดงได้อะไร เพิ่งมารู้ตัวจริงๆ ว่าเราเป็นคนชอบการแสดง ก็ในระยะเวลาที่มันผ่านมานี่แหละครับ ที่เราขาดมันไป เราก็รู้แล้วว่าอะไรที่จะมาเติมเต็มเรา”

รับปรับตัวเยอะหลังกลับมา ตอนนี้พร้อมทำงาน พร้อมลุยและสู้ไปกลับมัน
“เราหายไปประมาณ 2-3 เดือนได้ครับ กลับมาก็ปรับตัวเยอะอยู่เหมือนกันครับ แต่เรายังเก็บไว้ว่าอะไรที่เป็นบทเรียนเรา อะไรที่ทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น อะไรที่ทำให้เราพร้อมที่จะทำงาน ลุย สู้ไปกับมัน เหมือนทำให้ตัวเองกลมกล่อมขึ้นมั้งครับ กับความคิดหลายๆ อย่าง เราหาคำตอบให้ตัว 

ผมรู้สึกว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมคิดว่าตัวเองอ่อนแอมากเลย เราแย่มาก จนเรารู้สึกว่าทำไมเราอ่อนแอขนาดนี้วะ จนเมื่อไม่กี่วันก่อน ก่อนที่จะมางานนี้ น่าจะเป็นงานแรกก่อนที่จะเป็นทีเซอร์ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าเราพร้อมแล้ว เราพร้อมที่จะกลับมาทำงาน เราก็คิดว่าอะไรมันขาดหายไป เราก็อยากจะเอาสิ่งนั้นมาเติมเต็มเรา นั่นก็คือการทำงานในเจอสิ่งแวดล้อม เจอเพื่อนๆ ทำงานกับคนเดิมที่เราคุ้นหน้า แล้วก็พร้อมที่จะออกไปทำงานที่ใหม่ด้วย”

พอรู้ความต้องการของตัวเอง ก็พยายามเอาสิ่งนั้นกลับมา
“ผมว่าคนเราเหมือนมันต้องการสิ่งที่ตัวเองขาดหายไป ทุกคนน่ะครับ เหมือนทุกคนยังมีความต้องการอะไรสักอย่างอยู่ ซึ่งพอเรารู้ว่าเราต้องการอะไร เราก็พยายามที่จะเอาสิ่งนั้นกลับมา ไม่ว่าจะวิธีการใดก็ตามแต่ครับ ก็ที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ ก็เป็นหนึ่งในกระบวนการนั้น”

ฮีลใจตัวเองด้วยการเล่นกับหมาและคุยกับพ่อแม่ รู้แล้วว่าครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
“เล่นกับหมาครับ แล้วก็คุยกับพ่อแม่ ที่เรารู้สึกว่าเราห่างเหินไปนานมากเลย เมื่อก่อนด้วยความเป็นเด็กด้วยล่ะครับ เด็กม.6 จากระยอง ได้เรียนที่ม.เกษตร ขึ้นมากรุงเทพฯ คนเดียว เดินมาพราวด์เลย เราสบายมากอยู่ได้ เราอยู่ได้ 

จนเกิดเรื่องเนี่ยแหละครับ ทำให้รู้สึกว่าครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเลย แล้วก็ไม่เคยพูดที่ไหนเลย ไม่ว่าจะสัมภาษณ์เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตั้งแต่เข้าวงการมา ผมไม่เคยพูดเลยว่าครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ผมจะบอกเพื่อนๆ พี่อ๊อฟ (อ๊อฟชั่น กิตติพัฒน์ จำปา) ทุกคนที่อยู่กับเรา ณ เวลานั้น แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าจริงๆ แล้วครอบครัวเราซัปพอร์ตเราอยู่ตลอดเวลา แล้วก็เป็นคนที่เรารู้สึกว่า มีบุญคุณกับเรามากๆ เลย”

