“แวร์ โซว” เปิดใจพร้อม “น้องคนดี” บอกเป็นคนคิดอยากขายปลาหมึกปิ้ง จะได้เป็นช่องทางหารายได้เสริม บอกตอนนี้ขายได้ 1 เดือนถือว่าโอเค ขอลองทำดู 3-6 เดือน ถ้ารายได้ดีอาจจะมีขยายสาขา บอกวิกฤตโควิดทำต้องควักเงินเก็บมาใช้ เลยต้องมองหารายได้อื่นรองรับนอกจากงานละคร
เรียกว่าเป็นคู่แม่ลูกที่สู้ชีวิตด้วยกันมาตลอด สำหรับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวสุดสตรอง “แวร์ โซว” ที่เวลาไปไหนมาไหนมักจะตัวติดกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน “น้องคนดี” อยู่ตลอด ล่าสุดทั้งคู่หันมาทำธุรกิจขายปลาหมึกปิ้งอยู่ในอพาร์ทเมนต์ที่เจ้าตัวอาศัยอยู่นั่นเอง
น้องคนดี : “เรื่องขายปลาหมึกปิ้ง นี่คือด้วยความที่หนูกับคุณแม่เป็นคนที่ชอบทานปลาหมึกกันทั้งคู่ค่ะ แล้วก็อยู่ว่างๆ ไม่ได้ทำอะไร และไม่ได้ออกไปเที่ยวไหน ตอนแรกก็คิดว่าจะสั่งปลาหมึกมาปิ้งกินเล่นๆ กัน แต่พอเห็นพื้นที่ข้างล่างอพาร์ทเมนต์ที่เราอยู่มันว่างพอดี ก็เลยไปคิดว่าเรามาลองทำอะไรสักอย่างดีไหม”
แวร์โซว : “ก็มีไปปรึกษาเพื่อนบ้าน เจ้าของพื้นที่ พอคุยเสร็จวันนี้ อีกวันนึงขายเลย แล้วก็มือใหม่มาก แม่ก็ปิ้งปลาหมึกไปก็หันไปถามลูกไปว่าสุกหรือยังๆ (หัวเราะ)”
น้องคนดี : “หนูมีหน้าที่คอยหั่นค่ะ ก็ถือว่าได้มีอะไรที่ทำขึ้นมาบ้าง ก็เป็นธุรกิจเล็กๆ ของแม่ลูกที่ตอนนี้เพิ่งเริ่มค่ะ”
แวร์โซว : “เพิ่งเริ่มทำกันเมื่อวันที่ 7 พ.ย. ตอนนี้ก็ทำมาได้ประมาณเดือนนึง ซึ่งถามว่ากำไรไหม รวยไหม คงยังตอบไม่ได้ (หัวเราะ) เพราะเพิ่งเริ่มค่ะ แต่ถามว่าอร่อยไหม อร่อยค่ะ ขายดีพอประมาณ แล้วก็จะมีเพื่อนบ้านที่สนิทกันเขาก็มาช่วยดู มาสอนทำนำ้จิ้ม เพราะเขาเคยเป็นแม่ครัวมาก่อน และเขาก็มีรสมือที่ดี เขาก็จะมาช่วยดูแลเวลาเราไปถ่ายละคร เราไม่ว่าง เขาก็มาช่วยเปิดร้าน ดูแลร้านให้ค่ะ ก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
ถามว่าจะเปิดขายระยะยาวเลยไหม คงต้องดูช่วง 3-6 เดือนแรกก่อนค่ะ ถ้าผลประกอบการมันดี เราก็อาจจะมีเพิ่มสาขา 2 ตอนนี้เราก็ดูก่อน เพราะด้วยโควิดและสภาวะนี้ด้วย เราก็แค่พอประทังๆ เอาให้เขารู้ว่าเรามีอะไร เรามีอะไรทำนะ เรายังมีตัวตนอยู่นะ คือทุกอย่างจะอยู่ได้ไม่ได้มันก็อยู่ที่ปลาหมึกเราสด น้ำจิ้มเราอร่อย คุณภาพของเราดี ลูกค้ากินและเขาจะพิสูจน์เองและจะกลับมาเอง บางท่านมาซื้อทุกวันก็มีค่ะ ก็รอติดต่อพวกเดลิเวอรี่ต่างๆ อยู่ด้วย เพื่อที่จะได้กระจายให้มันเยอะขึ้น ให้ออกไปได้ไกลมากขึ้น เพราะบางคนอยากทานแต่อยู่ไกลมาไม่ได้”
เผยโควิดยังสร้างวิกฤตอยู่เรื่อยๆ แต่ก็เริ่มปรับตัวได้แล้ว
“จริงๆ วิกฤตมันก็มีอยู่เรื่อยๆ ค่ะ (หัวเราะ) เราต้องทำใจ เพราะอย่างปีแรกโควิดก็คิดว่าคงปีเดียวแหละ พอเข้าปีที่สองก็เริ่มถอนหายใจ แต่คิดว่าเดี๋ยวก็คงจะหายไป พอเข้าปีที่สามเริ่มไม่ไหวแล้วนะ เพราะเงินที่เราเก็บ และช่วงโควิดปีที่สองกองละครแทบจะไม่ได้ถ่ายกันเลย รายได้เราก็หาย เราก็ต้องเอาเงินเก็บออกมาใช้
พอปีที่สามก็คิดว่าเราจะรอละครอย่างเดียวไม่ได้แล้วล่ะ เราต้องเริ่มหาอะไรทำ และเราก็ต้องประหยัดให้มากขึ้น เราต้องบริหารจัดการชีวิตให้ดีขึ้น เราต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้มันสมดุลกับสภาวะของสังคมด้วย ของโลกด้วย ถามว่าวิกฤตยังทำให้เราหนักใจอยู่ไหม ก็หนักใจ แต่เรารับมือกับมันได้ เราเข้าใจมันแล้ว ก็เลยทำให้เราเบาใจลงค่ะ”