2 เดือนที่อยู่กับครอบครัว ได้แสดงอารมณ์ออกมาเต็มที่ กล้าร้องไห้กล้าอ่อนแอให้ที่บ้านเห็น
“ก็คงจะเป็นการแสดงทางด้านอารมณ์มั้งครับ ที่เราอาจจะเก็บกดมานานมาก เราไม่เคยร้องไห้ให้เขาเห็นเลยมานานมาก ตั้งแต่ตอนโดนตีด้วยไม้แขวนเสื้อ จนตอนนี้ 22 ขวบแล้ว เหมือนเราไม่มีอะไรจะต้องทะนงตัวแล้วครับ เราไม่จำเป็น เราอ่อนแอใส่เขาได้เลย เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าถ้าขาดพ่อกับแม่ไปทำไงวะ แล้วก็มีพี่ชายอีก 2 คนที่เราก็ปรึกษา พูดอะไรเขาก็หัวเราะเฮฮากับเราไปหมด มันทำให้แบบเออ นี่แหละคำว่าครอบครัว ผมมีไลน์พี่ซี (พฤกษ์ พานิช) นักแสดงอยู่ เขาจะตั้งชื่อว่าแฟมิลี่ ผมไม่เคยเข้าใจคำนั้นเลย เพราะเราไม่ได้อินกับครอบครัวมาก เราอินกับเพื่อนทำงาน เราไม่เคยจะนึกถึงเขา แต่ตอนนี้ผมเก็ตละทำไมพี่เขาตั้งว่าดิสไลน์ว่าแฟมิลี่แล้วก็เป็นรูปหัวใจ”

ถ้าไม่มีครอบครัว ก็คงยังดึงตัวเองกลับมาไม่ได้
ผมว่าถ้าไม่มีครอบครัว ตอนนี้ผมไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมอาจจะทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ แต่ด้วยความที่เรามีครอบครัว แล้วเราก็คุยว่าเราจะทำอะไรต่อ พี่อ๊อฟเขาก็ยังใจดี ยังให้งานเรา ทำไมพี่อ๊อฟไม่เคยทิ้งเราเลย เราก็คุยกับพ่อแม่ แม่ก็บอกมึงจะไปหาผู้จัดการดีๆ แบบนี้ได้ที่ไหน คิดเอาไว้ เราก็แบบเออ…จริงว่ะ เราก็เริ่มกลับมา จากทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา”

เริ่มนับหนึ่งใหม่ในทุกปี แต่ปีนี้หนักที่สุด
“จริงๆ แล้วผมนับหนึ่งใหม่ทุกปีครับ รู้สึกว่าเจออะไรต้องเปลี่ยนตัวเอง เจอเรื่องใหม่ๆ ทุกปี แต่ปีนี้หนักสุดจริงๆ”

ถ้าไม่ได้กลับมาตรงนี้ ก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อแล้ว
“มีแว๊บเข้ามาเยอะครับ ถ้าเราทิ้งทุกอย่างก็จบเลยนี่หว่า จบในที่นี้คือปัญหาจบ จบอีกอย่างหนึ่งคือไม่รู้จะทำอะไรต่อแล้ว เพราะเราไม่ได้ชอบอะไรอีกแล้ว แล้วตอนนั้นเรารู้แล้ว ว่าการแสดงคืออะไรที่เราหลงรักแล้วครับ 

อยู่มา 2 เดือนไม่ได้ทำอะไรเลย ได้แต่ดูซีรีส์พยายามแสดงตามเขา ผมเพิ่งมารู้ตัวว่าจริงๆ แล้วผมเป็นคนที่เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ตัวละครในซีรีส์เขาแสดงอารมณ์ไหนอยู่ เราก็จะพยายามนั่งและซึมซับอารมณ์เขามา เราเพิ่งมารู้ตอนที่เราเรียนการแสดงเรื่องแรก ครูก็บอกนี่คืออีกหนึ่งวิธีการเรียนการแสดง คือการจ้องตาเรียนรู้ว่าเขารู้สึกอะไรอยู่ เราก็รู้ว่าการที่เราอยู่ 2 เดือนที่ไม่มีการแสดงเนี่ย ไม่ใช่เราแล้ว เรากลับมาไม่กี่วัน ทางพี่ที่เป็น Ar เขาก็ไลน์มา ว่าดูมันดิกำลังจะมีซีรีส์เรื่องซอมบี้ อยากเล่นไหม ผมก็ตอบแบบไม่คิดเลย เล่นครับ ไม่ได้ถามรายละเอียดไรเลย เดี๋ยวไปลุยกันครับ เราก็บอกแม่จะกลับกรุงเทพฯ แล้วนะ กลับไปลุยงาน ชอบมาก”

ภูมิใจในตัวเองที่กลับมาแข็งแรง ไม่อ่อนแอแล้ว
“ครอบครัวผมเขาซึมครับ ผมก็แค่เดินไปบอกว่าแม่ เดี๋ยววันนี้มีงานการแสดงนะ ต้องขึ้นไปเป็นซอมบี้ เขาก็บอกเดี๋ยวแม่ขึ้นไปส่ง แต่ในใจรู้กันแล้วว่าดี เห็นลูกกลับมายืนได้ เราก็รู้สึกภูมิใจด้วย ที่เราแข็งแรงขึ้นแล้ว เราไม่อ่อนแอแล้ว”

เป็น New Me New “จิมมี่” แล้ว เสียใจกับการกระทำ แต่กลับไปก็คงทำเหมือนเดิม เพราะตอนนั้นแตกสลายไม่ไหวจริงๆ
“ก็ถ้าเป็นเหมือนวันนั้นอีก เพิ่งคุยกับพี่อ๊อฟมา พี่อ๊อฟบอกว่ามึงก็เลิกคบกูไปเลย อันนี้เราพูดเล่นนะ แล้วเราก็เห็นด้วย ว่าเราแม่xทำงานเขาเสียไปกี่งานแล้ววะ อันนี้พูดแบบตรงๆ เลยนะครับ มันคือบทเรียนเราจริงๆ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ไหว เราต้องสู้ 

แต่วันนั้นถามว่าเสียใจกับการกระทำของตัวเองไหม เสียใจมากครับ เป็นวันที่เสียใจมากที่สุดของผมวันหนึ่งเลย ที่ตัดสินใจแบบนั้นไป แต่ก็คงกลับไปแก้อะไรไม่ได้จริงๆ ถ้ากลับไปผมก็คงทำเหมือนเดิม เรียนตามตรงนะครับ ไม่รู้เป็นอะไรกันไหม หัวตื้อ เหมือนมองแสงไฟ แล้วไม่คิดอะไรเลย ตอนนั้นคือปล่อยตัวทิ้งเลย ไม่อยากทำอะไรแล้ว มันไม่มีแรงที่จะฮึดขึ้นมาแล้ว ในใจ การแสดงความรู้สึกต่างๆ ผมรู้สึกว่าใจมันด้านไปหมด มันไม่มีความรู้สึกเลย 

มันคือคำว่าใจสลายมั้งครับ ทุกอย่างไม่มีแรงทำอะไร ก็ไปปรึกษาหมอ พี่อ๊อฟก็พาไป ก็ให้เป็นยาช่วยกระตุ้นความอยาก ก็รับยาตัวนั้นมา เราก็เริ่มออกกำลังกาย เริ่มคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น จะแก้ไขปัญหาในอนาคตยังไง New Me New จิมมี่ครับผม

พูดขอบคุณมาหลายรอบจนรู้สึกละอายใจ แต่ก็ยังรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ถ้ากราบได้คงกราบไปแล้ว
“พูดว่าขอบคุณมาหลายรอบมากครับ พูดว่ารัก คิดถึง เราพูดแบบนี้มากหลายรอบมาก จนเรารู้สึกว่าคำพูดพวกนี้เราละอายใจที่จะพูดไปแล้ว แต่เราก็ยังต้องพูดคำเดิม เพราะว่ามันมีความหมายอย่างนั้นจริงๆ ก็คือขอบคุณมาก ขอบคุณทุกคน คิดถึงทุกคน รักทุกคนที่ยังติดตามอยู่ แล้วก็ยังเข้ามา ยังมีเป็นเพจบ้านครับ ยังมีป้ายไฟ ทุกคนยังแท็กเรามา เอาสตอรี่เราไปรีโพสต์

ไม่รู้จะพูดยังไงนอกจากขอบคุณจากใจจริง ถ้ากล้องไม่ต้องยกขาเนี่ย ผมก็คงก้มลงกราบไปแล้ว ขอบคุณทุกคนมากจริงๆ มันเป็นอีกแรงหนึ่งที่ทำให้เราฮึดกลับมาด้วย เพราะผมก็มีช่วงเวลาหนึ่งที่นั่งไถทวิตเตอร์ เราก็มานั่งดูว่ายังมีคนคิดถึงเราอยู่ไหม ทุกคนก็ยังให้การตอบรับที่ดีอยู่ ก็ยินดีกับตัวเอง และขอโทษทุกคนด้วยที่ปล่อยให้รอนาน ผมกลับมาแล้ว ยังไงก็ขอโอกาสอีกครั้งหนึ่ง ฝากไว้ด้วยครับกับจิมมี่จิมหมู ขอบคุณมากครับ”







กำลังโหลดความคิดเห็น